Skip to content

King of Gods 391

King Of Gods

บทที่ 391 : ตำหนักผาดำ

พวกชายหนุ่มตาเหยี่ยวทั้งสามทั้งชะงักทั้งกราดเกรี้ยวจนแทบเสียสติ ตาเบิกกว้างราวกับจะถลนออกจากเบ้า มองจ้าเวฟิงแย่งของของพวกเขาไปอย่างไร้หนทาง

จระเข้สายฟ้าทมิฬนั้นเป็นพวกเขาสี่คนร่วมมือกัน ลงมือลงแรงไปอย่างมากจึงสามารถล่าและฆ่าสัตว์ปีศาจตัวนั้นได้ ภายในร่างของมันมีสายเลือดโบราณอยู่เจือจาง ชิ้นส่วนหลายชิ้นในร่างมีค่าอย่างมาก โดยเฉพาะ ‘กระดูกสายฟ้า’ และ ‘เส้นเลือดใจวารีเร้นลับ’

สายตาของจ้าวเฟิงแหลมคม ลงมืออย่างรวดเร็ว ได้ครอบครองวัสดุที่มีมูลค่ามากที่สุดในร่างของจระเข้สายฟ้าทมิฬ

“ไอ้ตัวบัดซบนี่”

หลี่เซียวที่นั่งขัดสมาธิอารมณ์โกรธเกรี้ยวพุ่งพล่าน ทำให้ธาตุไฟเข้าแทรก แทบจะกระอักโลหิต

บุรุษตาเหยี่ยวสีหน้าซับซ้อน ร่างกายสั่นสะท้านอย่างอับอาย สีหน้าหม่นมัว “วางของพวกนั้นไว้ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”

ฟุบ

จ้าวเฟิงไม่สนใจคนทั้งสาม เปลี่ยนกลายเป็นร่างเงาประกายสายฟ้าหลบหนีไปทางทิศหนึ่งอย่างรวดเร็ว

หากไม่ใช่เพราะคนของตำหนักเหมันต์ทั้งหลายพยายามที่จะฆ่าจ้าวเฟิง เด็กหนุ่มย่อมไม่อาจทำให้แผนล่อเสืออกจากถ้ำนี้สำเร็จได้

จ้าวเฟิงนำของเหล่านั้นไปโดยไร้ซึ่งความรู้สึกผิดใดๆ หากเขาแข็งแกร่งเพียงพอ เขาคงไม่กระทั่งปล่อยคนพวกนี้ไป

บุรุษตาเหยี่ยวและผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสูงอีกคนย่อมไม่ยินยอมวางมือ ไล่ตามเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวไปอย่างไม่ลดละ

ทว่า

ความเร็วคือจุดแข็งของจ้าวเฟิง เมื่อมีสามปทุมค่อยสนับสนุน ความสามารถในการบินของเด็กหนุ่มก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น

ในคนทั้งสี่จากตำหนักเหมันต์ มีเพียงแค่บุรุษตาเหยี่ยวที่มีพลังฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอดที่พอจะสามารถไล่ตามจ้าวเฟิงไปได้ ทว่าเขาถูกจ้าวเฟิงล่อห่างออกไป อยู่ไกลจากเด็กหนุ่มมากที่สุด

หลังจากจ้าวเฟิงสร้างระยะห่างด้วยสามปทุมก็ใช้ผ้าคลุมเงาหยิน ร่างของเด็กหนุ่มพร่าเลือน หลอมรวมเข้ากับเทือกเขาป่าไม้ที่ซับซ้อน

เพื่อความปลอดภัย เขายังกระตุ้นโคจรพลังสายเลือด ทำให้ผ้าคลุมเงาหยินสร้าง ‘ร่างเงา’ ขึ้นสองร่าง สร้างความสับสนให้กับศัตรูที่ไล่ตามมาใกล้

