บทที่ 392 : ตีแล้วหนี
ด้วยความช่วยเหลือจากความสามารถในการสะกดจิตของดวงตาเทพเจ้า จ้าวเฟิงได้สร้างระยะห่างออกจากคนของตำหนักผาดำมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเทียบด้านสายตาแล้ว ไม่มีผู้ใดเหนือไปกว่าจ้าวเฟิง รวมทั้ง ‘อีกามารทมิฬ’ ของตำหนักผาดำที่คอยสังเกตการณ์อยู่กลางอากาศด้วย
ทว่าใน ‘ซากปรักหักพังสือเฉิง’ ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงเองก็ถูกจำกัดเอาไว้ จะมองไปไกลเกินกว่า 200 ลี้นับว่ายากลำบากอยู่บ้าง
ตลอดทางจ้าวเฟิงระมัดระวังอย่างมาก อันตรายไม่ได้มีเพียงแค่อัจฉริยะจากตำหนักผาดำและอัจฉริยะต่างแดนคนอื่นๆ ทว่ายังมีอันตรายจากภายในซากปรักหักพังเองด้วย
ในหนึ่งลมหายใจ จ้าวเฟิงได้เดินทางไปไกลกว่า 400-500 ลี้ สุดท้ายแล้วจึงพบสถานที่ที่ค่อนข้างเงียบสงบและห่างไกล
“ก่อนอื่นต้องทะลวงขอบเขตก่อน เมื่อมี ‘กระดูกสายฟ้า’ และ ‘เส้นเลือดใจวารีเร้นลับ’ ข้าเชื่อว่ามันจะง่ายกว่าเดิม”
จ้าวเฟิงเข้าไปซ่อนในถ้ำถ้ำหนึ่งบนเทือกเขา
ในซากปรักหักพังสือเฉิงเต็มไปด้วยอันตรายมากมาย ไม่มีผู้ใดคอยป้องกัน การปิดด่านฝึกตนด้วยตนเองย่อมนับเป็นเรื่องอันตรายอย่างมากโดยไม่ต้องสงสัย
ในยามนี้ ความสามารถในการเรียนรู้ของดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงได้ถูกใช้ให้เป็นประโยชน์แล้ว
เด็กหนุ่มเชี่ยวชาญในค่ายกลอยู่บ้าง ใช้วัสดุที่มีอยู่ในการสร้างค่ายกลเตือนภัยขึ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ ยามที่จ้าวเฟิงปิดด่านฝึกตนอยู่ก็จะยังแบ่งสติบางส่วนไว้รับรู้สถานการณ์ภายนอก
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิ นำ ‘กระดูกสายฟ้า’ ของจระเข้สายฟ้าทมิฬ มันเป็นกระดูกที่ใสราวผลึก ส่องประกายกระแสไฟฟ้าสีดำมืดขึ้นจางๆ
กระดูกสายฟ้านั้นคือแก่นกลางที่ใช้ในการรวบรวมพลังสายฟ้าของจระเข้สายฟ้าทมิฬ ไม่เพียงแค่มีแก่นแท้ของสายฟ้า ทว่ายังมีสำนึกรู้บางอย่างอยู่ด้วย
ในด้านมูลค่า ‘กระดูกสายฟ้า’ นี้แม้เทียบกับ ‘ศิลาสายฟ้าเร้นลับ’ ที่จ้าวหยูเฟ่ยมอบให้ก่อนหน้าก็นับว่าล้ำค่ากว่ามาก
เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวนั่งขัดสมาธิ มือทั้งสองถือกระดูกสายฟ้า ปิดเปลือกตา ฝ่ามือปรากฏปราณจิตวิญญาณที่มีประกายกระแสไฟฟ้าขึ้นจางๆ
เมื่อเวลาผ่านไป
ทั่วทั้งร่างของจ้าวเฟิงปรากฏประกายกระแสไฟฟ้าขึ้นครอบคลุม เชื่อมต่อกับไอสวรรค์อัสนีรอบกายอย่างหนาแน่นยิ่งขึ้น กระทั่งสามารถหยิบยืมมาใช้ได้ในระดับหนึ่ง
