บทที่ 394 : กำจัดทั้งกลุ่ม
ในช่วงเวลาสำคัญ กลุ่มเขี้ยวมารต่างก็แสดงพลังของตนเองออกมา ความแข็งแกร่งนับว่าน่าตื่นตะลึง
บุรุษโครงกระดูกใช้ ‘วิชากระดูกมาร’ กระดูกทั่วทั้งร่างขยายขึ้น พลังเพิ่มขึ้นมหาศาล นับว่าได้รับการเสริมพลังอย่างเห็นได้ชัด พลังต่อสู้เข้าใกล้ขั้นนายเหนือแท้
บุรุษดาบเลื่อยใช้วิชา สามารถทำลายเกราะที่แข็งแกร่งที่สุดได้ด้วยดาบเลื่อยความถี่สูง โจมตีจากระยะไกลได้
ดรุณีบัวดำยังคงรักษาสภาพหมอกวิญญาณเอาไว้เพื่อชิงความได้เปรียบด้านพื้นที่ สละพลังต่อสู้ของตนเองในการเรียกหุ่นเชิดศพขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอดออกมาสองตัว โจมตีจ้าวเฟิงจากสองด้าน
การร่วมมือกันของทั้งสาม ทั้งการโจมตีและป้องกันอาจกล่าวได้ว่าสมบูรณ์แบบ
การโจมตีระยะประชิดมีบุรุษโครงกระดูก มีวิชากระดูกมาร พลังป้องกันมหาศาล พลังต่อสู้แข็งแกร่งที่สุด
การโจมตีของบุรุษดาบเลื่อยแหลมคมรวดเร็วราวสายฟ้า ยอดเยี่ยมในการทำลายการป้องกัน
ดรุณีบัวดำคอยสนับสนุน ใช้วิญญาณหรือหุ่นเชิดศพในการสนับสนุนหรือลอบโจมตีได้ตลอดเวลา
ทันใดนั้น จ้าวเฟิงก็ถูกล้อมจากรอบด้าน ตกอยู่ในสภาวะเสียเปรียบอย่างมาก
เด็กหนุ่มตระหนักขึ้นเล็กๆ ว่าตนเองได้ดูแคลนพลังของกลุ่มเขี้ยวมารทั้งสามไป
การร่วมมือที่แข็งแกร่งเช่นนี้ แม้จะเป็นขั้นนายเหนือแท้ทั่วไปก็สามารถต่อกรได้ตรงๆ
ครืนนน
พลังสายเลือดของจ้าวเฟิงถูกกระตุ้นใช้ออกอย่างสมบูรณ์ เบื้องหลังปรากฏเงาเย็นเยียบใหญ่โต สวมใส่มงกุฎ มือถือดาบใหญ่ นั่งอยู่บนบัลลังก์น้ำแข็ง
“อาณาเขตจักรพรรดิเหมันต์!”
