บทที่ 44 : คำเชิญเข้าร่วมการชุมนุม (1)
จ้าวเฟิงปิดเปลือกตาลงและเริ่มทำความเข้าใจดรรชนีดารา
เด็กหนุ่มเข้าใจมันเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยในไม่กี่ชั่วโมงต่อมา วิชานี้นับว่ายากกว่าวิชาระดับสูงอื่นโดยแท้ ในด้านของความยากนั้น มันอาจเทียบเท่าได้กับวิชานภาลอยล่อง ทว่าดรรชนีดารานั้นไม่เพียงแค่เข้าใจยาก ทว่ากลับมีความเสี่ยงในการใช้ออกอยู่ด้วย เมื่อผู้ฝึกควบรวมพลังภายในไปที่จุดหนึ่งแล้ว เพียงแค่ความผิดพลาดเล็กน้อยก็สามารถทำให้พิการได้
นั่นหมายความว่ามันต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูงและไม่อาจรีบร้อนได้ ดังนั้นความพัฒนาของมันจึงเชื่องช้าตามไปด้วย ทว่าด้วยนัยน์ตาซ้ายของจ้าวเฟิงที่ช่วยเพิ่มพลังสมาธิ ปฏิกิริยาตอบโต้ การคิดคำนวณและความเข้าใจ ทำให้มันยากที่จะเกิดข้อผิดพลาดเช่นนั้น
ความเสี่ยงของดรรชนีดาราถูกลดลงจนถึงจุดต่ำสุด ในเวลาสองวัน ดรรชนีดาราของเด็กหนุ่มก็สู่ระดับหนึ่ง ระดับหนึ่งของวิชานี้นั้นคือการควบรวมพลังภายในให้เป็นเส้นเดียวและมีพลังทะลุทะลวงสูง หลังจากที่ข้าสู่ระดับหนึ่ง จ้าวเฟิงสามารถที่จะทะลวงหินได้โดยใช้เพียงพลังของนิ้วเท่านั้น
เขายังคงฝึกฝนดรรชนีดาราต่อไป ระดับสองของมันนั้นยากกว่าระดับหนึ่งยิ่งนัก ผู้ฝึกต้องควบรวมพลังภายในไปที่จุดเดียวแทนที่จะเป็นเส้น ซึ่งหมายความว่าพลังของมันนั้นจะอัดแน่นและระเบิดรุนแรงกว่าเดิม
จ้าวเฟิงใช้เวลาเจ็ดวันในการเข้าสู่ระดับสอง ทว่าผลลัพธ์ของมันนั้นเด่นชัดยิ่ง พลังโจมตีของมันนั้นเทียบเท่าได้กับขั้นสูงของวิชาระดับสูง นั่นหมายความว่าพลังโจมตีของเด็กหนุ่มนั้นเหนือกว่าศิษย์คนอื่นรวมทั้งจ้าวหลินหลง หลังจากที่เข้าสู่ระดับสอง จ้าวเฟิงก็ค้นพบว่าการพัฒนาของมันนั้นเชื่องช้ายิ่งนัก
ครึ่งเดือนต่อมา
ในที่สุดจ้าวเฟิงก็สามารเข้าสู่ขั้นสุดยอดของระดับสองได้ เขาพบกับคอขวดในที่สุดหลังจากที่เขาพยายามที่จะทะลวงเข้าสู่ระดับสาม ชัดเจนว่ามันไม่สามารถทะลวงได้ในระยะเวลาสั้นๆ
“วิชานี้นับว่าฝึกฝนยากเย็นโดยแท้ ข้าไม่อาจทนรอกระทั่งมันเข้าสู่ระดับสี่ได้” ความคาดหวังของเด็กหนุ่มนั้นมากมายขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะเวลา
เพียงแค่เข้าสู่ระดับสี่ มันก็จะสามารถโจมตีผ่านอากาศได้ ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบของจอมยุทธ์
ก่อนนั้น จ้าวหยงชี่เองก็ได้ฝึกฝนวิชานี้ และเขาต้องใช้เวลาถึงสองปีในการเข้าสู่ระดับสอง
จ้าวเฟิงใช้เวลาเพียงยี่สิบวันกว่าๆ ในการเข้าสู่ขั้นสุดยอดของระดับสอง
“นี่ยังมิใช่วิชาที่ยากที่สุด กระบวนท่าของพี่สาวผู้นั้นทั้งลึกล้ำและซับซ้อนยิ่งกว่า…” จ้าวเฟิงจดจำท่าฝ่ามือลมลี้ลับไว้ในมิติในดวงตาซ้าย
แน่นอนว่าเด็กหนุ่มรู้ว่าเขาสามารถก้าวได้ทีล่ะก้าวเท่านั้น วิชาต่อสู้นั้นจำต้องฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ ไม่มีผู้ใดสามารถเก่งเทียมฟ้าได้ในเสี้ยววินาที
ไม่ช้า จ้าวเฟิงก็เพ่งความสนใจกลับไปยังการฝึกตนและพลังภายในของเขา เมื่อเขาอยู่ในถ้ำนั้น ร่างกายของเขาได้ดูดซึมยาจำนวนมหาศาลเข้าไป
ในตอนนั้น ยาพวกนั้นไม่ได้ถูกดูดกลืนโดยสมบูรณ์และยังเหลือตกค้างอยู่ในร่างของเขาเล็กน้อย หลังจากที่กลับมา เด็กหนุ่มจึงได้ดูดซึมส่วนที่เหลือด้วยการฝึกฝนวิชาและการเข้าฌาน
เวลาสิบห้าวันผ่านไปในเสี้ยวพริบตา
ยาที่เหลืออยู่ถูกดูดซึมไปจนหมด ในตอนนั้นเองที่พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงได้ถึงขั้นสุดยอดของขั้นห้า ห่างเพียงครึ่งก้าวจากขั้นหก ส่วนพลังภายในของเขานั้น นับได้ว่าเทียบเท่ากับขั้นหก หากเด็กหนุ่มต้องการที่จะทะลวงเข้าสู่ขั้นหก คอขวดจะไม่ปรากฏ ไม่แม้กระทั่งต้องใช้พฤกษาโลหิตสามร้อยปี
“ข้าสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นหกได้ในไม่กี่วันข้างหน้า” จ้าวเฟิงเข้าใจความเปลี่ยนแปลงในร่างกายของตนเป็นอย่างดี
ความจริงแล้ว ผู้ฝึกตนส่วนมากจะมีความรู้สึกบางอย่างเมื่อพวกเขาเกือบจะสามารถทะลวงขั้นได้ ดังนั้นแล้วแทนที่จะเข้าฌานต่อ เด็กหนุ่มกลับตัดสินใจที่จะพักร่างกายของเขาแทน
ในเวลานั้นเองที่เพื่อนบ้านของเขา จ้าวหยูเฟ่ย มาหาเขาเพื่อขอประลองชี้แนะพอดี
หนึ่งเดือนครึ่งผ่านพ้นไปหลังจากงานประลองแลกเปลี่ยนวิชาประจำตระกูล ในตอนนี้ พลังฝึกตนของเด็กสาวได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของขั้นสี่แล้ว นางสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นห้าเมื่อใดก็ได้
“น้องเฟิง ข้าอยากเห็นวิชาใหม่ของเจ้า” จ้าวหยูเฟ่ยแย้มยิ้ม พวงแก้มของนางปรากฏรอยแดงซ่านบางๆ และด้วยชุดสีฟ้าของนางนั้นทำให้นางนั้นราวกับเทพเซียน
“แน่นอน” จ้าวเฟิงผงกศีรษะ เขาเองก็ต้องการที่จะลองวิชาของเขาเช่นกัน
ด้านในสวน ปรากกฎร่างสองร่างที่เข้าปะทะกันครั้งแล้วครั้งเล่า
เริ่มต้นด้วยวิชาเคลื่อนไหว
