บทที่ 457 ความสามารถใหม่ของสายเลือด
กลางอากาศ
ทั่วทั้งร่างของจ้าวตำหนักศพโลหิตส่องประกายสีเลือด พลังปราณแผ่ซ่าน สีของมันดูราวกับอาทิตย์อัสดง
ฟึ่บ บุ๋ง
แสงสีแดงที่ดุดันกวาดไปในระยะหนึ่งลี้โดยรอบ
จ้าวเฟิงที่อยู่ปลายทาง เรือนผมสีน้ำเงินพลิ้วไหวไปในอากาศ รอบกายปรากฏม่านน้ำสีน้ำเงินเข้มสั่นกระเพื่อม ดูดกลืนสลายแสงสีแดงนั้นไป
ในยามนี้
จ้าวเฟิงตั้งรับอย่างสบายๆ ราวกับเป็นท้องทะเลอันกว้างไกล ลอยนิ่งอยู่ที่เดิม ราบเรียบราวผิวทะเลสาบ
“พลังสายเลือดที่อยู่ในสภาวะธาตุน้ำโดดเด่นในการป้องกันจริงๆ”
สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเช่นที่จ้าวเฟิงคาดไว้ ความจริงแล้ว พลังของน้ำและน้ำแข็งมีแก่นแท้เดียวกัน เพียงรูปลักษณ์แตกต่างกัน
“เหอะ จะง่ายดายเพียงนั้นได้เช่นไร”
น้ำเสียงแหบต่ำหดหู่ของจ้าวตำหนักศพโลหิตดังขึ้นมาจาก ‘ดวงอาทิตย์สีแดงก่ำ’
ครืนนน
ทันใดนั้น จ้าวตำหนักศพโลหิตก็มีความเร็วเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม 2-3 เท่าอย่างน่าหวาดหวั่น ตอบโต้การโจมตีของจ้าวเฟิง
“จ้าวตำหนักศพโลหิตนี่ไม่เลว…”
หัวใจของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวหนาวเยือก ทั่วทั้งร่างพลันสะท้านเฮือก รับรู้ถึงวิกฤตที่กำลังคืบคลาน
จ้าวตำหนักศพโลหิตในสภาวะนี้เหมือนเช่นการเผาไหม้ปราณจิตวิญญาณ ทว่าทรงพลังกว่า ‘เพลิงเวหาศพโลหิต’
บุ๋ง
ม่านน้ำรอบกายของจ้าวเฟิงสั่นไหวระเบิดออกให้เด็กหนุ่มล่าถอยอย่างรวดเร็ว พลังสายเลือดและปราณจิตวิญญาณถูกกระตุ้นโคจรจนถึงขีดจำกัด
“ตายซะ”
ใบหน้าของจ้าวตำหนักศพโลหิตเย็นเยียบออกจะบิดเบี้ยวเล็กๆ มันกัดฟันแน่น แขนสีแดงสดขยับเคลื่อนไปเบื้องหน้า
แคร่ก
แสงสีแดงที่สั่นสะท้านไปถึงผืนฟ้าปรากฏขึ้น ภายใต้การบินอย่างรวดเร็วของจ้าวตำหนักศพโลหิต แขนข้างหนึ่งของมันหักออก แปรเปลี่ยนเป็น ‘เสาสีเลือด’ ความเร็วเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเท่า มุ่งหน้าตรงไปยังจ้าวเฟิง
อันใดกัน
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงมองตาม เด็กหนุ่มผวาไป
จ้าวตำหนักศพโลหิตยอมสละแขนข้างหนึ่งเพื่อใช้กระบวนท่าที่เหนือกว่าระดับของตนเอง
“ศพโลหิตสละกร”
แขนข้างที่จ้าวตำหนักศพโลหิตเปลี่ยนเป็น ‘เสาสีเลือด’ ส่องสว่าง ตามมาด้วยลวดลายสีม่วงอมแดง พุ่งทะยานผ่านฟ้าดิน
“ไม่ดีแล้ว วิชามารจันทราชาด”
กระทั่งผู้เฒ่าซู่ที่อยู่ห่างออกไปยังรับรู้ได้ถึงกระบวนท่าที่รุนแรงนี้ อดที่จะหลั่งเหงื่อเย็นเยียบให้จ้าวเฟิงไม่ได้
เมื่อวิกฤตอยู่ตรงหน้า จ้าวเฟิงจึงเปิดดวงตาเทพเจ้าออก เพ่งมองไปยังกระบวนท่าของจ้าวตำหนักศพโลหิต
ทว่า
กระบวนท่านั้นถูกใช้ออกอย่างรวดเร็ว
ความเร็วของกระบวนท่าที่จ้าวตำหนักศพโลหิตมากมายนัก เหนือกว่าระดับของตัวมัน ผู้ฝึกตนในขั้นนายเหนือแท้แทบจะไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ มีเพียงแค่ผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกับลู่เทียนอี้เท่านั้นจึงจะมีโอกาส
เปรี้ยง ตูม
‘เสาสีเลือด’ ได้เฉี่ยวร่างของจ้าวเฟิงไป
บุ๋ง
ร่างของเด็กหนุ่มปรากฏม่านน้ำสีน้ำเงินเข้มที่ไหวกระเพื่อม มันหม่นแสงลงอย่างรวดเร็วก่อนจะแตกสลายไป เป็นเรื่องดีที่สายเลือดธาตุน้ำโดดเด่นในการป้องกัน
จ้าวเฟิงจึงสามารถดูดกลืนสลายพลังส่วนมากไปได้
เปรี้ยง
ร่างของจ้าวเฟิงกระเด็นลอยไปในอากาศ ถอยไปหลายสิบจ้าง มุมปากปรากฏรอยเลือดขึ้น เด็กหนุ่มรักษาสมดุลร่างกายให้มั่นคง
บาดเจ็บแล้ว?
จ้าวเฟิงกลืนเลือดที่ไหลย้อนขึ้นมาลงไป สีหน้ามืดทะมึนขึ้นเล็กๆ
เขาไม่คาดว่าในช่วงจนตรอก จ้าวตำหนักศพโลหิตจะยอมสละแขนไปข้างหนึ่ง ยอมจ่ายค่าแลกเปลี่ยนมหาศาลเพื่อตอบโต้ตัวเขา
อาการบาดเจ็บที่จ้าวเฟิงได้รับในยามนี้ไม่ใช่น้อย
ทว่าสีหน้าของเด็กหนุ่มก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าจะบาดเจ็บสาหัส ตัวเขาก็ยังมี ‘หญ้าคืนชีวิต’ และวารีแห่งชีวิตอยู่ เทียบได้กับชีวิตที่สอง
หืม?
จ้าวเฟิงพลันรับรู้ได้ถึงความผิดปกติจากภายในร่างด้วยพลังสายเลือดธาตุน้ำที่โคจร
“นี่มัน…”
จ้าวเฟิงรู้สึกว่าอาการบาดเจ็บของตนเองฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว อาการบาดเจ็บจนปรากฏรอยเลือดบนผิวของเขาได้ถูกรักษาด้วยความเร็วที่มองเห็นด้วยตาเปล่ากระทั่งสร้างชั้นเนื้อเยื่อขึ้นใหม่ ไม่หลงเหลือแม้แต่รอยแผลเป็น
ในใจของจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความยินดี พลังสายเลือดธาตุน้ำของเขาแม้พลังโจมตีจะไม่อาจเทียบธาตุน้ำแข็งได้ ทว่ามันยอดเยี่ยมในการป้องกันและฟื้นฟู
ความสามารถของสายเลือดนี้ จ้าวเฟิงเพิ่งจะรับรู้ได้เพียงผิวเผิน
ความสามารถในการฟื้นฟูเช่นนั้น จ้าวตำหนักศพโลหิตที่ครอบครองกายศพย่อมมีเช่นกัน ทว่าความสามารถในการฟื้นฟูที่สายเลือดธาตุน้ำของจ้าวเฟิงแสดงออกมาแข็งแกร่งกว่าจ้าวตำหนักศพโลหิตอย่างเห็นได้ชัด
“พลังสายเลือดของเด็กนี่สามารถเปลี่ยนไปมาระหว่างน้ำและน้ำแข็งได้ ทั้งความสามารถในการฟื้นฟูนั่น… เป็นไปได้อย่างไร”
จ้าวตำหนักศพโลหิตที่อยู่ห่างออกไปในใจปรากฏลางร้ายขึ้น
การวิวัฒนาการเล็กๆ ของดวงตาเทพเจ้าได้ทำให้จ้าวเฟิงสามารถเปลี่ยนธาตุดวงตาไปมาได้ระหว่างน้ำและน้ำแข็ง
ทว่าพลังสายเลือดของเด็กหนุ่มยัง ‘ถือกำเนิด’ มาจากดวงตาเทพเจ้า
พลังสายเลือดของเขาเมื่อเป็นธาตุน้ำจะมีพลังป้องกันแข็งแกร่งกว่า ทั้งยังมีความสามารถในการฟื้นฟูซ่อมแซม
จ้าวตำหนักศพโลหิตยอมจ่ายสิ่งแลกเปลี่ยนมหาศาลไป ทว่าอาการบาดเจ็บที่เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวได้รับกลับถูกฟื้นฟูในเสี้ยววินาที
“ฮี่ฮี่… ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ”
ความรู้สึกของจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความยินดี
ในทางกลับกัน จ้าวตำหนักศพโลหิตที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามใบหน้าม่วงคล้ำ สีหน้าหดหู่อับอาย
“ได้อย่างไร… บัดซบ”
จ้าวตำหนักศพโลหิตแทบกระอักเลือดออกมา เกือบจะเสียสติไป ทว่าเขาก็ยังไม่สูญสิ้นสติสัมปชัญญะไป ใช้พลังที่หลงเหลือของ ‘เพลิงเวหาศพโลหิต’ กลับกลายเป็นกลุ่มแสงสีแดงทะยานสู่ฟากฟ้าหลบหนีไป
ในยามนี้
ไอสวรรค์ของจ้าวตำหนักศพโลหิตได้รับความเสียหายอย่างมาก เสียแขนไปข้างหนึ่ง จ่ายสิ่งแลกเปลี่ยนไปมหาศาล ทว่ากลับไม่สามารถสร้างความเสียหายให้จ้าวเฟิงได้เป็นชิ้นเป็นอัน ส่วนลึกในจิตใจเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง รู้สึกหมดสิ้นหนทางอย่างมาก
จ้าวเฟิงลอยอยู่กลางอากาศ ไม่ได้ไล่ตามไปในทันที
“สายเลือดธาตุน้ำมีความสามารถในการฟื้นฟูที่ยอดเยี่ยม ทว่าไม่รู้ว่าดวงตาเทพเจ้าธาตุน้ำจะสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของดวงวิญญาณได้หรือไม่?”
จ้าวเฟิงยังคงครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง
วิชาดวงตาของเขามีพื้นฐานมาจาก ‘จิตวิญญาณเหมันต์’ และ ‘ชิ้นส่วนบันทึก หมิงถง’ จิตวิญญาณเหมันต์ได้นำพาจ้าวเฟิงไปสู่เบื้องหน้าบานประตูของศาสตร์แห่งวิญญาณโบราณ เมื่อมีการสนับสนุนทางจิตวิญญาณเช่นนี้ก็สามารถใช้ร่างกายส่งเสริมระดับของดวงวิญญาณได้
แน่นอนว่า
นี่เป็นเพียงด้านจิตใจของจ้าวเฟิง วิชาดวงตาที่แน่นอนเหมาะสมยังต้องการการพัฒนาค้นหาอยู่
หลังจากหลายลมหายใจ
จ้าวเฟิงรั้งสติกลับมา มองตามร่างที่หลบหนีไปของจ้าวตำหนักศพโลหิต มุมปากยกโค้งเป็นรอยยิ้มยินดี
จ้าวตำหนักศพโลหิตที่หลบหนีไปลอบถอนหายใจโล่งอกเล็กๆ “จ้าวเฟิงนั่นไม่ตามมาหรือ?”
หากจ้าวเฟิงยังคงไล่ล่าตามมา ผลลัพธ์ท้ายที่สุดแล้วคงไม่มีผู้ใดล่วงรู้
แต่สิ่งที่แน่ใจได้คือไอสวรรค์ของจ้าวตำหนักศพโลหิตเสียหายอย่างมาก เสียแขนไปข้างหนึ่ง พลังต่อสู้อ่อนแอลงอย่างมาก นับว่าเป็นสภาพที่เสียเปรียบอย่างมาก
ชั่วครู่ต่อมา เสียงเสียงหนึ่งก็ดังแหวกอากาศ
ชายชราคิ้วขาวในชุดสีเขียว ผู้เฒ่าซู่เห็นจ้าวเฟิงปลอดภัยดีก็อดที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอกไม่ได้
“สามารถทำลายพันธมิตรมังกรโลหะได้ด้วยตนเองเพียงคนเดียว ทั้งยังเป็นทัพที่ตกแต่งมาโดยยักษ์ใหญ่อย่างจ้าวตำหนัก ยากที่จะจินตนาการถึงพลังของผู้ถูกเลือกที่แคว้นเมฆานี้ให้กำเนิดขึ้นมานัก”
ผู้เฒ่าซู่ถอนหายใจอย่างสะเทือนใจ สีหน้าซับซ้อน สุดท้ายแล้วเขาก็ยังประเมินเด็กหนุ่มผู้นี้ต่ำเกินไป เมื่อเห็นว่าจ้าวเฟิงปลอดภัย สีหน้าผ่อนคลาย ผู้เฒ่าซู่ก็รู้ว่าความวิตกกังวลของตนนั้นไม่จำเป็นแม้แต่น้อย
“เมื่อครู่ หากพวกเราสองคนร่วมมือกันย่อมมีความหวังสูงที่จะฆ่าจ้าวตำหนักศพโลหิตได้”
ผู้เฒ่าซู่อดที่จะเสียดายไม่ได้
หากรู้อยู่ก่อนหน้าว่าจ้าวเฟิงจะแข็งแกร่งเช่นนี้ ผู้เฒ่าซู่คงรั้งอยู่ ร่วมมือกันฆ่าจ้าวตำหนักศพโลหิต หากพันธมิตรมังกรโลหะสูญเสียจ้าวตำหนักในขั้นนายเหนือแท้ไป มันย่อมเป็นการโจมตีที่รุนแรงที่สุด
“ข้ายังไม่สนใจที่จะฆ่าเขาชั่วคราว ครั้งนี้เพียงหยอกล้อพันธมิตรมังกรโลหะเล่นเท่านั้น”
จ้าวเฟิงหรี่ตาลงเล็กน้อย มองตามร่างที่จางหายไปยังเส้นขอบฟ้าของจ้าวตำหนักศพโลหิต
เมื่อผู้เฒ่าซู่ได้ยินวาจาที่ดูหยิ่งยโสเช่นนั้นก็พลันหมดสิ้นซึ่งคำพูด เมื่อฟังดูถึงความนัยของประโยคนั้น จ้าวเฟิงยังคงออมมืออยู่ การฆ่าจ้าวตำหนักศพโลหิตไม่ใช่เรื่องยากเย็นมากมายสำหรับเขา
เด็กหนุ่มผู้นี้กลับมาจากมรดกต่างแดน ขอบเขตจิตวิญญาณและดวงวิญญาณกว้างใหญ่ราวมหาสมุทร สายเลือดดวงตาเองก็ลึกลับยากจะคาดเดา
เขามีไพ่อยู่ในมือกี่ใบกันแน่?
ผู้เฒ่าซู่อดที่จะยิ้มอย่างขมขื่นไม่ได้ ทั้งวิสัยทัศน์และเจตจำนงของอีกฝ่าย เขาไม่อาจที่จะคาดการณ์ได้
“การฆ่าจ้าวตำหนักศพโลหิตไม่ได้ส่งผลต่อหมากทั้งกระดาน การเปลี่ยนแปลงไม่มีความสำคัญใดๆ เป้าหมายของข้าคือการทำลายพันธมิตรมังกรโลหะทั้งหมด”
จ้าวเฟิงคิดในใจอย่างเงียบงัน
ฟึ่บ ฟึ่บ
จ้าวเฟิงและผู้เฒ่าซู่พูดคุยกันเล็กน้อยพร้อมย้อนกลับไปทางเดิม
“ผู้เฒ่าซู่ เช่นนั้นข้าจะกลับไปยังสิบสามแคว้นล่ะนะ” จ้าวเฟิงเอ่ยลา
จ้าวเฟิงจะไม่เข้าร่วมพันธมิตรสังหารมังกรโดยตรง ไม่ช่วยนำกองกำลังให้
เด็กหนุ่มเพียงต้องการเส้นสายข่าวสารของพันธมิตรสังหารมังกร ข้อมูลต่างๆ รวมทั้งการเก็บกวาดงาน การควบคุมความเสียหาย และงานอื่นๆ
ชั่วขณะต่อมา
จ้าวเฟิงจึงพลิ้วกายไปยังหน้าผาใกล้ๆ
เมี้ยว เมี้ยว
แมวขโมยตัวน้อยวาดแส้อสรพษโลหิตลึกลับ มัดมือของหลินทงมาหล่นดัง ‘ตุบ’ หน้าจ้าวเฟิง
“จ้าวเฟิง…”
หลินทงร่างสั่นสะท้าน
ในวินาทีนี้จ้าวเฟิงมีท่าทีเรียบนิ่ง กลับมาได้อย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน
หัวใจของหลินทงสั่นสะท้านอย่างรุนแรง การต่อสู้ระหว่างจ้าวเฟิงและจ้าวตำหนักศพโลหิต อีกฝ่ายกลับไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อย เท่านี้ก็น่าเหลือเชื่อมากแล้ว ทว่ายังมีโอกาสที่สุดท้ายแล้วจ้าวตำหนักศพโลหิตจะเสียเปรียบอีก
“วิชามรดกของเจ้า รวมทั้งวิชาดวงตาใหม่นั่น เจ้าได้มาจากที่ใด?”