ความเย็นเยียบที่ไม่อาจมองเห็นแพร่กระจายไปในอากาศ มีจุดศูนย์กลางจากเงาเย็นเยียบและบัลลังก์น้ำแข็ง แช่แข็งทุกสิ่งรอบด้านในระยะหลายสิบหลา
คนหรือการโจมตีต่างๆ ที่เข้ามาใกล้ในบริเวณนี้จะถูกแช่แข็งทำให้เชื่องช้าลง
‘อาณาเขตจักรพรรดิเหมันต์’ คือวิชาของเงาครองสวรรค์ที่ข้ามผ่านกาลเวลาและ ‘อาณาเขตเหมันต์’ ของปิงเว่ยเซียนจื่อรวมกันและเปลี่ยนแปลงมาเป็นของตัวเขาเอง วิชาสายเลือดได้ถูกเปิดเผยความสามารถมากขึ้น
เหตุผลที่ใช้ชื่อว่า ‘อาณาเขตจักรพรรดิเหมันต์’ นั้นเป็นเพราะเงาบรรพบุรุษเบื้องหลังจ้าวเฟิงได้สวมใส่มงกุฎและนั่งอยู่บนบัลลังก์
ผลของกระบวนท่านี้ค่อนข้างชัดเจน
‘บุรุษโครงกระดูก’ ที่ต่อสู้ในระยะประชิด แม้ว่าพลังต่อสู้จะเพิ่มสูงขึ้นมากอย่างรวดเร็ว ร่างกายแข็งแกร่ง ทว่าเมื่อเข้ามาใกล้อาณาเขตของ ‘อาณาเขตจักรพรรดิเหมันต์’ ความเร็วก็จะลดลงสองถึงสามส่วน
รวมทั้งจ้าวเฟิงยังมีความเร็วการเคลื่อนไหวที่เหนือกว่า บุรุษโครงกระดูกที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดมีสร้างแรงคุกคามได้น้อยลงอย่างมาก
ทั้งพลังของบุรุษโครงกระดูกนี้ยังแข็งแกร่ง ร่างกายพิเศษ หากเปลี่ยนเป็นยอดฝีมือขั้นผู้วิเศษแท้คนอื่น หากถูกครอบคลุมด้วย ‘อาณาเขตจักรพรรดิเหมันต์’ บางทีแค่การก้าวเดินยังยากเย็น
ที่น่าเสียกดายคือ บุรุษดาบเลื่อยและดรุณีบัวดำไม่ได้ต่อสู้ในระยะประชิด
หุ่นเชิดศพทั้งสองที่พุ่งเข้ามา หลังจากเข้าไปใกล้ ‘อาณาเขตจักรพรรดิเหมันต์’ การเคลื่อนไหวก็แข็งค้าง ถูกแช่แข็ง ความเร็วลดลงกว่าครึ่ง
หรืออีกนัยหนึ่ง
สำหรับศัตรูที่เชี่ยวชาญในการต่อสู้ระยะประชิดได้ถูก ‘อาณาเขตจักรพรรดิเหมันต์’ ของจ้าวเฟิงจำกัดความสามารถไว้อย่างมาก
ในยามนี้ พลังสายเลือดของจ้าวเฟิงได้พัฒนาขึ้นเหนือกว่าแต่ก่อน ได้เผชิญหน้าอัจฉริยะที่มีสายเลือดมาจำนวนมาก การใช้ความสามารถของสายเลือดจึงเหนือกว่าแต่ก่อนหลายเท่าตัว
ครืนนน
ดาบเลื่อยขนาดใหญ่ที่มีความถี่สูงตีวงมาอย่างคดเคี้ยว มุ่งหน้าตรงไปเฉือนขาของจ้าวเฟิงอย่างดหดเหี้ยม
การโจมตีระยะไกลของบุรุษดาบเลื่อยต้องการจัดกำลังจ้าวเฟิง
ทุกครั้งที่จ้าวเฟิงเคลื่อนไหวนับว่าน่าหวาดหวั่นนัก เพราะเขาต้องรับมือกับหุ่นเชิดศพสองตัว ทั้งยังมีบุรุษโครงกระดูกที่แข็งแกร่งอีก
“อันตรายของบุรุษดาบเลื่อยมีมากที่สุด”
นัยน์ตาของจ้าวเฟิงปรากฏประกายเย็นเยียบพาดผ่าน ตัดสินใจที่จะจบการต่อสู้ให้รวดเร็วที่สุด
ตั้งแต่เริ่มการต่อสู้มา เป้าหมายหลักของเขาคือการสังเกตการณ์วิชาของตำหนักผาดำด้วยความรู้สึกคุ้นเคย
ฟึ่บ
ผ้าคลุมเงาหยินริ้วไหว สร้างเงาร่างประกายสายฟ้าขึ้นสามร่าง ทะลวงผ่านหมอกวิญญาณออกไปด้านนอก
“จิจิ… ตอนนี้อยากจะหนีไปก็นับว่าสายไปแล้ว!”
