บทที่ 458 เมล็ดดวงใจทมิฬ
ในทะเลทรายรกร้าง
ปราสาทเก่าแก่มืดทะมึนแห่งหนึ่งหลอมรวมเข้ากับพื้นทรายสีเหลือง ทุกที่เต็มไปด้วยซากโครงกระดูกอย่างเห็นได้ชัด
เบื้องหน้าปราสาทเก่า
คนทั้งสองที่อยู่บนหลังนกยักษ์และจ้าวตำหนักศพโลหิตมาเจอกัน
ทั่วทั้งใบหน้าของนายเหนือเซียวเหยาระบายไปด้วยความประหลาดใจ มองไปยังสภาพยับเยินของจ้าวตำหนักศพโลหิตในยามนี้ ไม่เพียงแค่อีกฝ่ายจะบาดเจ็บสาหัส ทว่ายังเสียแขนไปข้างหนึ่งด้วย
เด็กหนุ่มชุดดำหน้าไร้ความรู้สึกข้างกายของเขาอดที่จะประหลาดใจไม่ได้ ลอบตื่นตะลึง “จ้าวตำหนักศพโลหิตที่มาจาก ‘ลัทธิมารจันทราชาด’ นี่เป็นที่รู้กันในความเจ้าเล่ห์ กระทั่งในสี่จ้าวตำหนัก สถานะตำแหน่งก็ค่อนข้างสูง ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?”
“จ้าวตำหนักศพโลหิต ใครทำร้ายเจ้า?”
นายเหนือเซียวเหยามองสำรวจอีกฝ่ายอย่างละเอียด ใบหน้าของจ้าวตำหนักศพโลหิตเต็มไปด้วยความหดหู่ไม่เต็มใจจะเอ่ยปาก นิ่งเงียบไปหลายอึดใจ
แน่นอนว่า
เขาพ่ายแพ้ได้อย่างไร จ้าวตำหนักศพโลหิตไม่ได้เอ่ยอย่างชัดเจน ดูเหมือนจะไม่ต้องการจะเอ่ยถึงเรื่องที่ฉีกหน้าตนเองเช่นนี้ต่อหน้าหนึ่งในจ้าวตำหนักอย่าง ‘นายเหนือเซียวเหยา’
แม้ว่าจ้าวตำหนักศพโลหิตจะเอ่ยรายละเอียดไปเพียงเล็กน้อย นายเหนือเซียวเหยาก็สามารถคาดเดาสถานการณ์ได้อย่างหยาบๆ
สองตำหนักที่จ้าวตำหนักศพโลหิตนำไปถูกฆ่าจนหมดสิ้นเลยหรือ?
“เอาชนะจ้าวตำหนักศพโลหิตจนกระทั่งบาดเจ็บสาหัส ที่หนีมาได้ก็เป็นเพราะโชคช่วย ทั้งหมดนี่เป็นเพียงฝีมือของเด็กหนุ่มที่กำลังรุ่งโรจน์ผู้หนึ่ง?”
บนใบหน้าของนายเหนือเซียวเหยาและเด็กหนุ่มชุดดำเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
หากเป็นผู้อาวุโสยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้บางคนสามารถทำเช่นนี้ได้ พวกเขายังพอกล้ำกลืนยอมรับได้
ทว่าทั้งหมดนี่กลับเกิดขึ้นโดยเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง
เมื่อใดกันที่แคว้นเมฆาได้ให้กำเนิดอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ระดับสัตว์ประหลาดที่น่าพรั่นพรึงเช่นนี้ขึ้น?
“เด็กนั่นคือผู้ใด?”
นายเหนือเซียวเหยามีท่าทีไม่เชื่อถือ เขาเพิ่งจะกลับมาจากงานชุมนุมเซียนมังกร ไม่มีอัจฉริยะคนใดที่เขาไม่เคยพบเห็น
“แค่พวกไร้ชื่อ นามจ้าวเฟิง”
จ้าวตำหนักศพโลหิตท่าทีหดหู่เบนหน้าหนี ท่าทีไม่ต้องการเอ่ยถึงอย่างชัดเจน
“จ้าวเฟิง!”
“อันใดนะ… เป็นเขา?”
สีหน้าของนายเหนือเซียวเหยาและเด็กหนุ่มชุดดำพลันแปรเปลี่ยนไป ตื่นตะลึงจนสิ้นเสียง
ชัดเจนว่าคำว่า ‘จ้าวเฟิง’ สองคำนี้ได้จู่โจมคนทั้งสองอย่างรุนแรง
จ้าวตำหนักศพโลหิตเดินไป สีหน้าแปลกใจ หรี่ตามองก่อนเอ่ย: “อย่าได้บอกข้าเชียวว่าพวกเจ้าเองก็รู้จักเด็กนี่?”
“ไม่เพียงแค่รู้จัก! ดูเหมือนว่าเลือดเจ้าจะแข็งตัวจนไม่รับรู้สถานการณ์แล้ว เขาไม่ใช่พวกไร้ชื่อ! ในทางกลับกัน เขาคือผู้ถูกเลือกที่สั่นคลอนทวีปได้”
สีหน้าของนายเหนือเซียวเหยาเคร่งเครียด พ่นลมหายใจออกมาเล็กๆ
นี่มันเรื่องอันใดกัน?
จ้าวตำหนักศพโลหิตรู้สึกสมองว่างโล่ง สีหน้าเลวร้ายลงเล็กๆ
นายเหนือเซียวเหยาไม่ลังเลอีกต่อไป เอ่ยอธิบายถึงความสามารถของจ้าวเฟิง รวมทั้งความสำเร็จสุดท้ายของเด็กหนุ่มในงานชุมนุมเซียนมังกร
ในระหว่างนั้น สีหน้าของจ้าวตำหนักศพโลหิตรุนแรงยิ่งนัก สุดท้ายจึงกลับกลายเป็นความตื่นตะลึงอย่างหนัก
เฮือก!
จ้าวตำหนักศพโลหิตอดที่จะสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไปไม่ได้
เขาไม่คิดว่าเด็กหนุ่มที่เขาต่อสู้ด้วยจะเป็นดวงดาราที่ถูกเลือกแห่งยุค นี่คืองานชุมนุมเซียนมังกรที่รุ่งเรืองที่สุดเท่าที่เคยมีมา!
จ้าวเฟิงและหยูเทียนฮ่าว ในสายตาของคนทั่วไปนับว่าเป็นสอง ‘ราชาแห่งผู้ถูกเลือก’ ที่เหนือกว่าอัจฉริยะผู้อื่นหลายสิบเท่า ทำให้ธารน้ำแห่งประวัติศาสตร์ต้องอ่อนจาง
บางที คงมีเพียงจ้าวลัทธิมารจันทราชาดและจอมดาบเย่อู๋เสี่ย หรือตัวตนในตำนานคนอื่นๆ ที่ในวัยหนุ่มสามารถเทียบเคียงกับสองราชาแห่งผู้ถูกเลือกได้
“ทว่าก็ไม่เกินความคาดหมาย เด็กนี่กลับมาจากมรดกต่างแดน พลังย่อมเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดเช่นนี้แหละ”
นายเหนือเซียวเหยาเอ่ยอย่างสะเทือนใจ
เมื่อคิดว่าอีกหนึ่งราชาแห่งผู้ถูกเลือก ‘หยูเทียนฮ่าว’ หลังจากที่กลับมาจากมรดกต่างแดน พลังฝึกตนสูงถึงขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำ พลังทำให้ผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ทั่วไปต้องจิตใจสั่นสะท้าน นายเหนือแท้เซียวเหยาจึงรู้สึกผ่อนคลายลง
เมื่อเผชิญหน้ากับราชาแห่งผู้ถูกเลือกที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้ นายเหนือเซียวเหยาและจ้าวตำหนักศพโลหิตต่างรู้สึกได้ถึงสถานการณ์เคร่งเครียดและแรงคุกคาม
“ใช้ผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้เพียง 1-2 คนดูเหมือนว่ายากจะฆ่าเด็กนี่ได้ ต้องใช้ผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้หลายคนและวางแผนไว้หลายชั้นจึงจะมีหวัง”
สีหน้าท่าทีของจ้าวตำหนักศพโลหิตเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ทว่ากลับเต็มไปด้วยความรอบคอบ
เมื่อรู้ถึงความสำเร็จของจ้าวเฟิงในงานชุมนุมเซียนมังกร จ้าวตำหนักศพโลหิตกลับรู้สึกดีขึ้นในใจ
“อัจฉริยะในระดับนั้น เมื่อไม่มีผู้ใดตัดตอน แรงคุกคามในอนาคตนับว่ายากจะหยั่งถึง หากเราวางแผนอย่างระมัดระวังก็มีหวังราวหนึ่งส่วน จะดีกว่าหากนำไปรายงาน ‘ท่านเจ้าหอ’ ”
นายเหนือเซียวเหยาเอ่ยเสนอขึ้น
ท่านเจ้าหอ?
ใบหน้าของจ้าวตำหนักศพโลหิตเผยความหวาดกลัวอย่างลึกล้ำขึ้นมาทันที
เขาเคยอยู่ในลัทธิมารจันทราชาด ทว่าเป็นเพียงผู้คุ้มครองสาขา อาจเรียกได้ว่าหัวหน้าสาขา ทว่าในลัทธิมารจันทราชาด หากไปถึงระดับ ‘เจ้าหอ’ ก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นระดับสูงมากแล้ว
ในอดีต ลัทธิมารจันทราชาดมีทั้งหมด ‘สิบสองหอ ร้อยแปดตำหนัก’ อำนาจไร้ที่สิ้นสุด แทบจะแทรกซึมครอบครองไปทั้งทวีป
ไม่ว่าจะเป็นนายเหนือเซียวเหยาหรือจ้าวตำหนักศพโลหิตต่างก็ไม่กล้าที่จะสงสัย สามารถทำให้ ‘ท่านเจ้าหอ’ ยื่นมาช่วยเหลือจัดการจ้าวเฟิงได้หรือไม่ก็ไม่มีความมั่นใจ
“ท่านเจ้าหอได้ฟื้นพลังมากว่าสองปีแล้ว ทว่ายังไม่ถึงช่วงสุดท้าย ไม่เหมาะที่จะให้เขาลงมือ ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าพันธมิตรมังกรโลหะมีสี่จ้าวตำหนักและอำนาจมืดของจันทราชาดอยู่ ตราบเท่าที่ไม่เผชิญหน้ากับตัวตนในระดับสิบยอดสำนัก พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวอันใด”
จ้าวตำหนักศพโลหิตส่ายศีรษะ
แม้ว่าจ้าวเฟิงจะแข็งแกร่ง ทว่าแรงคุกคามอยู่ในขั้นนายเหนือแท้เท่านั้น
“นั่นก็จริง ทว่าเรื่องนี้ไม่ควรชักช้า เราต้องบอก ‘โยวหลง’ และ ‘ปี้จี’ อีกสองจ้าวตำหนักให้รู้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
นายเหนือเซียวเหยาผงกศีรษะ
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ
ร่างทั้งสามทะยานออกจากปราสาทเก่าอย่างรวดเร็ว
กลางอากาศ
ฝีเท้าของนายเหนือเซียวเหยาพลันชะงักไปเล็กๆ
“เป่ยม่อ หากข้าจดจำไม่ผิด เด็กนั่นที่นามจ้าวเฟิงเหมือนจะมาจากสำนักเดียวกับเจ้า”
สายตาของนายเหนือเซียวเหยาเรียบนิ่ง
นัยน์ตาของจ้าวตำหนักศพโลหิตพลันส่องประกายวูบ จับจ้องไปยังร่างของ ‘เด็กหนุ่มชุดดำ’ ที่นิ่งเงียบมาเป็นเวลานาน
เด็กหนุ่มชุดดำผู้นี้คือเป่ยม่อจากสำนักจันทร์สลายที่เพิ่งกลับมาจากงานชุมนุมเซียนมังกร
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เป่ยม่อก็อดที่จะแย้มยิ้มอย่างขมขื่นหดหู่ไม่ได้ ทว่าก็ยังผงกศีรษะตอบรับ
หลังจากนั้นหลายวัน
ในชายแดนของสองแคว้นใหญ่ ใกล้หาดทรายเล็กๆ แห่งหนึ่ง
“ข้าพักผ่อนไปนานเท่าใด?”
น้ำเสียงเกียจคร้านดังขึ้น
‘ฟึ่บ’ เด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินยันตัวขึ้นจากเคียงทราย ปัดฝุ่นที่เกาะอยู่บนร่าง
“ 25 วัน”
หลินทงในชุดสีดำครุ่นคิดไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยสีหน้าระมัดระวัง
ตั้งแต่วันที่ถูกแมวขโมยตัวน้อยจับได้ หลินทงก็ได้กลายเป็นนักโทษของอีกฝ่าย
ทว่าเพียงครึ่งวัน เด็กหนุ่มก็กลับเข้าสู่การหลับลึกอีกครั้ง
ในระหว่างนั้น หลินทงเฝ้ารออยู่ข้างๆ ไม่กล้าที่จะหลบหนี ความสามารถแปลกประหลาดของแมวขโมยตัวนั้น หลินทงเข้าใจเป็นอย่างดี มันสามารถที่จะปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่าและตบเขาจนมึนได้
ในใจของหลินทงปรากฏดำมืดขึ้น ความหวาดกลัวในแมวขโมยตัวน้อยมากมายกว่าผู้เป็นนายของมันอย่างจ้าวเฟิงเสียอีก
“คงจะรั้งอยู่นานไม่ได้อีก”
จ้าวเฟิงยื่นมือไปลูบแหวนเหล็กโบราณ เรียกนางแอ่นมรกตออกมา
ได้สติมาครั้งนี้ จ้าวเฟิงรู้สึกว่าความรู้สึกเจ็บปวดจากดวงตาซ้ายลดลงอย่างมาก หากไม่สังเกตก็แทบจะไม่รู้สึก
มั่นใจได้ว่า สภาพของสายเลือดดวงตาอาจนับได้ว่ามั่นคงแล้ว
แต่ในมิติในดวงตาซ้าย ขนาดของบ่อน้ำเย็นเยียบนั่นก็ยังคงอยู่ในระดับใกล้สิบจ้างอยู่ดี จ้าวเฟิงเข้าใจว่าอีกเพียงครึ่งก้าว เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าก็จะสามารถพัฒนาขึ้นไปเหนือโลกได้
การเปลี่ยนแปลงระหว่างธาตุน้ำและน้ำแข็งเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้มากมายนัก รวมทั้งจ้าวเฟิงยังรับรู้ได้ว่าพลังฝึกตนของตนเองส่งสัญญาณว่าสามารถบรรลุสู่ ‘ขั้นนายเหนือแท้’ ได้ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องจงใจปิดด่านฝึกตน
“หากสามารถบรรลุสู่ขั้นนายเหนือแท้ได้ ความเข้ากันของพลังต่อสู้และร่างกายก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทว่าข้าจำต้องกลับไปยังสำนักจันทร์สลายให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยิ่งช้าก็ยิ่งเกิดปัญหา”
จ้าวเฟิงขี่นางแอ่นมรกต ทะยานขึ้นสู่ชั้นเมฆ
บนหลังของนางแอ่นมรกตนั้นยังมี ‘นักโทษ’ หลินทงอยู่ด้วย
“หลินทง!”
ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงสั่นกระเพื่อมส่องประกายสีน้ำเงิน
หลินทงร่างสั่นสะท้าน ครู่ต่อมาจึงรู้สึกว่าดวงตาเทพเจ้าของอีกฝ่ายส่งพลังจิตที่แข็งแกร่งแทรกซึมเข้าไปในดวงวิญญาณของตนเอง
“ไม่… ไม่เอา…” หลินทงดิ้นรนอย่างหวาดกลัว
เขาเชี่ยวชาญในวิชาดวงตา โดยเฉพาะในด้านพลังจิต ย่อมเข้าใจถึงความสำคัญของดวงวิญญาณ ดวงวิญญาณของสิ่งมีชีวิตคือแหล่งกำเนิดพลังของทุกชีวิต
เมื่อดวงวิญญาณถูกทำให้เสียหายโดยพลังภายนอก สิ่งที่ตามมาก็น่าพรั่นพรึงนัก
ทว่าพลังดวงตาที่แข็งแกร่งของจ้าวเฟิงไม่เว้นช่องให้เขาต่อต้าน
“เมล็ดดวงใจทมิฬ!”
คลื่นกระเพื่อมในดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงบิดเบี้ยว สร้าง ‘หยดน้ำสีน้ำเงิน’ หนึ่งหยดขนาดราวเม็ดงาออกมา
‘หยดน้ำสีน้ำเงิน’ ลึกลับนั้นได้หลอมรวมเข้ากับดวงวิญญาณของหลินทงในเสี้ยววินาที
“เมล็ดดวงใจทมิฬนี่จะเฝ้ามองทุกการเคลื่อนไหวทุกการกระทำของเจ้า รวมทั้งความสั่นไหวของความคิด ในระยะหนึ่งหมื่นลี้ เจ้ายากที่จะหลบรอดไปจากประสาทสัมผัสที่แม่นยำของข้าได้”
จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบาง
วิชาในศาสตร์แห่งวิญญาณในระดับของเมล็ดดวงใจทมิฬมาจาก ‘จิตวิญญาณเหมันต์’ และ ‘เศษเสี้ยวบันทึกหมิงถง’ จิตวิญญาณเหมันต์คือความรู้เกี่ยวกับดวงวิญญาณโบราณ ทำให้จ้าวเฟิงเข้าใจในดวงวิญญาณในระดับหนึ่ง ทั้งแก่นแท้ของมันยังเกี่ยวกับการดูดซับดวงวิญญาณจำนวนมาก
‘เศษเสี้ยวบันทึกหมิงถง’ เป็นเพียงเศษเสี้ยว จ้าวเฟิงไม่อาจจะพึ่งพามันในการศึกษา ‘เนตรแห่งความตาย’ ได้ ทว่าในในเศษเสี้ยวนี้กลับบันทึกหลักการของวิชาดวงตาที่ชั่วร้ายโหดเหี้ยมไว้จำนวนมาก
“เมล็ดดวงใจทมิฬ? เจ้าต้องการจะให้ข้าทำอันใดกันแน่?”
หลินทงหวาดผวา ในวิญญาณของเขามีบางสิ่งฝังอยู่ ทั้งหากยังไม่มั่นใจว่าจะทำลายมันได้ เขาก็ไม่กล้าใช้กำลังทำลายมัน
‘เมล็ดดวงใจทมิฬ’ ที่จ้าวเฟิงใช้ออกนั้นคล้ายคลึงกับ ‘ตราผี’ ที่โครงกระดูกลึกลับใช้โจมตีเขาในป่าของวิหารโบราณ
ทว่า ‘เมล็ดดวงใจทมิฬ’ ที่ดวงตาเทพเจ้าใช้ออกมีแรงคุกคามมากกว่า
ในระยะห่างระดับหนึ่ง จ้าวเฟิงกระทั่งสามารถใช้ ‘เมล็ดดวงใจทมิฬ’ ฆ่าหลินทงได้
“การกลับมายังแคว้นเมฆาในครั้งนี้ข้าต้องการผู้ติดตาม และผู้ที่มีสายเลือดดวงตาอย่างเจ้าก็เหมาะสมพอดี หากมิเช่นนั้นเจ้าคิดหรือว่าจะมีชีวิตรอดมาถึงตอนนี้?”
จ้าวเฟิงแย้มยิ้มอย่างเฉยชา
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ร่างกายและจิตใจของหลินทงก็หนาวเยือก เมื่อเทียบกับความอัปยศอดสูแล้ว การไม่ตายย่อมดีกว่าเป็นไหนๆ
ความนัยของประโยคที่จ้าวเฟิงเอ่ยมาคือ คิดว่าเจ้าพอจะมีประโยชน์อยู่บ้างเลยไว้ชีวิต
แน่นอนว่า การที่จ้าวเฟิงเหลือหลินทงเอาไว้ไม่ใช้เพียงแค่เป็นผู้ติดตาม ในเวลาเดียวกันยังต้องการที่จะเข้าใจสายเลือดดวงตาและการใช้วิชาดวงตาของอีกฝ่ายด้วย
จะอย่างไร ยามนี้เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวก็ยังไม่ได้ครอบครองมรดกสายเลือดดวงตาที่เหมาะสม
หลายวันหลังจากนั้น
นางแอ่นมรกตนำพาจ้าวเฟิงเข้าไปในเขตของสิบสามแคว้นได้ในที่สุด