บทที่ 45 : คำเชิญเข้าร่วมการชุมนุม (2)
ภายในสวน
หลังจากที่ทั้งสองเดินจากไป จ้าวเฟิงก็กลับมาเป็นปกติ เขาต้องการที่จะเข้าสู่จุดสุดยอดของการฝึกตนเพื่อสำรวจโลกภายนอก เมืองเล็กๆ เช่นเมืองประกายอรุณนี้มิอาจกักขังเขาได้
เด็กหนุ่มสนใจเพียงแต่การฝึกตน จากการฝึกฝนดรรชนีสู่การฝึกฝนวิชาเคลื่อนไหว จกนั้นจึงเป็นวิชาพลังภายในสู่วิชาเสริมกายา เขาไม่รู้ว่าอัจฉริยะรุ่นของเขาล้วนถูกเชิญไปยังงานชุมนุมอัจฉริยะ คำเชิญนั้นมาจากดรุณีที่งดงามที่สุดแห่งเมืองประกายอรุณ ดังนั้นแล้วเด็กหนุ่มทุกคนล้วนแล้วแต่พร้อมที่จะแสดงความสามารถของตนเองออกมา
ราตรีนั้น
จ้าวชิ จ้าวฮัน จ้าวชิ่น จ้าวหลิง… ได้รับคำเชิญของพวกเขา ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับบัตรเชิญ
แน่นอนว่าผู้ที่ถูกเลือกย่อมเป็นผู้ฝึกตนที่ไม่ต่ำกว่าขั้นสี่
จ้าวเฟิงไม่รู้ถึงเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง จ้าวหยูเฟ่ยเดินวนเวียนในบ้านของนาง ครุ่นคิดว่านางควรจะบอกข่าวนี้แก่น้องชายข้างบ้านหรือไม่
วันที่สามนับตั้งแต่บัตรเชิญถูกส่งออกไป
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิบนพื้น ดวงตาปิดสนิท ทันใดนั้นร่างของเขาก็ปรากฏกลิ่นอายที่ไม่อาจปกปิดได้ออกมา
ฟู่ววว
แรงนั้นกวาดผ่านทุกสิ่ง กระแทกเก้าอี้ปลิวลอย กระจกหน้าต่างสั่นสะท้าน
ทันใดนั้น
ดวงตาของเด็กหนุ่มก็เปิดออก ในดวงตาทั้งสองราวกับปรากฏประกายสายฟ้าวาบ
“พลังภายในของข้าเข้าสู่ขั้นหกแล้ว” ความตื่นเต้นและดีใจปรากฏขึ้นในดวงตาของจ้าวเฟิง แต่ทันใดนั้นเขาก็โคจรเคล็ดกลืนวนาลัยเพื่อปกปิดพลังภายในของเขาเป็นขั้นห้า
เหตุผลที่พลังภายในของเขาเข้าสู่ขั้นหกอย่างรวดเร็วนั้นเป็นเพราะถ้ำนั่น กระทั่งวิชากำแพงเหล็กยังห่างไกลจากระดับห้าเพียงครึ่งก้าว
เมื่อวิชากำแพงเหล็กเข้าสู่ระดับห้า ผู้ฝึกจะไม่เพียงมีร่างกายที่แข็งแกร่งราวเหล็กกล้า แต่ทว่าสามารถทำลายอาวุธได้โดยใช้เพียงแค่ร่างกาย ซึ่งหมายความว่าผู้ที่อ่อนแอกว่าจ้าวเฟิงจะบาดเจ็บจากการโจมตีที่สะท้อนกลับ ในตอนนี้ วิชากำแพงเหล็กของเขาได้เข้าใกล้ระดับห้ามาก ทั้งพลังฝึกตนของเขาก็ใกล้จะเข้าสู่ขั้นหกแล้ว
“พลังฝึกตนและวิชากำแพงเหล็กของข้าจะทะลวงขั้นในอีกราวๆ สองวัน” เด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ขั้นหกแห่งหนทางผู้ฝึกตนและวิชากำแพงเหล็กระดับห้า เขามั่นใจว่าเขาสามารถเอาชนะศิษย์ทุกคนของพรรคได้หากเขาต้องสู้กับพวกนั้น
ในวันเดียวกันนั้น
ภายในสวนที่แม้จะเก่าแก่แต่ยังคงงดงามภายในพรรคจ้าว
“ขั้นหกแห่งหนทางผู้ฝึกตน… เร็วกว่าที่ข้าคาดไว้” จ้าวหลินหลงที่แต่งกายด้วยชุดสีทองเช่นปกติยืนนิ่งพร้อมด้วยกลิ่นอายทรงพลังที่ล้อมรอบตัวเขา
ฟู่ว!