ในเสี้ยววินาที ไอสวรรค์อัสนีที่จ้าวเฟิงสามารถเชื่อมต่อช่วงใช้ได้ก็มากกว่าแต่ก่อนหลายเท่า เป็นระดับที่ ‘ขั้นนายเหนือแท้’ สามารถสัมผัสได้
โดยไม่รู้ตัว เงาครองสวรรค์ที่ข้ามผ่านกาลเวลาได้สร้างประโยชน์และเสริมความสามารถของร่างกายของจ้าวเฟิงขึ้น
“ขอบเขตจิตวิญญาณนับว่าบรรลุสู่ขั้นนายเหนือแท้แล้ว”
บนใบหน้าของจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความยินดี
เขาได้ดูดกลืนแก่นแท้ของ ‘กระดูกสายฟ้า’ อย่างตั้งใจ จิตใจสัมผัสถึงเสวียนอ้าวแห่งอัสนี
เป็นเพราะขอบเขตจิตวิญญาณมีระดับสูง ความเร็วการฝึกตนของจ้าวเฟิงจึงรวดเร็วอย่างไม่อาจเทียบ ไอสวรรค์อัสนีรอบกายหลอมรวมเข้าภายในร่างอย่างรวดเร็ว เสริมพลังให้ร่างกาย กลั่นปราณจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์
เพียงครึ่งวัน
พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงได้เข้าสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำอย่างง่ายดาย จะอย่างไร ยามที่อยู่ในงานชุมนุมเซียนมังกร พลังฝึกตนของเขาก็เข้าใกล้ขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำแล้ว
ในยามนี้ พลังแก่นแท้สายฟ้าของ ‘กระดูกสายฟ้า’ ได้ถูกดูดกลืนไปกว่าครึ่งแล้ว
“ขอบเขตจิตวิญญาณสูง พลังของเนตรคุกลวงตา เนตรหัวใจวิญญาณ และเนตรจิตวิญญาณเหมันต์พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทว่าพลังของเพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้าพัฒนาขึ้นเพียงเล็กน้อย เพราะมันขึ้นอยู่กับคุณภาพของเปลวเพลิงวิญญาณอัสนีในร่าง”
จ้าวเฟิงคำนวณในใจ
‘กระดูกสายฟ้า’ ยังเหลือแก่นแท้อัสนีอยู่อีกครึ่งหนึ่ง รวมทั้งยังมี ‘เส้นเลือดใจวารีเร้นลับ’ ที่ยังไม่ได้ใช้อยู่ ทว่ามันก็สามารถเพิ่มพลังฝึกตนให้จ้าวเฟิงเพิ่มได้
ด้วยความช่วยเหลือของขอบเขตจิตวิญญาณขั้นนายเหนือแท้ จะใช้เวลาสิบวันครึ่งในการบรรลุขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสูงมีโอกาสอยู่ราวๆ สี่ห้าส่วนในสิบส่วน
ทว่าจ้าวเฟิงได้ล้มเลิกวามคิดไปหลังจากที่พิจารณาดูดีๆ แล้ว
อย่างแรก ในซากปรักหักพังสือเฉิงนั้นเต็มไปด้วยอันตรายมากมาย ดีไม่ดีอาจมีอัจฉริยะต่างแดนเข้ามาใกล้ ทำลายการฝึกตนของเขาได้ตลอดเวลา
เวลาสี่วันนั้นนับว่านานแล้ว มันมีตัวแปรมากมายเกินไป จ้าวเฟิงอาจใช้เวลาเหล่านั้นในการสำรวจซากปรักหักพังของมรดกและหาโอกาสอื่น
