บทที่ 393 : การร่วมมือที่แข็งแกร่ง
ท่ามกลางเทือกเขา ฝุ่นผงได้ฟุ้งกระจาย ตามมาด้วยกลิ่นเหม็นไหม้และควันสีดำขึ้นครอบคลุมไปทั่วทั้งบริเวณ
การลอบโจมตีที่มาจากเบื้องหลังของคนทั้งสามนั้นกะทันหันเกินไป พวกเขาถูกซัดครั้งเดียวจนร่างกระเด็นลอยออกไป
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ
ร่างทั้งสามคำรามอย่างกราดเกรี้ยว กระโจนขึ้นกลางอากาศเหนือบริเวณที่ถูกครอบคลุมไปด้วยฝุ่น
เฮือก
บุรุษดาบเลื่อยและดรุณีบัวดำกระอักเลือดออกมาทันที ได้รับบาดเจ็บสาหัส ในวินาทีที่เท้าสัมผัสพื้นไม่อาจทรงตัวได้มั่นคง
ดรุณีบัวดำที่มีพลังป้องกันด้อยที่สุดได้กึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้น สีหน้าขาวซีด ดวงตาทั้งสองแดงก่ำ เริ่มสะอึกสะอื้นเอ่ยว่า “เสี่ยวเฮยตู๋…”
อสรพิษสีดำที่ขดอยู่ข้างเท้านางได้ถูกมังกรเหมันต์อัสนีพิโรธบดขยี้จนตายไปแล้ว
ดรุณีบัวดำสีหน้าเย็นเยียบ ส่งสายตาเกลียดแค้นอำมหิตไปยังร่างผมฟ้าที่พอมองเห็นได้ท่ามกลางฝุ่นควัน
กลุ่มเขี้ยวมารทั้งสาม มีเพียงแค่ ‘บุรุษโครงกระดูก’ ที่ไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก ทว่าบนร่างก็ปรากฏรอยไหม้ขึ้นหลายแห่ง สีหน้าปรากฏความอับอายอยู่บ้าง
“อืม การลอบโจมตีนี้ได้ผลดี ความเร็วในการตอบสนองของคนทั้งสาม รวมทั้งพลังดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้”
จ้าวเฟิงผงกศีรษะอย่างพึงพอใจ
เมื่อค้นพบว่า ‘กลุ่มเขี้ยวมาร’ เข้ามาใกล้ การกระทำแรกของจ้าวเฟิงไม่ใช่การหลบหนี แต่เป็นการซุ่มโจมตี
ที่กลิ่นอายในถ้ำนั้นชัดเจนยิ่งนักเป็นเพราะเขาจงใจ ต้องการล่อให้ปลาฮุบเบ็ดของเขา
ดังนั้นแล้ว กลุ่มเขี้ยวมารทั้งสามนี้จึงได้ถูกจ้าวเฟิงลอบโจมตีจากด้านหลังได้สำเร็จ
ทว่าสิ่งที่ทำให้จ้าวเฟิงรู้สึกคาดไม่ถึงคือด้วยพลังทำลายรุนแรงของ ‘มังกรเหมันต์อัสนี’ กลับไม่อาจฆ่าได้แม้แต่คนเดียว
“ไอ้เจ้าวายร้าย กล้าลอบโจมตีกลุ่มเขี้ยวมารของเรา”
“ไอ้ตัวบัดซบ! กล้าฆ่า ‘เสี่ยวเฮยตู๋’ ของข้า ข้าจะลอกหนังของเจ้า กินเนื้อเจ้า แล้วสร้างหุ่นเชิดขึ้นจากศพของเจ้า…”
บุรุษดาบเลื่อยและดรุณีบัวดำเต็มไปด้วยความเกลียดชังโกรธเกรี้ยว จิตสังหารเข้มข้นแผ่ซ่าน
โดยเฉพาะดรุณีบัวดำ ใบหน้าบิดเบี้ยวขาวซีดราวกระดาษ กลิ่นอายเย็นเยียบหดหู่เข้มข้น ราวกับปีศาจที่คืบคลานขึ้นมาจากหลุม