ชายหนุ่มปลดปล่อยกลิ่นอายแข็งแกร่งออกมา ทุกสิ่งภายในรัศมีสองสามเมตรถูกฉีกกระชากเป็นชิ้น
“ไม่เลว เจ้าอายุเพียงสิบแปดปีแต่กลับเข้าสู่ขั้นหกแล้ว นี่นับว่าทำลายสถิติของเมืองประกายอรุณ” หัวหน้าพรรคจ้าว จ้าวเทียนชาง มองไปยังบุตรบุญธรรมอย่างชื่นชม
“หากข้าไม่ได้พฤกษาโลหิตพันปีและไม่ได้ท่านพ่อเลี้ยงใช้ ‘เคล็ดเปิดชีพจรสร้างโลหิต’ ข้าคงไม่อาจเข้าสู่ขั้นหกได้รวดเร็วเช่นนี้” จ้าวหลินหลงเอ่ยอย่างถ่อมตน
แม้ว่าเขาจะเข้าสู่ขั้นหกแล้ว เขาก็ยังคงเป็นสิ่งเล็กกระจ้อยร่อยเมื่อเทียบกับผู้เป็นพ่อบุญธรรมของเขา ความแตกต่างระหว่างขั้นหกและขั้นเจ็ดนั้นยิ่งใหญ่นัก เช่นเดียวกับขั้นสามและขั้นสี่ มีผู้ฝึกตนเพียงหนึ่งในสิบที่สามารถเข้าสู่ขั้นสี่ได้ และในบรรดาผู้ฝึกตนขั้นหกนั้น มีเพียงหนึ่งในร้อยที่สามารถเข้าสู่ขั้นเจ็ดได้
“จากนี้เจ้าต้องให้ความสนใจกับการฝึกฝนวิชา งานชุมนุมอัจฉริยะใกล้เข้ามาแล้ว เจ้าควรจะสร้างชื่อเสียงให้พรรคบ้าง” จ้าวเทียนชางเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“อย่าได้กังวลเลยท่านพ่อเลี้ยง ไม่มีผู้ใดสามารถหยุดข้าได้นอกจากซินหวู่เฮิง และจากข่าวลือ ซินหวู่เฮิงยังหยุดอยู่เพียงแค่ขั้นสุดยอดของขั้นห้า ข้ามีโอกาสอย่างน้อย 60% ที่จะเอาชนะเขาได้” จ้าวหลินหลงเอ่ยอย่างมั่นใจ
เวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
งานชุมนุมอัจฉริยะค่อยๆ คืบคลานเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เมืองประกายอรุณเริ่มหนาแน่นไปด้วยผู้คนตามวันเวลาที่เข้าใกล้
บางคนเพียงแค่มาเพื่อดูสตรีที่งดงามที่สุด
ในเวลานั้น ข่าวที่จ้าวหลินหลงได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นหกได้กระจายไปทั่วเมืองราวกับไฟป่า แน่นอนว่ามันได้สร้างความตื่นตะลึงให้กับเด็กหนุ่มสาวจำนวนนับไม่ถ้วน และสร้างแรงกระเพื่อมต่อสามขั้วอำนาจหลัก
ขั้นหกแห่งหนทางผู้ฝึกตน!
สำหรับเหล่าเด็กหนุ่มสาวนั้น นี่นับเป็นความสำเร็จอันน่าเหลือเชื่อ ไม่มีผู้ใดเทียบเท่าจ้าวหลินหลงได้อีกในเมืองนี้
ทว่า ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าจ้าวหลินหลงไม่ใช่ผู้เดียวที่ทะลวงเข้าสู่ขั้นหก
ในสวนพรรคจ้าว
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งเริ่มก้าวเดินไปบนอากาศ ภาพติดตาปรากฏเลือนรางอยู่ทั่วบริเวณ
ปึก!