สอง การบรรลุพลังฝึกตนรวดเร็วเกินไปไม่ได้ช่วยในการสร้างความมั่นคงให้กับพื้นฐาน จากขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำสู่ระดับสูง พลังได้เพิ่มขึ้นมาก ทว่าในด้านคุณภาพนั้นไม่ได้เพิ่มขึ้นมากมายเท่าใด
“ควรจะใช้แก่นแท้สายฟ้าที่เหลืออีกครึ่งของกระดูกสายฟ้าในการกลั่นเปลวเพลิงวิญญาณอัสนีของข้า และใช้เส้นเลือดใจวารีเร้นลับในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับจุดชีพจรทั่วทั้งร่างของข้า สร้างความมั่นคงให้กับพื้นฐานพลังฝึกตน เสริมความแข็งแกร่งให้ร่างกายเพื่อการพัฒนาในอนาคต ต้องสร้างพื้นฐานส่วนที่จำเป็น”
ตัวเลือกที่สำคัญนี้ จ้าวเฟิงได้คาดเดาล่วงหน้า
หากเป็นเช่นนี้ มันจะไม่ใช่เพียงแค่พลังของจ้าวเฟิงที่พัฒนาขึ้น ทว่าพื้นฐานพลังและร่างกายยังแข็งแกร่งขึ้น พัฒนาไปเพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าในอนาคต
วันต่อมา
จ้าวเฟิงใช้แก่นแท้อัสนีของ ‘กระดูกสายฟ้า’ ในการกลั่น ‘เปลวเพลิงวิญญาณอัสนี’ ของตนเองให้บริสุทธิ์ซ้ำๆ
เปลวเพลิงวิญญาณอัสนีของเขาได้พัฒนาขึ้นหนึ่งขั้นเล็กๆ พลังทำลายแข็งแกร่งขึ้น
จ้าวเฟิงมั่นใจว่าพลังของ ‘เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้า’ ต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
เหตุผลที่เขาเลือกที่จะพัฒนาเพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้านั้นเป็นเพราะวิชาดวงตานั้นส่งผลต่อวิชามารควบคุมศพและของเหล่านั้นอย่างมาก
หากจ้าวเฟิงเผชิญหน้ากับอัจฉริยะจากตำหนักผาดำอีกครั้งก็จะมีพลังต่อต้านขึ้นอีกหลายส่วน
เปรี้ยะ
กระดูกสายฟ้าแตกกระจายเป็นสี่ห้าส่วน ร่วงลงบนพื้น
จ้าวเฟิงปิดเปลือกตา ดูดกลืนเสวียนอ้าวแห่งสายฟ้า ทำความเข้าใจแก่นแท้จากกระดูกสายฟ้า
หากใช้มรดกอัสนีเป็นฐานรวมกับแก่นแท้ของคัมภีร์บุปผาลึกลับและนำแก่นแท้อันบริสุทธิ์ของศิลาสายฟ้าเร้นลับและกระดูกสายฟ้าหลอมรวมเข้าด้วยกัน วิชาฝึกตนของจ้าวเฟิงก็ได้เกินขีดจำกัดของมรดกแต่เดิมไปแล้ว
นอกจากนั้น การได้ครอบครองเงาครองสวรรค์ที่ข้ามผ่านกาลเวลาก่อนหน้าก็ได้พัฒนาวิสัยทัศน์ของจ้าวเฟิงไปอย่างมาก เจตจำนง ขอบเขตจิตวิญญาณ และวิชาทั้งหลายของเขาได้พัฒนาขึ้นใหม่ทั้งหมด
ในสมอง
มรดกอัสนีชั้นที่สามได้ส่องสว่างเจิดจ้า เบื้องหน้าปรากฏสัญลักษณ์สายฟ้าขึ้นจางๆ
“ข้าได้เข้าใจมรดกอัสนีทั้งหมดแล้ว เหลือเพียงแค่หลอมรวมพวกมัน”
จ้าวเฟิงเปิดเปลือกตาขึ้น บนหน้าผากปรากฏบุปผาอัสนีส่องประกายสีเขียวเจิดจ้าขึ้น
มรดกอัสนีนั้น หากต้องการจะทำความเข้าใจถึงระดับนี้ จำเป็นต้องมีพลังฝึกตนในขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงเป็นอย่างน้อย