ทว่าคนทั้งสองได้บาดเจ็บสาหัส ไม่อาจโจมตีตอบโต้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ
“ไอ้หนูสกปรก ดูเหมือนว่าเจ้าจะเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วสินะ เห็นพวกเราไม่เพียงไม่หนี ทว่ากระทั่งกล้าลอบโจมตี”
บุรุษโครงกระดูกแย้มยิ้มเย็นเยียบ โซ่เหล็กบนแขนทั้งสองข้างส่งเสียงกระทบกันเคร้งคร้าง
จ้าวเฟิงยืนอยู่ใจกลางกลุ่มควันดำ ท่าทีกระวนกระวายเล็กๆ
ในด้านพลัง กลุ่มเขี้ยวมารทั้งสามนี้ ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกคนใดต่างก็แข็งแกร่งกว่าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้
สถานการณ์ในยามนี้ไม่นับว่าดีสำหรับจ้าวเฟิงเท่าใด
แม้ว่าคนทั้งสามจะถูกโจมตีจนกระเด็นออกไป ทว่าบริเวณที่ลงพื้นนั้นได้สร้างสามเหลี่ยมล้อมรอบจ้าวเฟิงไว้ตรงกลางพอดี
เมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบโต้ในระดับนี้ รวมทั้งการร่วมมือในการต่อสู้ ไม่ว่าจะอย่างใดก็ไม่ธรรมดา
จ้าวเฟิงที่เป็นฝ่ายลอบโจมตี ยามนี้ได้ถูกล้อมแทน
“นี่เป็นสาเหตุที่ข้าต้องขอคำชี้แนะจากอัจฉริยะต่างแดนเหล่านี้”
จ้าวเฟิงไม่มีความคิดที่จะล่าถอย จิตต่อสู้ในใจพุ่งสูง
ครืนนน เปรี้ยง
โซ่เหล็กบนแขนทั้งสองของบุรุษโครงกระดูกวาดออก แรงเหวี่ยงของมันสร้างเสียง ‘ฟึ่บ’ พร้อมเงาสีเทาหม่นหมองที่ปรากฏขึ้น สั่นสะท้านไปถึงจิตวิญญาณอย่างน่าตื่นตะตึง
วูบบบ
โซ่เหล็กที่อยู่กลางอากาศนั้นราวกับอสรพิษ นำพากลิ่นอายเย็นเยียบหดหู่ของความตายแผ่ซ่าน มุ่งตรงไปในทิศทางที่ยากจะคาดเดา โจมตีจ้าวเฟิง
ร่างของจ้าวเฟิง ณ จุดเดิมได้กลายเป็นกลุ่มเงาประกายอัสนี ทว่าโซ่เหล็กที่ราวกับอสรพิษนั้นก็ราวกับมีชีวิตจิตใจ แม้ว่าจะหลบการโจมตีแรกได้ มันก็จะเลี้ยวเบนไปตามโจมตีต่อ
ครืนนนน ตูมม
จุดที่จ้าวเฟิงหลบออกไปปรากฏหลุมลึกที่ไม่อาจมองเห็นก้นได้ขึ้น พื้นดินแตกระแหงราวกับเต้าหู้ที่ถูกทับจนเละ
บุรุษโครงกระดูกผู้นั้นพลังมากมายมหาศาลยิ่งนัก ทั้งยังเชี่ยวชาญในวิชามารฝึกฝนกระดูก โซ่เหล็กที่เขาเหวี่ยงนั้นมีปราณศพอยู่ หากปะทะเข้ากับร่างกาย แม้จะเป็นขั้นนายเหนือแท้ก็ต้องไปนอนหยอดน้ำข้าวต้ม ผู้ที่มีพลังต่ำกว่าขั้นนายเหนือแท้หากไม่ตายก็คงเหลือเพียงลมหายใจสุดท้าย
“บุรุษโครงกระดูกผู้นี้มีพลังที่ไม่ธรรมดา แม้กวาดตามองไปทั่วทั้งงานชุมนุมเซียนมังกรของทวีปบุปผาคราม บางทีคงมีเพียงหยูเทียนฮ่าวที่สู้กับเขาได้”