ร่างเงานั้นมีเวลาคงอยู่ค่อนข้างสั้น เหมาะสมกับการเบี่ยงเบนความสนใจและเคลื่อนไหวร่างจริงไปด้วย

เมื่อไปเจอมันตรงๆ จะสามารถรับรู้ได้ผ่านประสาทสัมผัสจิตวิญญาณได้อย่างง่ายดาย ทว่าในซากปรักหักพังสือเฉิงนี้ ประสาทสัมผัสจิตวิญญาณถูกจำกัดไว้อย่างมาก หากไม่อยู่ใกล้ในระดับหนึ่งย่อมยากที่จะแยกแยะจริงปลอม

ไม่นาน

จ้าวเฟิงได้หลุดรอดออกจากอันตราย อยู่ด้านหน้าของคนจากตำนักเหมันต์ที่เคลื่อนไหวอย่างไร้ทิศทาง

“หืม?”

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงมองผ่านห่างออกไปหลายสิบลี้ พบเงาร่างมืดหม่นจำนวนหนึ่งราวๆ 10 คนได้มุ่งหน้าตรงมายังทิศทางนี้อย่างรวดเร็ว

ท่ามกลางท้องนภาได้ปรากฏอีกาสีหม่นขึ้น ดวงตาสีแดงสดทั้งคู่ มีรอยความอำมหิตเย็นเยียบพาดผ่าน มองสถานการณ์เบื้องล่างห่างออกไปหลายสิบลี้

อีกาดำแปลกประหลาดนั้นเห็นคนของตำหนักเหมันต์ก่อน จากนั้นจึงมองมายังจ้าวเฟิงด้วยสายตาเรียบเฉย ปรากฏความดูแคลนอยู่ประการหนึ่ง

จ้าวเฟิงพลันรู้สึกขึ้นในใจว่าอีกาตัวนั้นไม่ธรรมดา สามารถค้นพบการเคลื่อนไหวของตนเองได้

“ดูเหมือนกับถูกคนอื่นจ้องอยู่”

จ้าวเฟิงรู้สึกได้ถึงสถานการณ์อันตราย ดวงตาซ้ายควบรวมแสงเล็กๆ ปรากฏม่านหมอกขึ้นครอบคลุมร่างของอีกาดำแปลกประหลาดที่ราวกับพระอาทิตย์นั้น ร่างมืดหม่นได้เคลื่อนไหวเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว

แน่นอนว่าอีกาดำนั้นมีความสามารถในการรับรู้ได้ในระยะไกล เมื่ออยู่กลางอากาศสูงจึงสามารถสังเกตการสถานการณ์ในระยะหลายสิบลี้ได้

ไม่ว่าจะเป็นจ้าวเฟิงหรือคนของตำหนักเหมันต์ต่างก็ไม่อาจเล็ดรอดไปจากสายตาของอีกาดำนั้นได้

นี่คือการแข่งขันการแกะรอยและการลบร่องรอยอย่างเงียบๆ

“ถอย”

ขั้นแรก จ้าวเฟิงได้สร้างระยะห่างกับเหล่าร่างมืดหม่นที่เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วเหล่านั้น ยอมที่จะปะทะกับคนของตำหนักเหมันต์ แต่ไม่อาจเจอกับคนเหล่านั้นได้

ดวงตาเทพเจ้าของเด็กหนุ่มกวาดมองอย่างเร่งรีบ พบว่ากลิ่นอายของร่างเหล่านั้นทรงพลังอย่างมาก กระทั่งมีสนามพลังเย็นเยียบที่ไม่อาจมองเห็นล้อมรอบ ทำให้จ้าวเฟิงไม่กล้าที่จะตรวจสอบมากนัก

หลังจากที่สร้างระยะห่าง จ้าวเฟิงก็จงใจหลบไปที่จุดบอดสายตาของ ‘อีกาดำ’ นั้น

ขั้นที่สอง

เนตรหัวใจวิญญาณ

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงเปิดออก จ้องมองไปยังอีกาดำที่อยู่กลางอากาศสูง