ร่างของจ้าวเฟิงร่อนลงบนพื้นอย่างแผ่วเบาราวกับใบไม้ หากมองโดยละเอียดพวกเขาจะพบว่าร่างของเด็กหนุ่มนั้นเหยียดตรงกว่าเดิมเสียอีก ร่างกายของเขานั้นใหญ่โตกว่าผู้ใหญ่ทั่วไป แม้ว่าจะอายุเพียงสิบสี่ขวบปี
พลังฝึกตนและวิชากำแพงเหล็กของเขาล้วนทะลวงเข้าสู่ขั้นถัดไปเมื่อเจ็ดวันก่อน ในตอนนั้น เขามั่นใจอย่างเต็มที่ว่าไม่มีผู้ใดสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อีกต่อไปในเมืองประกายอรุณนี้
เขาได้พยายามทำความเข้าใจดรรชนีดาราและย่างก้าวเสี้ยวพริบตาในไม่กี่วันที่ผ่านมา แล้ววิชาย่างก้าวชั่วพริบตาได้เข้าสู่ขั้นสุดยอด
บัดนี้ จ้าวเฟิงทุ่มความสนใจของเขาไปยังดรรชนีดารา ในที่สุดวิชานี้ก็ถูกฝึกฝนจนเข้าระดับสาม
เฟี้ยวว ฉึก
นิ้วชี้ของเด็กหนุ่มปรากฏภาพติดตาไว้กลางอากาศ
“ฮึบ!”
จ้าวเฟิงควบรวมพลังภายในของเขาไปไว้ที่จุดๆ เดียว อากาศโดยรอบมันนั้นราวกับสั่นสะท้าน
ฟุ่บ
ในราตรีอันมืดมิด ดวงดาวที่ถูกสรรสร้างขึ้นจากนิ้วมือของเขาไม่ได้หายไปโดยตรง ทว่ามันกลับสร้างร่องรอยงดงามไว้บนนภาสีหมึก วาดภาพทิวทัศน์ให้งดงาม
กระบวนท่านี้คือท่าไม้ตายของดรรชนีดารา ‘ดรรชนีชี้ดารา’
พลังของ ‘ดรรชนีชี้ดารา’ นับว่าเข้าขั้นสุดยอด เมื่อถูกใช้ออกอย่างสมบูรณ์แบบ เด็กหนุ่มสามารถเอาชนะทุกคนที่อยู่ในขั้นเดียวกันได้ ทั้งวิชานี้ยังทะลวงผ่านวิชาเสริมกายาได้ เขาเชื่อว่ามีผู้ฝึกตนที่ต่ำกว่าขั้นเจ็ดจำนวนไม่มากที่สามารถป้องกันกระบวนท่านี้ได้
ทว่า ‘ดรรชนีชี้ดารา’ นี้ก็ยังคงมีข้อด้อยอยู่
อย่างแรกคือความซับซ้อนของมัน เขามีโอกาสใช้มันออกเพียงราวๆ 20-30% เท่านั้น เพราะว่าระดับของมันนั้นยังอยู่เพียงแค่ระดับสาม
อย่างที่สองคือการที่มันมีความเสี่ยงปะปนอยู่ หากเขาพลาดมันจะฉีกกระชากเส้นเลือดของเขาแทน ก่อนหน้าผู้อาวุโสจ้าวเองก็สามารถฝึกฝนจนได้เพียงขั้นนี้
“หากข้าใช้ดวงตาซ้าย ข้าจะมีโอกาสในการใช้มันสำเร็จราว 40-50% และโอกาสที่จะผิดพลาดจะเหลือเพียง 10%” จ้าวเฟิงคำนวณ
แน่นอนว่ายิ่งระดับสูงขึ้นเท่าใด โอกาสที่จะใช้สำเร็จก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
คนส่วนมากมีโอกาสเพียงแค่ 40-50% เมื่อเข้าสู่ขั้นสุดยอดของระดับสาม และ 70-80% ในระดับสี่ ส่วนในระดับห้านั้นจะมีโอกาสสำเร็จ 100% สำหรับระดับหกและสูงกว่า การโจมตีจะไม่ถูกจำกัดเพียงแค่ดรรชนีชี้ดารา หากคู่ต่อสู้ไม่มีวิชาระดับเทพเจ้า เช่นนั้นก็นับว่าจบสิ้น..