ทว่าจ้าวเฟิงในยามนี้อยู่ในขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำ ในขณะที่ขอบเขตจิตวิญญาณอยู่ในขั้นนายเหนือแท้
“ใกล้เคียง”
จ้าวเฟิงกลืนกินพลังอย่างช้าๆ นำ ‘เส้นเลือดใจวารีเร้นลับ’ ที่เป็นแก่นกลางร่างกายของจระเข้สายฟ้าทมิฬออกมา
ร่างกายของจระเข้สายฟ้าทมิฬนั้นจ้าวเฟิงได้เห็นมาด้วยตาตนเอง อัจฉริยะจากตำหนักเหมันต์ทั้งสี่ร่วมมือกัน ใช้เวลากว่าครึ่งวันจึงจะฆ่ามันได้สำเร็จหากความเร็วของจระเข้ยักษ์นั่นรวดเร็วกว่านี้ พวกเขาคงยากที่จะจัดการมันลงได้
ทว่า ‘เส้นเลือดใจวารีเร้นลับ’ นี่คือส่วนสำคัญของร่างกายที่แข็งแกร่งของจระเข้สายฟ้าทมิฬ หากกินมันเข้าไปย่อมสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้ร่างกาย พัฒนาจุดชีพจรได้
จ้าวเฟิงไม่ลังเล แบ่งเส้นเลือดดำที่หนาเท่าแขนเด็กออกเป็นสามส่วน แบ่งกินสามครั้ง
ที่ทำเช่นนี้เป็นเพราะเด็กหนุ่มกลัวว่าผลของมันจะรุนแรงเกินไป
ก่อนหน้าในยามที่จ้าวเฟิงอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดปราณ เคยได้ผ่านการฝึกฝนร่างกาย ทานทนความเจ็บปวดมหาศาลมาก่อน
ทว่าผลของ ‘เส้นเลือดใจวารีเร้นลับ’ นี้ เมื่อเทียบกับก่อนหน้าแล้วนับว่ารุนแรงกว่ามาก หลังจากที่เข้าไปในร่างก็ได้ส่งความเย็นมหาศาลออกมา
ในระหว่างที่กินเข้าไปนั้น จ้าวเฟิงรู้สึกว่าเส้นเลือดและเลือดเนื้อทั่วทั้งร่างแข็งแกร่งขึ้น กระทั่งกระดูกก็พัฒนาขึ้น
เพียงแค่กินส่วนแรกเข้าไป ร่างกายของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวก็พัฒนาขึ้น จุดชีพจรทั่วทั้งร่าง กระทั่งจุดตันเถียนยังมีความพัฒนา
“ไม่เลว ไม่เลว”
หลังจากที่จุดชีพจรแข็งแกร่งขึ้น การโคจรปราณจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงก็ลื่นไหลยิ่งขึ้น ทำให้การฝึกตนมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เพราะจ้าวเฟิงไม่ได้ฝึกฝนร่างกายเป็นพิเศษ พื้นฐานร่างกายจึงไม่ได้สูงส่งมากนัก เมื่อกิน ‘เส้นเลือดใจวารีเร้นลับ’ เข้าไปจึงส่งผลดีอย่างมาก หากเปลี่ยนเป็นชื่อเฉิงเทียนในรุ่นเดียวกัน บางทีอาจจะพัฒนาไม่มากนัก
เส้นลมปราณและจุดตันเถียนคือรากฐานของการเสริมพลังเลือดเนื้อกระดูก ทำให้ร่างกายของจ้าวเฟิงเผยความสามารถออกมาได้มากกว่าเดิม
หลังจากที่กิน ‘เส้นเลือดใจวารีเร้นลับ’ ทั้งสามส่วนเข้าไป ไม่เพียงแค่จุดชีพจรในร่างของจ้าวเฟิงที่พัฒนาขึ้น ทว่าพลังฝึกตนยังเพิ่มมากขึ้นอีกหลายส่วน