พลังจิตได้สั่นกระเพื่อมไปยังร่างของอีกาดำนั้นอย่างแผ่วเบา

แม้ว่าพลังสายเลือดของอีกาดำนั้นจะดี ทว่าด้วยพลังสายเลือด ขอบเขตพลังจิตของจ้าวเฟิงที่เข้าใกล้ขั้นนายเหนือแท้และดวงตาเทพเจ้าจึงสามารถส่งผลต่ออีกาดำนั้นได้อย่างสบายๆ

จ้าวเฟิงไม่กล้าที่จะควบคุมอีกาดำนั้นอย่างผลีผลาม เพราะนกตัวนี้ดูจะมีพันธะสัญญาเลือดกับใครบางคนไว้แล้ว

ภายใต้พลังของ ‘เนตรหัวใจวิญญาณ’ จ้าวเฟิงได้ทำให้มันเพิกเฉยต่อตัวตนของเขา

เมื่อเป็นเช่นนี้

ในสมองของอีกาดำ เป้าหมายการเฝ้ามองก็ไม่ปรากฏจ้าวเฟิงอยู่อีกต่อไป ความสามารถนี้อาจเรียกได้ว่าการสะกดจิต ทว่าระดับของมันสูงกว่าโดยไม่ต้องสงสัย

อีกาดำที่อยู่กลางอากาศเพียงหยุดอยู่ราวๆ 1-2 ลมหายใจก่อนจะเฝ้ามองคนของตำหนักเหมันต์ต่อไป

“บางทีอัจฉริยะของตำหนักเหมันต์อาจจะตกอยู่ในอันตราย”

จ้าวเฟิงไม่มีความสงสารเลยแม้แต่น้อย

หากเขาทำให้อีกาดำนั้นเพิกเฉยต่อคนทั้งหมด มันย่อมสร้างความสงสัยให้กับผู้เป้นเจ้าของปักษาตัวนี้

ในเวลาเดียวกัน

ห่างออกไป 20-30 ลี้ ร่างที่สวมใส่เสื้อผ้าสีหม่นสิบร่างได้พลิ้วกายลงบนภูเขาอย่างแผ่วเบา

และชายหนุ่มใบหน้าแหลม จมูกดำราวหมึก รูปร่างผ่ายผอมน่าเกลียดยิ่งนัก รูปลักษณ์ราวกับวิญญาณร้าย นำคนในชุดสีดำที่เบื้องหลังปรากฏโครงกระดูกหลากลาย ทั้งเป็นมนุษย์และสัตว์อสูร รวมทั้งหมดเก้าชนิด

“หืม? เมื่อครู่เหมือนกับมีพลังจิตกระทบเข้ามารบกวนอีกามารทมิฬ”

ชายหนุ่มหน้าแหลมจมูกดำมือทั้งสองเท้าเอว ดวงตาราวเม็ดถั่วส่องประกายเพลิงแปลกประหลาดจางๆ

คลื่นสีดำเจือจางถูกส่งออกไปในระยะสิบลี้โดยรอบจากจุดที่เขายืนอยู่ สัตว์อสูรแมลงทั้งหลายได้เงียบงันไร้ซึ่งเสียงใด

รวมทั้งกลุ่มสัตว์ปีศาจที่อยู่ใกล้ๆ ฝูงปักษาที่อยู่กลางอากาศต่างสร้างระยะห่างกับคนกลุ่มนี้อย่างไม่รู้ตัว

ร่างที่มีพลังขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอดต่างรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล

“ศิษย์พี่ชื่อกุ่ย ด้วยพลังสายเลือดของอีกามารทมิฬ มีหรือจะสามารถถูกควบคุมส่งผลโดยคนผู้อื่นได้ มิใช่ว่าบัดนี้มันยังปลอดภัยดีอยู่หรือ?”

ชายหนุ่มผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

“ไม่ว่าจะอย่างไรก็จัดการเป้าหมายก่อน คนพวกนั้นมีกลิ่นอายของตราคำสั่งมรดก ชัดเจนว่ามาจากสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่าง”

ชายหนุ่มจมูกดำ ‘ชื่อกุ่ย’ ผงกศีรษะ

เขาวาดมือ ห้าร่างในกลุ่มก็แยกตัวออกไป สองคนเป็นผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอด สามคนเป็นผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสูง ความแข็งแกร่งของแต่ละคนต่างเทียบได้กับผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ในงานชุมนุมเซียนมังกร

ฟุบ ฟุบ ฟุบ

ร่างทั้งห้าราวกับภูติพรายในความมืดมิด พุ่งตรงไปยังบริเวณที่คนจากตำหนักเหมันต์ทั้งสี่อยู่อย่างรวดเร็ว

“ไม่ดีแล้ว นั่นมันอีกามารทมิฬของคนจากตำหนักผาดำ รีบถอย”

สีหน้าของชายหนุ่มตาเหยี่ยวเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง ท่าทีเคร่งเครียดอย่างมาก

ตำหนักผาดำ

คนจากตำหนักเหมันต์ทั้งสี่ต่างตื่นตัวและหวาดกลัว พลันล่าถอยในทันที

ทว่าคนจากตำหนักผาดำได้ล้อมพวกเขาไว้เรียบร้อยแล้ว

บนท้องฟ้า ‘อีกามารทมิฬ’ ที่มีความยาวและกว้างกว่า 2-3 หลา ได้ส่งควันดำลงไปด้านล่าง เริ่มโจมตีอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า

ฮูว์

ควันสีดำเหล่านั้นครอบคลุมระยะหลายลี้ ครอบคลุมคนของตำหนักเหมันต์ทั้งหมดพอดี

เมื่ออยู่ภายในควันดำเหล่านั้นจะสูญเสียการรับรู้ทิศทาง ทัศนะวิสัยถูกจำกัด ควันดำเหล่านั้นกระทั่งมีพิษแปลกประหลาด ทำให้เกิดภาพลวงตาขึ้น

ในยามนี้

จ้าวเฟิงได้หลบหนีออกห่างไปหลายสิบลี้ หลบซ่อนอยู่ในป่า เปิดดวงตาเทพเจ้าสังเกตสถานการณ์

ควันดำที่อีกามารทมิฬสร้างขึ้นนั้นสามารถปิดกั้นสายตาของจ้าวเฟิงได้ในระดับหนึ่ง ทว่ายังพอมองเห็นได้อยู่บ้าง

หลี่เซียวไม่สนใจความปลอดภัยของตนเอง ปกป้องฉิงเสี่ยวเยว่ เริ่มโจมตีอีกามารทมิฬอย่างบ้าคลั่ง ทว่าเมื่ออยู่ในหมอกหนา จิตใจก็วุ่นวาย ต่อสู้กับคุ่ต่อสู้ที่อยู่ห่างออกไป ร่างกายปรากฏรอยเลือดขึ้นหลายแห่ง

จากนั้น อัจฉริยะจาก ‘ตำหนักผาดำ’ ทั้งห้าจึงได้เคลื่อนไหวเข้ามาภายในบริเวณที่ควันดำปกคลุม

“บางทีอัจฉริยะจากตำหนักเหมันต์อาจจะไม่สามารถหนีรอดไปได้”

จ้าวเฟิงลอบทอดถอนใจ

ในเวลาเดียวกันกับที่เด็กหนุ่มล่าถอย เขาก็มักจะเปิดดวงตาเทพเจ้า เฝ้ามองสถานการณ์ของอีกฝั่ง

“จิจิจิ… อย่าร้อง”