จ้าวเฟิงลอบเปลี่ยนสีหน้า
หากไม่ใช่เพราะความเร็วการเคลื่อนไหวของเขาว่องไวแปลกประหลาด ดวงตาเทพเจ้าควบคุมเข้าใจสถานการณ์อย่างสมบูรณ์ บางทีอาจถูกอีกฝ่ายไล่ต้อน กระทั่งเข้าสู่สถานการณ์เข้าตาจนได้
ครืนนนน
ในมือของจ้าวเฟิงพลันปรากฏบุปผาเหมันต์อัสนีส่องสว่าง ผลิบานระเบิดออกในระยะหลายสิบหลาในเสี้ยววินาที เข้าปะทะกับบุรุษโครงกระดูกตรงๆ อย่างรุนแรงเป็นครั้งแรก
ในเสี้ยวพริบตา สายฟ้าและน้ำแข็งก็ได้ระเบิดออกบนโซ่เหล็ก ความเย็นเยียบแผ่กระจายแช่แข็งอากาศ กระแสไฟฟ้ากระจัดกระจาย
เป้าหมายการโจมตีของจ้าวเฟิงไม่ใช่บุรุษโครงกระดูก แต่เป็นโซ่เหล็กสีดำในมือของเขา
ชี่
พื้นผิวของโซ่เหล็กที่บุรุษโครงกระดูกเหวี่ยงได้ปรากฏควันไหม้ดำส่งกลิ่นเหม็นขึ้น ตัวโซ่แข็งค้างขึ้นเล็กๆ
พลังสายฟ้าสามารถข่มพลังมารได้ และใช้ธาตุน้ำแข็งของพลังสายเลือดในการแช่แข็งธาตุโลหะของอาวุธ
จ้าวเฟิงไม่ได้โจมตีคู่ต่อสู้ตรงๆ ทว่าทำให้พลังของคู่ต่อสู้ลดลงก่อน
“พวกเจ้าสองคนยังไม่มาช่วยอีก!”
บุรุษโครงกระดูกคำรามเสียงต่ำ โซ่เหล็กในมือไม่อาจเหวี่ยงออกได้ดั่งใจ ทั้งร่างยังปรากฏความหนึบชาจากสายฟ้าอยู่จางๆ ทำลายความคล่องตัวของร่างกายไป
นอกจากนั้น บุรุษดาบเลื่อยและดรุณีบัวดำต่างประหลาดใจ ด้วยพลังของบุรุษโครงกระดูกที่เป็นหัวหน้ากลับไม่อาจจัดการจ้าวเฟิงได้
พวกเขาไม่ได้เข้าไปจู่โจมในทันทีเพราะอาการบาดเจ็บเพิ่งจะทรงตัว ในทางกลับกัน พวกเขากลับป้องกันการหลบหนีของจ้าวเฟิงแทน
คนทั้งสามได้ร่วมมือกันมานาน มีความเข้าใจในกันและกัน
ทว่าด้านจ้าวเฟิงที่ถูกล้อมอยู่นั้นไม่ได้มีความคิดในการหลบหนีตั้งแต่ต้น โจมตีบุรุษโครงกระดูกอย่างรวดเร็วรุนแรง เข้าปะทะอย่างบ้าคลั่ง
“ไอ้ตัวเลวร้าย ตายซะเถอะ”
บุรุษดาบเลื่อยเลียริมฝีปากอย่างอำมหิต ดาบเลื่อยในมือสั่นสะท้านด้วยความเร็วสูงส่งเสียง ‘ครืน’ ประกายคมดาบเย็นเยียบกระเพื่อมขึ้นลง
ฟุ่บ
ดาบเลื่อยที่สั่นด้วยความเร็วสูงตัดผ่านอากาศ สร้างเสียงกรีดแหลมออกมา
การโจมตียังไม่ทันมาถึง ผิวกายของจ้าวเฟิงก็หนาวเยือก รู้สึกราวกับว่าอากาศได้ถูกตัดหั่นเป็นชิ้น
ในคนทั้งสาม บุรุษดาบเลื่อยเชี่ยวชาญในการโจมตี ทำลายการป้องกัน ดาบเลื่อยของเขาสั่นสะท้านด้วยความเร็วสูง หากเป็นชื่อเฉิงเทียนป้องกันตรงๆ อาจได้รับบาดเจ็บได้