ทว่าเรื่องเหล่านั้นยังนับว่าห่างไกลจากจ้าวเฟิงนัก บัดนี้เขาคาดหวังกับระดับสี่อย่างมาก
“นายน้อยจ้าวเฟิง ท่านได้รับคำเชิญ” เสียงของข้ารับใช้ดังขึ้นจากด้านนอกด้วยน้ำเสียงเคารพนอบน้อม
จ้าวเฟิงรู้สึกแปลกประหลาดขณะที่มองตัวอักษรบนแผ่นกระดาษสีฟ้านั้น งานชุมนุมอัจฉริยะ
งานชุมนุมอัจฉริยะ?
จ้าวเฟิงไม่รู้อันใดเกี่ยวกับมันแม้แต่น้อย
ด้านล่างสุดของแผ่นกระดาษปรากฏตัวอักษรเล็กๆ สองสามคำ
ผู้จัดงาน: ชิวเมิงหยู
จ้าวเฟิงรู้สึกว่านามนั้นคุ้นเคยยิ่ง
“ผู้ใดคือชิวเมิงหยู?” จ้าวเฟิงเอ่ยถามไปตามสัญชาตญาณ
“นายน้อยจ้าวเฟิง ชิวเมิงหยูคือสตรีที่งดงามที่สุดแห่งเมืองประกายอรุณ ทั้งนางยังเป็นหนึ่งในสี่ยอดอัจฉริยะด้วย” ข้ารับใช้พยายามคงสีหน้าไร้อารมณ์ไว้
ชิวเมิงหยู สตรีที่งดงามที่สุดแห่งเมืองประกายอรุณ แต่มีบางคนไม่รู้จักนาง?
ฟุ่บ!
ทันทีที่ร่างของข้ารับใช้หายไป ร่างในชุดสีม่วงอ่อนก็ปรากฏกายขึ้นภายในสวน
“น้องเฟิง เจ้าเพิ่งจะได้รับคำเชิญหรือ?” ลักยิ้มมีเสน่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจ้าวหยูเฟ่ย
“งานชุมนุมอัจฉริยะคืออันใดกัน?” จ้าวเฟิงก็ยังคงไม่รู้ว่ามันคืองานอะไรอยู่ดี
“เจ้าไม่รู้หรือว่างานชุมนุมอัจฉริยะคือสิ่งใด? ข้ากระทั่ง…” ปากของเด็กสาวอ้ากว้างขณะที่นางยืนอึ้ง
นางรู้สึกเคืองเล็กๆ นางกระทั่งไปยังตระกูลชิวและได้รับคำเชิญอีกอันมาในที่สุด
“พี่หยูเฟ่ย อันใดคืองานชุมนุมอัจฉริยะ?” จ้าวเฟิงไม่อาจห้ามตนเองไม้ให้ถามออกไปอีกครั้งได้
เขาไม่แม้แต่กระทั่งรู้ว่าคำเชิญนี้มาได้อย่างไร โดยปกติแล้ว จ้าวหลินหลงมีคำเชิญทั้งหมดห้าอัน ทว่าเขาไม่ได้ให้จ้าวเฟิงแม้สักอัน จ้าวหยูเฟ่ยเองก็ไม่ได้บอกเขาถึงเรื่องนี้ แต่นางกลับไปยังตระกูลชิวเพื่อนำคำเชิญมาให้จ้าวเฟิงอีกอัน
“ฮึ่ม หากเจ้าไม่รู้ก็อย่าได้ใส่ใจมันเถอะ” จ้าวหยูเฟ่ยเค้นเสียงก่อนจะจากไป
หืม?
จ้าวเฟิงรู้สึกประหลาดเมื่ออีกฝ่ายดูโกรธเคือง นั่นเป็นครั้งแรกที่นางโกรธ
“งานชุมนุมอัจฉริยะ? ข้าคงต้องไปหาข้อมูล ข้าสงสัยนักว่าสตรีที่งดงามที่สุดนั่นจะงดงามกว่าจ้าวหยูเฟ่ยหรือไม่?” จ้าวเฟิงรู้สึกสนใจในที่สุด
เขาเปิดซองจดหมาย บนนั้นปรากฏชื่อสถานที่และเวลา
“อันใดกัน!? ไม่ดีแล้ว!”
สีหน้าของเด็กหนุ่มเปลี่ยนไป เป็นเพราะว่าเวลาเริ่มนั้นคือคืนนี้
ในตอนนี้ ดวงอาทิตย์ได้ตกลงแล้ว เหลือเวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง
“เดี๋ยว! พี่หยูเฟ่ย รอข้าก่อน…” จ้าวเฟิงร้องออกมาขณะที่เขาไล่ตามนางไป