ในพื้นที่ควันดำได้ปรากฏเสียงหัวเราะไม่ต่อเนื่องขึ้น รวมทั้งเสียงคำรามแปลกประหลาดของสัตว์อสูร

จ้าวเฟิงเพ่งสายตามอง ในควันสีดำนั้นได้ปรากฏศพสัมฤทธิ์ที่สูงถึงสองหลาขึ้น ทั่วทั้งร่างปรากฏลวดสีเงินรัดพัน ส่องแสงสีดำออกมา

รวมทั้งยังมีสัตว์อสูรที่ใหญ่โตราวกับภูเขา รวมทั้งร่างโครงกระดูกสีหม่น

“อ๊ากกกกก”

หลี่เซียวที่ถูกเผากรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ถูกมือของ ‘อีกามารทมิฬ’ ควักหัวใจออกมา ล้มลงตายบนกองเลือด

ฉิงเสี่ยวเยว่ สิ้นสติไปในทันที

พวกบุรุษตาเหยี่ยวสองคนที่เหลือดวงตาแดงกำ เผาไหม้ปราณจิตวิญญาณโจมตีอย่างบ้าคลั่ง

ไม่นานจากนั้น

ระยะห่างระหว่างจ้าวเฟิงและพื้นที่ควันดำนั้นได้ห่างกันราวหนึ่งร้อยลี้ ในยามนี้เขาไม่อาจรับรู้ถึงสถานการณ์ภายในได้อย่างชัดเจนแล้ว

ฟุบ

ในยามนี้ ควันดำเหล่านั้นได้ค่อยๆ สลายตัวไป เหลือเพียงซากศพหลายร่าง

คนจากตำหนักเหมันต์ทั้งสี่ มีเพียงบุรุษตาเหยี่ยวที่มีพลังขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอดที่เผาไหม้ปราณจิตวิญญาณ เสียแขนไปหนึ่งข้าง หลบหนีไปได้อย่างยากลำบาก

ที่เหลืออีกสามคนต่างสิ้นชีพ ร่างกายฉีกขาดท่วมไปด้วยโลหิต ที่ร่างยังพอสมบูรณ์อยู่บ้างมีเพียงฉิงเสี่ยวเยว่ ร่างกายอ้อนแอ้นเต็มไปด้วยบาดแผล ผิวกายทั่วทั้งร่างปรากฏร่องรอยสีแดงม่วง นอนทอดร่างเปลือยเปล่า

จ้าวเฟิงที่มักจะมีจิตใจเยือกเย็นสงบอยู่เสมอ เมื่อเห็นภาพนั้นก็อดที่จะสะเทือนใจไม่ได้

ทว่าทั้งหมดนี้ ตำหนักผาดำเพียงส่งคนมาครึ่งเดียว คนที่ลงมือจริงๆ น่าจะมีเพียง 2-3 คนเท่านั้น

“คนของตำหนักเหมันต์โชคร้ายเสียจริง มีของเพียงแค่นี้? นอกจากสตรีผู้นั้นที่พอสร้างความสนุกให้ได้บ้าง”

ฟุ่บ

ชายหนุ่มจมูกดำ ‘ชื่อกุ้ย’ นำคนอีกสี่คนตามมา

อีกามารทมิฬนั่งอยู่ที่เดิมอย่างเชื่อฟัง ยอมให้ชายหนุ่มนาม ‘ชื่อกุ้ย’ สัมผัสตัว

“ข้าได้อ่านความทรงจำของอีกามารทมิฬแล้ว ที่นี่ควรจะมีบุคคลที่สาม คนผู้นั้นไม่เพียงแค่หลบหนีออกไปจากสายตาของอีกามารทมิฬ ทว่าในระยะเวลาสั้นๆ ยังสามารถต่อต้านการแกะรอยของอีกามารทมิฬได้ด้วย”