หัวใจของจ้าวเฟิงกระตุกวูบ หากถูกอีกฝ่ายฟันก็จบสิ้นแล้ว
ฟุ่บ
ร่างของจ้าวเฟิงพลันกลับกลายเป็นเงาร่าง 2-3 ร่าง หลบเลี่ยงสร้างความสับสนให้คนทั้งสอง
ไม่ว่าจะเป็นโซ่เหล็กของบุรุษโครงกระดูก หรือดาบเลื่อยของบุรุษดาบเลื่อยต่างก็ยากที่จะต่อกร ผู้ที่มีพลังต่ำกว่าขั้นนายเหนือแท้ไม่ควรที่จะตั้งรับตรงๆ
ทว่าพวกยอดฝีมือเช่นนั้นกลับอยู่ในกลุ่มเดียวกัน
สุดท้ายแล้ว ‘กลุ่มเขี้ยวมาร’ ก็ยังเหลือ ‘ดรุณีบัวดำ’ ที่ไม่รู้ว่ามีความสามารถอันใดอยู่? จ้าวเฟิงไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะเชี่ยวชาญเพียงแค่การแกะรอย
และก็เป็นความจริง
ดรุณีบัวดำกึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้น มือทั้งสองไขว้กันเป็นสัญลักษณ์ ดอกบัวดำเบื้องหน้าส่งเสียง ‘ครืน’ ก่อนจะผลิบานออก เปล่งแสงสีดำสว่างออกมาแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
ไม่นาน กลุ่มหมอกดำก็ได้ครอบคลุมทั่วระยะหนึ่งลี้
ภายในหมอกวิญญาณทมิฬนี้ ประสาทสัมผัส สายตา และอื่นๆ จะถูกจำกัดลงอย่างมาก ทว่าสำหรับฝ่ายเดียวกันอย่างบุรุษโครงกระดูกและบุรุษดาบเลื่อยกลับไม่ส่งผลใด
ต่อมา ในม่านหมอกสีดำได้ปรากฏยินเสียงกรีดร้องโหยหวนของวิญญาณอาฆาตจำนวนนับไม่ถ้วน ก่อกวนจิตวิญญาณ
จ้าวเฟิงเพ่งตามอง วิญญาณรูปแบบมนุษย์ที่รูปลักษณ์ไม่สมบูรณ์ราวๆ 4-5 ตัว นำพาปราณศพและกลิ่นอายเย็นเยียบหดหู่มา สูงราวสิบถึงยี่สิบฟุต ส่งเสียงร้องโหยหวน พุ่งกายมาทางตัวเขาอย่างบ้าคลั่ง
“คนจากตำหนักผาดำนี่ มิคาดมีวิชาในการความคุมวิญญาณและสัมภเวสีได้”
ภายใต้ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิง วิญญาณเหล่านั้นไม่อาจเล็ดรอดไปจากสายตาของเขาได้
สัมภเวสีในระดับนี้มีความสามารถในการโจมตีทางกายภาพในระดับหนึ่ง ทว่าไม่มากมาย สิ่งที่สำคัญคือการโจมตีทางจิตใจ รวมทั้งการกัดกร่อนของปราณศพที่สามารถกัดกร่อน หรือกระทั่งกลืนกินร่างกายของคนทั้งคนได้
ก่อนหน้าที่ตำหนักผาดำใช้ไล่ต้อนสี่อัจฉริยะจากตำหนักเหมันต์ จ้าวเฟิงก็ได้เห็นการโจมตีของวิญญาณเหล่านี้โจมตีแล้ว
ในยามนั้น อัจฉริยะจากตำหนักผาดำแทบไม่ได้โจมตี ใช้แต่เพียงหุ่นเชิดศพในการเข่นฆ่า โดยที่อัจฉริยะจากตำหนักเหมันต์ไม่อาจต่อต้านได้
“ไอ้หนู! ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า แต่จะทรมานเจ้าให้ตาย”