จ้าวเฟิงเปิดปากเอ่ย
หลินทงหวาดผวาอยู่ในจิตใจ ใบหน้าปรากฏความดิ้นรนไม่เต็มใจ
“สายเลือดดวงตาของเจ้า เมื่ออยู่ต่อหน้าข้าไม่อาจต่อต้านใดๆ ได้ ข้าสามารถรู้คำตอบจากปากของเจ้าได้โดยไม่ต้องลำบากยกมือเสียด้วยซ้ำ”
จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างช้าๆ
“เจ้า…”
หลินทงปิดปากแน่น
คำพูดที่จ้าวเฟิงพูดออกมานั้น เขาไม่กล้าที่จะสงสัย ความแตกต่างสายเลือดดวงตาของทั้งสอง รวมทั้งความเข้าใจราวกับไม่ได้ห่างกันเพียงหนึ่งขั้น แน่นอนว่าหลินทงย่อมไม่รู้ว่าจ้าวเฟิงไม่กล้าที่จะใช้พลังดวงตาอย่างผลีผลามในยามนี้ ต้องรอจนกว่าจะหลับใหลครั้งหน้า
“เจ้าและตำหนักมารจันทราเกี่ยวข้องอันใดกัน?”
จ้าวเฟิงพลันเอ่ยออกมา
“ตำหนักมารจันทรา? เจ้ารู้จักตำหนักมารจันทราที่ยิ่งใหญ่นั่นด้วย? มันคือแดนศักดิ์สิทธิ์ของมรดกมารจันทราชาด”
หลินทงตื่นตะลึงจนใบหน้าขาวซีด
“มรดกมารจันทราชาด? เจ้ากลับมาจากมรดกมารจันทราชาด?”
จ้าวเฟิงรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
ไม่แปลกใจเลยที่พลังฝึกตนความรู้ และกระทั่งวิชาดวงตาของหลินทงจะพัฒนาขึ้นเพียงนี้ เป็นเพราะอีกฝ่ายได้เข้าไปในหนึ่งในสี่มหามรดก ‘มรดกมารจันทราชาด’ นั่นเอง
ทว่า
ลัทธิมารจันทราชาด มรดกมารจันทราชาด และตำหนักมารจันทรา ทั้งสามมีความเกี่ยวข้องอันใดต่อกัน?
ครึ่งเดือนต่อมา
ในทะเลทรายรกร้างแห่งหนึ่ง
ดวงแสงสีแดงเลือดหม่นหมองดวงหนึ่งร่วงลงที่ปราสาทเก่าแก่หลังยักษ์ในทะเลทราบ แสงสีแดงเลือดเลือนรางนั้นร่วงลงที่พื้น
ปรากฏเป็นร่างอ่อนแรงของ ‘จ้าวตำหนักศพโลหิต’
ในเวลาเดียวกัน
นกยักษ์สีเลือดก็ปรากฏขึ้นที่เส้นขอบฟ้าห่างไกล
กลิ่นอายของนกยักษ์นั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก มันแผ่ปีกกว้างร่อนถลาลม มีพลังถึงขั้นผู้วิเศษแท้
“นายเหนือเซียวเหยา… เจ้า?”
จ้าวตำหนักศพโลหิตก้าวเท้าออกไป มองไปยังสองร่างบนหลังของนกยักษ์
ฟึ่บ ฟึ่บ
ร่างทั้งสองบนแผ่นหลังของนกยักษ์สีเลือดพลิ้วกายลงมา
หนึ่งคือชายหนุ่มชุดดำ ในมือถือพัดเหล็ก ผิวกายทั่วทั้งร่างส่องประกายเย็นเยียบราวโลหะ ให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกของโลหะ
“เพิ่งจะกลับมาจากงานชุมนุมเซียนมังกรไม่นาน จ้าวตำหนักศพโลหิต เจ้าเกิดเรื่องอันใดขึ้นจึงได้รับบาดเจ็บหนักเช่นนั้น?”
ชายหนุ่มชุดดำผู้นี้คือ ‘นายเหนือเซียวเหยา’ ที่บีบบังคับให้ผู้อาวุโสระดับสูงของทั้งสิบสองสำนักลงนามในพันธะสัญญาโลหิตที่ทะเลสาบมังกรซ่อนด้วยตัวคนเดียว
ข้างกายของนายเหนือเซียวเหยาคือเด็กหนุ่มในชุดสีดำ ใบหน้าเรียบเฉย