น้ำเสียงของชายหนุ่มจมูกดำนั้นราวกับเสียงหวีดหวิวของซากศพ ทั้งเย็นเยียบหดหู่

คนที่อยู่ใกล้ๆ หลายคนเมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าพลันขาวซีดลงพร้อมกัน

“เป็นไปได้อย่างไร”

“นอกจากคนของตำหนักผาดำของเราแล้ว ในซากปรักหักพังสือเฉิงก็ไม่มีผู้ใดมีความสามารถนี้ นอกจากนั้นยังสามารถต่อต้านการแกะรอยของอีกาดำที่ทำพันธะสัญญาโลหิตกับศิษย์พี่ชื่อกุ้ยได้อีก”

ควรรู้ว่า

พลังฝึกตนของชายหนุ่มจมูกดำนามชื่อกุ้ยนั้นสูงถึงขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำ พลังของเขาสามารถกำจัดคนจากตำหนักเหมันต์ทั้งสี่ได้ง่ายดายราวกับปลอกกล้วย

ในบรรดาอัจฉริยะที่เข้ามาใน ‘ซากปรักหักพังสือเฉิง’ นอกจากสิบยอดฝีอมือขั้นนายเหนือแล้วแล้ว ไม่มีผู้ใดที่จะหลบหนีไปจากชื่อกุ้ยได้

“ข้าสนใจคนผู้นั้นยิ่งนัก ที่แปลกคือในความทรงจำของ ‘อีกามารทมิฬ’ กลิ่นอายของคนผู้นั้นดูจะไม่ได้มาจากสามยอดสำนัก”

ชื่อกุ้ยแล่บลิ้นยาวเลียใบหน้าน่าเกลียดของตนเอง

“ไม่ใช่คนของฝ่ายใด แล้วคนนอกจากคนของสามสำนักจะสามารถเข้ามาในนซากปรักหักพังสือเฉิงได้อย่างไร?”

กลุ่มคนพลันปรากฏความวุ่นวายตื่นตะลึงขึ้นเล็กๆ ชัดเจนว่ารู้สึกไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง

“ข้ารู้สึกได้ถึงสัญชาตญาณแปลกๆ ราวกับว่าคนคนนั้นกำลังลอบมองทุกการกระทำทุกการเคลื่อนไหวของพวกเราอยู่อย่างลับๆ… ข้าต้องจับตัวมันให้ได้”

ชื่อกุ้ยยืนสองมือไพล่หลัง ดวงตาปรากฏประกายไฟขึ้นจางๆ ปราณศพแพร่กระจาย มองห่างออกไป

ในเวลาเดียวกัน

จ้าวเฟิงได้ออกห่างไปเกินกว่าหนึ่งร้อยลี้ ใจพลันรู้สึกโล่งขึ้น ดวงตาเทพเจ้ามองไปยังบริเวณเดิมอีกครั้ง

ทว่าในยามนั้น ชายหนุ่มจมูกดำ ‘ชื่อกุ้ย’ ที่ยืนสองมือไพล่หลังได้มองมายังบริเวณที่เขาอยู่

ดวงตาของจ้าวเฟิงได้สบกับดวงตาที่ปรากฏเพลิงวิญญาณเย็นเยียบของชื่อกุ้ย รับรู้ได้เพียงความเย็นที่แผ่ซ่านแทรกซึมจากกายเนื้อสู่จิตวิญญาณ

“เขาเองก็มีสายเลือดดวงตาประเภทความคุม พิเศษนัก”

จิตใจของจ้าวเฟิงหนาวเยือก เด็กหนุ่มมั่นใจว่าชื่อกุ้ยไม่อาจค้นพบตำแหน่งที่แน่นอนของตนเองได้ ทว่าอีกฝ่ายพอที่จะรับรู้ได้อยู่บ้าง

นี่มาจากการปะทะกันที่ไม่อาจมองเห็นของสายเลือดดวงตา ไม่ว่าฝ่ายใดต่างก็รับรู้ถึงกันได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!