ที่สำคัญไปกว่านั้น พื้นฐานพลังฝึกตนของจ้าวเฟิงยังมั่นคงอย่างมาก ด้วยพื้นฐานนี้ การฝึกตนในอนาคตย่อมได้ผลลัพธ์ที่ดีอย่างมาก
ตอนนี้จ้าวเฟิงลำบากเพียงสะบัดมือ ด้วยพลังกายที่แข็งแกร่งในยามนี้ เขาสามารถใช้มือเปล่าระเบิดร่างของผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ที่อ่อนแอได้
หลังจากที่ดูดกลืน ‘กระดูกสายฟ้า’ และ ‘เส้นเลือดใจวารีเร้นลับ’ เข้าไป จ้าวเฟิงก็ปิดเปลือกตา ตัดสินใจที่จะทำความเข้าใจสำนึกรู้อย่างเงียบๆ ครึ่งวัน
หลังจากหนึ่งชั่วยาม
“หืม?”
จ้าวเฟิงพลันรับรู้ว่ามีบางอย่างผ่านเข้ามาในค่ายกลเตือนภัยของเขา
ฟุบ
เงาร่างสายฟ้าสีเขียวเข้มส่องสว่างวาบ ร่างของจ้าวเฟิงจางหายไปจากถ้ำนั้น
ในเวลาเดียวกัน
ห่างออกไปสองลี้ ร่างในชุดสีหม่นสามร่างได้ค่อยๆ ใกล้เข้ามายังถ้ำที่จ้าวเฟิงอยู่
ผู้นำคือบุรุษที่แขนสองข้างถูกพันไปด้วยโซ่โลหะสีดำเย็นเยียบร่างกายราวกับโครงกระดูกเดินได้ เบ้าตาลึกโหล ดวงตาสีดำส่องประกายสีแดงฉาน
ข้างกายของเขาได้ปรากฏร่างของหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรียืนอยู่
ฝ่ายแรกคือบุรุษร่างสูงสง่า ในมือถือดาบเลื่อย ฝ่ายหลังคือดรุณีสีหน้าเย็นชา ในมือถือดอกบัวสีดำ ใต้เท้ามีอสรพิษสีดำขดตัวอยู่
คนทั้งสามเดินมาด้วยกัน ทำให้บรรยากาศรอบด้านเต็มไปด้วยความหดหู่เย็นยะเยือกและกระหายเลือด ดูเหมือนจะไม่ใช่คนจากฝ่ายธรรมะ
“คนของตำหนักผาดำ พวกมันมาได้อย่างไร?”
ใบหน้าของจ้าวเฟิงซีดลงเล็กๆ
เส้นทางที่เขาใช้หลบหนีนั้นสะเปะสะปะ กระทั่งเคลื่อนไหวคดเคี้ยวไปมาเมื่อเจอสถานการณ์อันตรายเพื่อหลีกเลี่ยงการติดตาม
ในผู้มาใหม่ทั้งสาม บุรุษโครงกระดูกผู้นั้นมีพลังฝึกตนสูงถึงขั้นผู้วิเศษแท้เระดับสุดยอด กลิ่นอายเมื่อเทียบกับบุรุษตาเหยี่ยวก่อนหน้าแล้วยังแข็งแกร่งกว่าหนึ่งหรือสองส่วน
บุราดาบเลื่อยและดรุณีบัวดำมีพลังฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสูงขึ้นไป พลังเมื่อเทียบกับปิงเว่ยเซียนจื่อและตันไถ่หลันเยว่แล้วยังแข็งแกร่งกว่า
“ถึงแล้ว? เด็กหนุ่มขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำคนหนึ่งที่หนีไปกลับส่งพวกเรา กลุ่มเขี้ยวมารออกมา นับว่าใช้คนผิดงานโดยแท้”
บุรุษดาบเลื่อยเอ่ยบ่นออกมา
อสรพิษสีดำที่ขดตัวอยู่ข้างเท้าของดรุณีบัวดำส่งเสียงร้องชี่ๆ ออกมา มุ่งหน้าตรงไปยังถ้ำที่จ้าวเฟิงปิดด่านฝึกตน
“อสรพิษนี่เชี่ยวชาญในการแกะรอย ใช้กลิ่นอายที่หลงเหลือของข้าในการติดตาม ทว่าคนของตำหนักผาดำจะล่วงรู้ถึงกลิ่นอายของข้าได้อย่างไร?”
จ้าวเฟิงแม้เข้าใจถึงสาเหตุ ทว่าก็ยังรู้สึกเคลือบแคลงอยู่บ้าง
ในยามนี้
กลุ่มเขี้ยวมารทั้งสามก็ได้เข้าใกล้ถ้ำที่จ้าวเฟิงใช้ปิดด่านฝึกตนอย่างรวดเร็ว ประสาทสัมผัสจิตวิญญาณของทั้งสามปิดกั้นสถานที่นั้นในเสี้ยววินาที
“หืม”
คนทั้งสามเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา ภายในถ้ำนั้นไม่หลงเหลือผู้ใดอยู่ ทว่ายังปรากฏไออุ่นอยู่บ้าง รวมทั้งไอสวรรค์อัสนีมากมาย กระทั่งปรากฏรอยเท้าอยู่
ด้วยรายละเอียดเหล่านี้ พวกเขามั่นใจได้ว่าคนที่อยู่ในถ้ำเพิ่งจะจากไปไม่นาน
“ยังหนีไปได้ไม่ไกลแน่ คงอยู่แถวนี้”
บุรุษโครงกระดูกที่เป็นผู้นำเอ่ยเตือนขึ้น ดวงตาสีดำส่องประกายแดงฉาน
ไม่ดีแล้ว
คนทั้งสามเพียงเตรียมที่จะค้นหาอย่างละเอียด เบื้องหลังก็พลันปรากฏเสียงครืนครางของสายฟ้าพร้อมกับไอสวรรค์อัสนีที่สั่นสะท้านอย่างรุนแรง
บรรยากาศรอบด้านเต็มไปด้วยความมืดครึ้มหดหู่ ราวกับเป็นสัญญาณถึงพายุที่กำลังก่อตัว
“มังกรเหมันต์อัสนีคลั่ง”
สายฟ้าระเบิดออก สร้างพายุที่เย็นเยียบเข้าไปถึงจิตวิญญาณขึ้นจากด้านหลัง บริเวณใกล้ๆ ปรากฏเสียงคำรามของมังกรขึ้นเบาๆ
ในเสี้ยววินาที มังกรที่เกิดจากสายฟ้าและน้ำแข็งหลอมรวมกันก็ได้ปรากฏขึ้น ยาวหลายร้อยหลา
เปรี้ยง ตูม
กลุ่มเขี้ยวมารยังไม่ทันจะเห็นรูปร่างของมันชัดเจนก็ถูกมังกรเหมันต์อัสนีคลั่งโจมตี สามารถใช้เพียงวิชาลับขึ้นป้องกันได้อย่างเฉียดฉิวไม่อาจหลบเลี่ยงได้ทัน
เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง
ร่างทั้งสามกระเด็นลอยออกไป หลงเหลือเพียงร่องรอยของมังกรยักษ์ไว้ พื้นดินแตกระแหงไหม้เกรียม ควันดำลอยฟุ้ง ถ้ำที่จ้าวเฟิงใช้ปิดด่านฝึกตนก่อนหน้าหายไป
บริเวณนั้นได้ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นควัน