จ้าวเฟิงใช้วิชาย่างก้าวเสี้ยวพริบตาก่อนที่ร่างกายของเขาจะเลือนรางลึกลับ เมื่อใช้ออกอย่างเต็มที่จะปรากฏภาพติดตาจำนวนมากซ้อนกัน
ความเร็วคือจุดแข็งของจ้าวหยูเฟ่ย ทว่าเมื่อนางเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายกลับไม่อาจเทียบได้แม้แต่น้อย แม้ว่าทั้งสองวิชาจะเป็นวิชาระดับสูงและถูกฝึกจนเข้าขั้นสูง ความแตกต่างก็ยังคงเด่นชัดนัก
นี่ทำให้จ้าวหยูเฟ่ยรู้สึกสงสัยยิ่งนัก เป็นเพราะจ้าวเฟิงนั้นกระทั่งจำกัดพลังฝึกตนของเขาให้ต่ำกว่านาง ในด้านของพลังภายในนั้นทั้งคู่ก็ได้ฝึกเคล็ดวิชาตัดลมหายใจเหมือนกัน
“พี่หยูเฟ่ย สภาพร่างกายของท่านนั้นไม่ได้ดีเทียบเท่าข้า ทั้งข้ายังมีวิชานภาลอยล่องเป็นพื้นฐาน ดังนั้นแล้วข้าย่อมเหนือกว่าในด้านความเร็ว” จ้าวเฟิงเอ่ยความจริงครึ่ง โกหกครึ่ง
ความจริงนั้นคือวิชานภาลอยล่องนั้นนับว่าคล้ายคลึงกันจริง เมื่อใช้ร่วมกันเขาย่อมสามารถที่จะยกระดับวิชาทั้งคู่จนเข้าสู่ขั้นสุดยอด
ถัดไปคือการเปรียบเทียบวิชาโจมตี
จ้าวเฟิงจำกัดดรรชนีดาราของเขาให้เทียบเท่าขั้นพื้นฐานของระดับสอง เมื่อนิ้วของเขาส่งเส้นพลังงานบริสุทธิ์ที่สามารถทะลวงทุกสิ่งที่มันแล่นผ่านได้ออกมา จ้าวหยูเฟ่ยก็เกือบจะบาดเจ็บในเพียงแค่กระบวนท่าเดียว
“วิชาของน้องเฟิงคงเป็นวิชาระดับสุดยอด” จ้าวหยูเฟ่ยรู้สึกอิจฉายิ่งนัก
วิชาระดับสุดยอดนับว่าล้ำค่ายิ่ง ในบรรดาศิษย์ทั้งพรรค มีเพียงจ้าวหลินหลง จ้าวชิ และจ้าวเฟิงเท่านั้นที่มีโอกาสได้เรียนรู้พวกมัน
“ท่านกล่าวได้ถูกต้อง นี่คือวิชาระดับสุดยอด” จ้าวเฟิงรู้สึกพึงพอใจกับดรรชนีดาราของเขามาก
ในตอนที่พวกเขากำลังจะถกเถียงกันเรื่องวิชานั้นเอง
“ฮะฮะ น้องหยูเฟ่ย ข้ากำลังจะมาขอคำชี้แนะจากเจ้า ทว่าเจ้ากลับไม่ได้อยู่บ้าน เจ้ามาอยู่ที่นี่เช่นนั้นเอง?”
เสียงของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้น น้ำเสียงนั้นทั้งเรียบและเยือกเย็น ในสวนปรากฏร่างของชายหนุ่มในชุดสีทอง อายุราวๆ 17-18 ปี ดวงตาของเขากำลังจับจ้องไปทางจ้าวหยูเฟ่ย
จ้าวหลินหลง!
คิ้วของจ้าวเฟิงขมวดเข้าหากัน นี่คือบ้านของเขาและจ้าวหลินหลงเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนั้นอีกฝ่ายยังดูแคลนเขาอย่างแท้จริงโดยการยืนอยู่เหนือกำแพง
“พี่หลินหลง” จ้าวหยูเฟ่ยแย้มยิ้มก่อนเอ่ยทักทายตามมารยาท
อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายนับเป็นอันดับหนึ่งของศิษย์สายในและบุตรบุญธรรมของหัวหน้าพรรค
“พี่หลินหลงมาเพื่อขอประลองชี้แนะกับข้า?”