กลุ่มเขี้ยวทมิฬต่างร่วมมือกันเป็นหนึ่ง ขัดขวางเส้นทางหลบหนีทั้งหมดของจ้าวเฟิง
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ
เงาร่างประกายสายฟ้าเหล่านั้นสลายหายไปโดยสิ้นเชิง ทั้งหมดล้วนเป็นร่างปลอม
“ด้านนั้น! ดาบเลื่อยระวัง!”
ดรุณีบัวดำที่รักษาสภาพหมอกวิญญาณเอาไว้มีประสาทสัมผัสเฉียบแหลมที่สุด รับรู้ถึงเงาที่มุ่งหน้าตรงไปยังบุรุษดาบเลื่อยอย่างรวดเร็ว
“ฮ่า ฮ่า จะฆ่าข้าหรือ?”
บนใบหน้าของบุรุษดาบเลื่อยปรากฏความเย้ยหยัน ดาบเลื่อยความถี่สูงย้อนกลับมารวดเร็วราวสายฟ้า กระทั่งประสาทสัมผัสจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงยังรับรู้ได้เพียงเลือนราง
ดาบเลื่อยของเขานั้นหากต่อสู้ระยะประชิดสามารถเรียกกลับมา หากอยุ่ไกลสามารถใช้ลอบโจมตีได้
ทว่า
จ้าวเฟิงที่อยู่ในสายตาของเขายังคงเคลื่อนที่เข้ามาใกล้
เนตรจิตวิญญาณเหมันต์!
ดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่มผมฟ้าผู้นั้นราวกับบ่อน้ำเย็นเยียบ ความเย็นอันไร้ที่สิ้นสุดแพร่กระจายไปในอากาศ แช่แข็งสตินึกคิดของเขาในเสี้ยววินาที
“ไม่…”
สีหน้าของบุรุษดาบเลื่อยแข็งค้างกลางอากาศ ร่างสั่นสะท้านราวกับตกลงไปในหล่มน้ำแข็ง ทุกการเคลื่อนไหวต่างแข็งเกร็งเชื่องช้าถึงที่สุด
โผล๊ะ!
ฝ่ามือของจ้าวเฟิงปรากฏบุปผาเหมันต์อัสนีระเบิดออกในเสี้ยววินาที ระเบิดร่างของอีกฝ่ายกลายเป็นกองเนื้อไหม้ดำ บางส่วนถูกน้ำแข็งเกาะ
“ดาบเลื่อย!”
บุรุษโครงกระดูกและดรุณีบัวดำมองไปด้วยสีหน้าว่างโล่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
พวกเขาไม่อาจทำใจให้เชื่อได้ว่าจ้าวเฟิงที่เพิ่งจะตกอยู่ในสถานการณ์เข้าตาจนจะสามารถพลิกสถานการณ์ ฆ่าคนของพวกเขาไปได้คนหนึ่ง
มันนับว่าเหลือเชื่อจริงๆ ว่าบุรุษดาบเลื่อยจะยืนอยู่ที่เดิม ปล่อยให้จ้าวเฟิงฆ่าได้โดยง่าย ดูราวกับว่าถูกแช่แข็ง ทว่าปัญหาคือบนร่างของเขาไม่มีร่องรอยการถูกแช่แข็งแต่อย่างใด
“‘เนตรจิตวิญญาณเหมันต์’ เกี่ยวข้องกับขอบเขตจิตวิญญาณของข้า ขอบเขตสูงขึ้นก็ยิ่งสามารถถ่ายทอดพลังของดวงตาเทพเจ้าได้มากขึ้น”
จ้าวเฟิงไม่รู้สึกแปลกใจ
ขอบเขตจิตวิญญาณของเขานับว่าเข้าสู่ขั้นนายเหนือแท้ได้ บุรุษดาบเลื่อยผู้นั้นมีพลังขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสูง เมื่อถูก ‘เนตรจิตวิญญาณเหมันต์’ โจมตีตรงๆ ย่อมไม่มีพลังที่จะต่อต้าน
รวมทั้งบุรุษโครงกระดูกและดรุณีบัวดำ ขอบเขตจิตวิญญาณของพวกเขายังไม่เข้าสู่ขั้นนายเหนือแท้