สีหน้าของดรุณีบัวดำขาวซีดราวกับกระดาษ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ
สัมภเวสีในรูปลักษณ์ของมนุษย์เหล่านั้นได้ถูกควบคุมด้วยพลังจิตและปราณศพอย่างแม่นยำ ทว่ามีพลังเทียบได้เพียงแค่ขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำเท่านั้น
สัมภเวสีรูปแบบมนุษย์เหล่านี้ทำให้จ้าวเฟิงเหมือนกับเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนในขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำพร้อมกัน 4-5 คน
“เจ้าพวกสัมภเวสี บังอาจล่วงเกินข้าหรือ!”
จ้าวเฟิงไม่หวาดกลัว กระทั่งรู้สึกว่าดวงตาเทพเจ้าได้เต้นตุบอย่างตื่นเต้น
สลาย!
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงพลันเพ่งมอง ส่องประกายเจิดจ้าเย็นเยียบทิ่มแทงไปถึงจิตวิญญาณ กระทั่งเทพเทวาบนสรวงสวรรค์ยังต้องหวาดกลัว
“กรี้ดดดดดดด”
วิญญาณเหล่านั้นได้ถูกโจมตี พลันส่งเสียงกรีดร้องเจ็บปวดออกมา ราวกับว่าเจอคู่แค้น
ครืนนน
วิญญาณสองตนที่ไม่อาจป้องกันการโจมตีนั้นได้ ร่างกายไหม้ดำส่งควันลอยออกมา พลันล้มลงที่พื้น หวาดกลัวจนแทบสิ้นสติ
วิญญาณดวงอื่นๆ ที่เหลืออีกหลายดวงหวาดกลัวจนร่างสั่นสะท้าน ไม่กล้าที่จะเข้าใกล้จ้าวเฟิง กระทั่งไม่ยอมรับการควบคุมของดรุณีบัวดำ
ที่มาของดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงนั้นไม่รู้ว่าแข็งแกร่งทรงพลังมากมายเพียงใด ทั้งสิ่งที่มันโดดเด่นยังเป็นพลังจิตที่นับเป็นของแสลงของเหล่าสัมภเวสีเหล่านั้น
“เป็นไปได้อย่างไร! สายเลือดดวงตาของเขาสามารถต่อต้านได้…”
ดรุณีบัวดำอุทานออกมาอย่างตื่นตะลึง
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงทำเพียงมอง สัมภเวสีทั่วไปก็พ่ายแพ้สลายไป
บุรุษโครงกระดูกและบุรุษดาบเลื่อยรู้สึกตกใจ
การเคลื่อนไหวของจ้าวเฟิงถูกใช้ออกจนถึงขีดสุด ฉวยโอกาสใช้ผ้าคลุมเงาหยิน สร้างตัวลวงขึ้น
พวกเขาร่วมมือกัน ทว่ากลับไม่อาจสร้างแรงคุกคามให้กับจ้าวเฟิงอย่างแท้จริงได้
แน่นอนว่าหากจ้าวเฟิงปะทะกับพวกเขาคนใดตรงๆ ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายดาย หากรับมือกับสองคนพร้อมกันย่อมต้องพ่ายแพ้ ดังนั้นแล้วจึงสามารถเห็นได้ชัดว่าบุรุษโครงกระดูกและบุรุษดาบเลื่อยนั้นมีพลังต่อสู้แข็งแกร่งไร้ที่ติ