เด็กสาวมีสีหน้าไร้อารมณ์ จ้าวหลินหลงมาหานางนับครั้งไม่ถ้วนภายใต้คำกล่าวที่ว่า ‘ประลองชี้แนะ’ ทุกครั้งที่นางเห็นอีกฝ่าย จ้าวหยูเฟ่ยจะรู้สึกได้ถึงความเร่าร้อนภายในดวงตาของชายหนุ่มซึ่งทำให้นางรู้สึกอึดอัด
“ถูกต้อง ข้าหวังว่าน้องหยูเฟ่ยจะไม่ปฏิเสธข้า” คำกล่าวของจ้าวหลินหลงเต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างถึงที่สุด
เขาไม่ได้เข้าไปภายในสวน เพียงแค่ยืนอยู่บนกำแพงเท่านั้น ตั้งแต่วินาทีที่เขามา เขาไม่แม้แต่จะเหลือบมองเจ้าของบ้านสักครั้ง
“ขอบคุณสำหรับความห่วงใย ทว่าข้าเพิ่งประลองกับน้องจ้าวเฟิงไป” เด็กสาวยิ้มขณะเอ่ยปฏิเสธ
การที่ได้ประลองชี้แนะกับอัจฉริยะแห่งพรรคจ้าวนั้นนับเป็นความฝันของเด็กสาวจำนวนนับไม่ถ้วน
ทว่าจ้าวหยูเฟ่ยไม่ได้ชื่นชอบจ้าวหลินหลงแม้แต่น้อย จ้าวหลินหลงนั้นมีกลิ่นอายของความโดดเดี่ยวและเหนือชั้น ราวกับว่ามันนับเป็นเกียรติยิ่งนักที่ถูกรักโดยเขา
นับว่ากลับกันกับจ้าวเฟิงโดยสิ้นเชิง เด็กหนุ่มนั้นเหมือนนางที่มาจากตระกูลสาขา ทั้งการประลองของพวกเขายังเป็นไปอย่างธรรมชาติ ไร้ซึ่งความกดดัน
“หืม?” จ้าวหลินหลงรับรู้ถึงการมีตัวตนของจ้าวเฟิงได้ ‘ในที่สุด’
หลังจากที่มองเด็กหนุ่มครั้งหนึ่ง จ้าวหลินหลงก็แย้มยิ้มทว่าไม่ได้กล่าวอันใด ชัดเจนว่าชายหนุ่มนั้นเหยียดหยามอีกฝ่าย
“ไม่เป็นไร วันนี้ข้ามาหาน้องหยูเฟ่ยเพราะอีกเรื่อง” จ้าวหลินหลงยักไหล่ของเขา
“โปรดอธิบาย”
“เรื่องนี้… ข้าอยากพูดกับหยูเฟ่ยเป็นการส่วนตัว” จ้าวหลินหลงเหลือบตามองไปทางจ้าวเฟิง
“น้องเฟิง ข้ากลับก่อน” จ้าวหยูเฟ่ยเอ่ยขอโทษ
ทั้งสองเดินจากไปพร้อมกัน
“จะเป็นไปได้หรือไม่ที่จ้าวหลินหลงกำลังตามจีบพี่หยูเฟ่ย…?” จ้าวเฟิงตระหนักขึ้นได้ในที่สุด
อีกด้านหนึ่ง
จ้าวหลินหลงนำจ้าวหยูเฟ่ยไปยังพื้นที่ค่อนข้างห่างไกลแห่งหนึ่ง
“หยูเฟ่ย ในอีกครึ่งเดือน ‘การชุมนุมอัจฉริยะ’ ประจำปีของเมืองประกายอรุณจะเริ่มต้นขึ้น และผู้จัดคือดรุณีที่งดงามที่สุดแห่งเมืองประกายอรุณ ‘ชิวเมิงหยู’ ในตอนนั้น ทุกสำนัก พรรค กองกำลัง และตระกูลที่ปรากฏอัจฉริยะขึ้นจะถูกเชื้อเชิญไป” จ้าวหลินหลงหยุดพูดลง
การชุมนุมอัจฉริยะ! ดรุณีที่งดงามที่สุดแห่งเมืองประกายอรุณ?
ดวงตาของจ้าวหยูเฟ่ยส่องประกายแห่งความประหลาดใจและคาดหวังวาบ เด็กสาวเคยได้ยินเพียงงานชุมนุมอัจฉริยะ มันเป็นงานสำหรับอัจฉริยะทั่วทั้งเมืองประกายอรุณมาเพื่อประลองกับผู้อื่นทีล่ะคน
สี่อัจฉริยะแห่งเมืองประกายอรุณเองก็ถูกตัดสินจากงานนี้เช่นกัน
“นี่นับเป็นงานที่สำคัญที่สุดสำหรับเด็กหนุ่มสาวทั้งเมืองประกายอรุณ! ในฐานะของศิษย์อันดับหนึ่งตระกูลจ้าว ข้าสามารถเชิญคนไปได้ห้าคน” ริมฝีปากของชายหนุ่มยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“โอ้? งานชุมนุมอัจฉริยะ? ข้าอยากลองไปจริงๆ” จ้าวหยูเฟ่ยรู้สึกอยากเข้าร่วมยิ่งนัก
“อ่าใช่ ท่านจะเชิญผู้ใดไปบ้าง?” จ้าวหยูเฟ่ยเอ่ยถามอย่างเร่งรีบ
“มีจ้าวชิ จ้าวฮัน จ้าวชิ่น จ้าวหลิง…”
จ้าวหลินหลงตัดสินใจที่จะไม่ปกปิด
“เดี๋ยวสิ! เหตุใดน้องจ้าวเฟิงจึงไม่ได้ไปกัน? เขาเป็นอันดับสามนะ!” จ้าวหยูเฟ่ยเอ่ยขัด
“จ้าวเฟิง?”
จ้าวหลินหลงเอ่ยอย่างสบายๆ
“เขาเป็นเพียงศิษย์สายนอกและไม่มีกระทั่งความกล้าในการท้าประลองกับข้า ไม่มีเหตุผลใดที่จะเชิญคนเช่นนั้นไปงานชุมนุมอัจฉริยะ”
“แต่ความแข็งแกร่งของน้องจ้าวเฟิง…” เด็กสาวรู้สึกว่านี่นับว่าไม่ยุติธรรม
“ฮี่ฮี่ ไม่เป็นไรหรอกหยูเฟ่ย ข้ารู้สึกได้ว่าข้าจะทะลวงเข้าขั้นหกในเร็วๆ นี้และกลายเป็นอันดับหนึ่งของสี่อัจฉริยะ ดังนั้นแล้วไม่สำคัญว่าข้าจะเลือกผู้ใด สิ่งที่สำคัญมีเพียงแค่เจ้าจะอยู่ที่นั่นกับข้า เป็นพยานให้กับชัยชนะของข้า…” เมื่อเอ่ยถึงตอนนี้ ดวงตาของจ้าวหลินหลงก็แปรเปลี่ยนเป็นร้อนแรง เขายื่นมือออกไปยังหัวไหล่ของอีกฝ่ายอย่างไม่อาจหักห้ามใจ
“จ้าวหลินหลง! โปรดระวังการกระทำของท่านด้วย!” ใบหน้าของจ้าวหยูเฟ่ยแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาขณะที่นางปัดมือของอีกฝ่ายออก
“ข้าไม่เคยบังคับให้ผู้ใดทำในสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการ แต่หยูเฟ่ย โปรดเชื่อว่าจะไม่มีใครหยุดข้าได้จากการทำทุกสิ่งเพื่อสตรีที่ข้ารัก”