หรืออีกนัยหนึ่ง
จ้าวเฟิงลำบากเพียงจ้องมองสามครั้งก็สามารถฆ่ากลุ่มเขี้ยวมารทั้งสามได้ในเสี้ยววินาที
ในยามนี้
บุรุษโครงกระดูกและดรุณีบัวดำตกลงสู่ความตื่นตะลึงที่ไม่อาจเทียบ
“นี่คือวิชาดวงตา! เป็นวิชาพลังจิตธาตุน้ำแข็ง แช่แข็งสตินึกคิดของคู่ต่อสู้…”
ดรุณีบัวดำเข้าใจอย่างรวดเร็ว จะอย่างไรนางก็เชี่ยวชาญในการควบคุมวิญญาณ ความสามารถในการใช้พลังจิตนับว่าเกินธรรมดา
หลังจากเข้าใจถึงสาเหตุ ใจของนางก็หล่นวูบ
แม้ว่าแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของนางเมื่อเทียบกับบุรุษดาบเลื่อยแล้วจะแข็งแกร่งกว่า ทว่าในด้านคุณภาพแล้วไม่แตกต่างกันมากเท่าใดนัก
จ้าวเฟิงสามารถทำให้บุรุษดาบเลื่อยไม่มีแม้กำลังจะตอบโต้ มีความเป็นไปได้สูงว่าหนึ่งกระบวนท่าก็สามารถจัดการนางได้
ทว่าดรุณีบัวดำไม่รู้ว่าขอบเขตจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงนั้นสูงมากถึงขั้นนายเหนือแท้ แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณแข็งแกร่งกว่าคนในระดับเดียวกันหลายเท่าตัว
“เป็นเช่นนี้เอง! พลังฝึกตนของข้าสูงกว่าเด็กนี่มากนัก ไม่เห็นต้องกลัว”
บุรุษโครงกระดูกลอบคิดในใจ เหวี่ยงโซ่เหล็ก ร่วมมือกับหุ่นเชิดศพทั้งสองเข้าใกล้ร่างของจ้าวเฟิง
คนทั้งสองร่วมมือกันไม่อาจจัดการจ้าวเฟิงลงได้ เพียงหวังว่าจะสามารถถ่วงเวลาอีกฝ่ายได้จนกว่ากำลังเสริมของตำหนักผาดำจะมาถึง
“ตราบเท่าที่ศิษย์พี่ชื่อกุ้ยมาถึง ไอ้เด็กนี่ย่อมไม่มีหนทางตอบโต้”
ดรุณีบัวดำลอบคิด
จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบาง”กำลังเสริมของพวกเจ้าอยู่ห่างออกไปราวๆ 200 ลี้”
ดวงตาเทพเจ้าของเขาสามารถมองเลยไปได้ไกลกว่า 200 ลี้ เห็นอีกามารทมิฬที่บินอยู่กลางอากาศ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น คนทั้งสองต่างก็ตื่นตะลึงอยู่ในใจ สีหน้าแปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง
“สายเลือดดวงตาของเด็กนี่น่ากลัวเพียงนี้…”
คนทั้งสองสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไป
ในขณะที่ต่อสู้ จ้าวเฟิงยังสามารถแบ่งความสนใจไปยังสถานการณ์รอบด้าน ชัดเจนว่าการต่อสู้นี้สำหรับอีกฝ่ายนับเป็นเพียงการหยอกล้อหนึ่งเท่านั้น
ความจริงแล้ว ก่อนหน้าที่จ้าวเฟิงยังไม่ได้ใช้สายเลือดดวงตา เด็กหนุ่มก็เหนื่อยล้าอย่างรวดเร็ว
ดวงตาเทพเจ้าของเขาทำได้หลายอย่าง ความสามารถนั้นเองก็มี
“เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้า!”
ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงส่องประกายเพลิงอัสนีสีเขียวขึ้น
ฟึ่บ
บนร่างของบุรุษโครงกระดูกปรากฏเพลิงอัสนีขึ้นกระจายไปทั่วร่าง
“อ๊ากกกกก”
บุรุษโครงกระดูกกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ร่างกายถูกเพลิงอัสนีเผาจนไหม้เกรียม พลังฝึกตนสายมารนับว่าแพ้ทางอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง
“การพัฒนาของเพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้าไม่น้อยเลย มีระยะเวลาคงทนยาวนานขึ้น ทั้งยังชนะกับวิชาสายมารในระดับนี้”
จ้าวเฟิงลอบผงกศีรษะ
ก่อนหน้าที่เขาจงใจพัฒนาเปลงเพลิงวิญญาณอัสนีในร่างก็เพื่อเพิ่มพลังของเพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้า ใช้ในการรับมือกับอัจฉริยะของตำหนักผาดำ
ไม่ว่าจะเป็นสายฟ้าหรือเปลวเพลิงต่างก็เป็นของแสลงสำหรับวิชาสายมาร มีความแพ้ทางอย่างมาก ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าทั้งสองธาตุต่างอยู่ในวิชาดวงตานี้
ในระยะเวลาหลายลมหายใจ บุรุษโครงกระดูกได้ถูกเผาไหม้จนกลายเป็นแท่งถ่านดำ
พลังของเพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้านั้นโจมตีไปที่กายเนื้อและจิตวิญญาณพร้อมกัน ไม่เพียงแค่เผาไหม้ร่างกาย ทว่ายังโจมตีไปยังความรู้สึกนึกคิดไปพร้อมๆ กัน นับว่าบุรุษโครงกระดูกถึงฆาตอย่างแน่นอน
“ศิษย์พี่”
ดรุณีบัวดำที่เหลืออยู่สีหน้าซีดขาว
นางไม่อาจที่จะคาดเดาได้ว่าฝันร้ายแบบใดที่เฝ้ารออยู่ วิชาดวงตาถูกใช้ออกสองครั้ง จัดการสองหัวหอกหลักของ ‘กลุ่มเขี้ยวมาร’ ไปได้ รวมทั้งบุรุษโครงกระดูกด้วย
ตุบ
ร่างของนางสั่นสะท้านขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ล้มลงบนพื้น เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้น”ข้าขอร้อง โปรดไว้ชีวิตข้า…”
เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้าของจ้าวเฟิงชนะทางกับวิชาสายมารอย่างสิ้นเชิง ลำบากเพียงแค่จ้องมองก็สามารถส่งนางขึ้นสวรรค์ไปได้
กระทั่งบุรุษโครงกรดูกที่มีร่างกายแข็งแกร่งยังสามารถต่อต้านได้เพียงไม่กี่ลมหายใจก่อนจะถูกเผาตาย แล้วนางที่อ่อนแอบอบบางเล่า?
“เก็บหุ่นเชิดศพของเจ้า”
จ้าวเฟิงพลันเอ่ยขึ้น
“ได้ ได้!”
ดรุณีบัวดำพลันลูบดอกบัวดำในมือ หมอกจางหายไปพร้อมกับหุ่นเชิดศพทั้งสอง
ฟุ่บ!
ใกล้ร่างของจ้าวเฟิงได้ปรากฏสัญลักษณ์เหมันต์อัสนีขึ้น ครอบคลุมไปทั่วร่างของเด็กสาวอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า
“อึ่ก!”
ใบหน้าของเด็กสาวผู้ครอบครองบัวดำกระตุก ถูกแช่แข็ง กระทั่งปราณจิตวิญญาณยังถูกผนึก สูญเสียอิสรภาพ
“เร็วเพียงนี้?”
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงต้องมองไปในทิศทางหนึ่ง พบว่ากำลังเสริมของตำหนักผาดำได้เข้ามาในระยะสองร้อยลี้แล้ว
เคลื่อนย้าย!
จ้าวเฟิงคว้าร่างของ ‘ดรุณีบัวดำ’ ไปเป็นตัวประกัน ร่างพร่าเลือนลง หลอมรวมเข้ากับป่าไม้อันซับซ้อน
“คนผู้นี้ระวังตัวยิ่งนัก เหตุใดเขาจึงไม่ฆ่าข้า? อย่าได้บอกเชียวว่าเขาเป็นเช่นบุรุษพวกนั้น คิดจะ…”
เด็กสาวตกอยู่ในสภาวะสิ้นหวัง ไม่อาจจะจินตนาการว่าตนเอง เด็กสาวที่อ่อนแองดงามเช่นนี้ เมื่อตกอยู่ในกำมือของศัตรูแล้วจะตกอยู่ในฝันร้ายเช่นใด
เป็นเรื่องดีที่
ใบหน้าของจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความระมักระวังไร้อารมณ์ความรู้สึก จับตัวนางพร้อมเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ไม่มีท่าทีหื่นกระหายแต่อย่างใด
หลังจากครึ่งชั่วน้ำชาเดือด
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ
คนจากตำหนักผาดำนำมาโดยชายหนุ่มจมูกดำนาม ‘ชื่อกุ้ย’ นำคนเจ็ดคนมาถึงบริเวณที่ไหม้เกรียม
บรรยากาศของบริเวณนั้นเต็มไปด้วยความหดหู่เศร้าหมอง
ชื่อกุ้ยไม่เอ่ยคำใด นัยน์ตาราวเม็ดถั่วปรากฏเปลวเพลิงที่รูปลักษณ์และสีไม่แน่นอนขึ้นจางๆ
บริเวณนั้น
ศพของบุรุษโครงกระดูกเหลือเพียงกองขี้เถ้าไหม้ดำ กระดูกแตกสลาย
ศพของบุรุษดาบเลื่อยกลับกลายเป็นเศษเลือดเนื้อที่ปรากฏรอยไหม้และน้ำแข็งเกาะอยู่
“ไม่มีศพของหลี่โย่วเหลียน”
ชายหนุ่มร่างผอมเอ่ย
“จากร่องรอยบนพื้น ‘กลุ่มเขี้ยวมาร’ ต่อสู้กับคนเพียงคนเดียว มันจะยากเย็นเพียงใดกัน ยากที่จะจินตนาการนัก…”
ชื่อกุ้ยเอ่ยพึมพำ
“ศิษย์พี่ชื่อกุ้ย มันเป็นไปได้อย่างไร! บางทีอาจมีคนอื่นในสิบอัจฉริยะขั้นนายเหนือแท้ ตัวอย่างเช่นอัจฉริยะที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดของ ‘สำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่าง’ มาเป็นคนที่ห้า”
ชายหนุ่มร่างผอมสั่นศีรษะอย่างรุนแรง
“ใช่แล้ว! กลุ่มเขี้ยวมารเมื่อร่วมมือกัน กระทั่งสามารถต่อกรกับขั้นนายเหนือแท้ทั่วไปได้ จะพ่ายแพ้และหลบหนีไปโดยที่ไอ้เด็กนั่นยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร”
ชายหนุ่มขั้นผู้วิเศษแท้ระดับแรกเริ่มคนหนึ่ง กระทั่งคนที่อ่อนแอที่สุดใน ‘กลุ่มเขี้ยวมาร’ ก็อาจจะไม่สามารถนับเป็นคู่ต่อสู้ได้ ไม่ต้องเอ่ยสามรุมหนึ่งเลย