“บุรุษโครงกระดูกนี่มีพลังมหาศาล พลังป้องกันแข็งแกร่ง เชี่ยวชาญในการต่อสู้ระยะประชิด ในบรรดาศัตรูทั้งสามเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด บุรุษดาบเลื่อยนั่นมีความเร็วไม่ธรรมดา เชี่ยวชาญในการทำลายการป้องกัน ดรุณีบัวดำนั่นยอดเยี่ยมในการสนับสนุนและควบคุมสัมภเวสี…”
จ้าวเฟิงเข้าใจถึงความสามารถของทั้งสามคน
การต่อสู้เมื่อครู่นี้เขายังไม่เหนื่อยล้า พลังสายเลือดถูกกระตุ้นใช้เพียงเจ็ดในสิบส่วน วิชาดวงตาทั้งสี่เองก็ยังไม่ได้ใช้ออก
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็สามารถใช้สามกระบวนท่าจัดการทั้งสามคนได้”
เมื่อเข้าใจจุดแข็งของทั้งสาม ในเวลาเดียวกัน จ้าวเฟิงก็เข้าใจในจุดอ่อนของทั้งสามอย่างชัดเจน
ในยามนี้ สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง
“วิชากระดูกมาร!”
บุรุษโครงกระดูกส่งเสียงคำรามต่ำ กระดูกทั่วร่างขยับเคลื่อน ส่งเสียงออกมา
แคร่ก แคร่ก
ร่างของเขาใหญ่โตขึ้นอย่างไม่อาจอธิบาย สูงมากกว่าหนึ่งหลา ทั่วทั้งกายปรากฏหมอกสีเทาขึ้นครอบคลุม พลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก ปราณจิตวิญญาณเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน
หลังจากที่บุรุษโครงกระดุกตัวโตขึ้น พลังของเขาก็สามารถเทียบเคียงได้กับ ‘ขั้นนายเหนือแท้’ ได้
ฮูว์
ภายใต้วิชากระดูกมาร บุรุษโครงกระดูกได้เหวี่ยงโซ่เหล็กออกสร้างเส้นแสงสีเทา ปราณเร่าร้อนได้ไหลเวียน
ตูม!
พื้นโดยรอบแตกออกอย่างไม่หยุดยั้ง ทำลายศัตรูที่เข้ามาใกล้ เพียงแค่ใช้พลังกายของเขาก็สามารถทำให้จ้าวเฟิงล่าถอยไปเรื่อยๆ ได้
“ไอ้หนูสกปรก ภายใต้การร่วมมือของเราสามคน ‘กลุ่มเขี้ยวมาร’ สามารถเป็นคู่ต่อสู้ได้กระทั่ง ‘ขั้นนายเหนือแท้’ เจ้ากล้าที่จะรั้งอยู่เผชิญหน้ากับเราเช่นหมาจนตรอก นับว่าไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำโดยแท้”
บุรุษดาบเลื่อยแย้มยิ้มโหดเหี้ยม หยดเลือดลงบนดาบเลื่อย
ครืนนนน
ดาบเลื่อยสั่นสะท้านด้วยความเร็ว พุ่งแหวกอากาศรงไปยังร่างของจ้าวเฟิงจากระยะไกล
ในเวลาเดียวกัน
ดรุณีบัวดำกึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้น มือข้างหนึ่งลูบดอกบัวดำ ภายใต้ม่านหมอกสีดำพลันปรากฏหุ่นเชิดศพสูงสองสามหลาขึ้น ปราณศพเย็นเยียบน่าพรั่นพรึง ไม่ว่าจะเป็นตัวใดก็มีพลังระดับยอดฝีมือของขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสูง