บทที่ 462 เหยื่อล่อ (1)
สำนักจันทร์สลาย เบื้องหน้าตำหนักกลาง
ศิษย์จำนวนมากบนภูเขา สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง เงียบงันไร้ซึ่งเสียงใด
ในยามนี้ ‘หลินทง’ ที่อยู่กลางนภาได้กลับกลายเป็นจุดรวมความสนใจของผู้คนไป
เจ้าสำนักหยุนไห่ ผู้อาวุโสคุมกฎ และผู้อาวุโสระดับสูงคนอื่นๆ รวมทั้งสองกำลังเสริมที่แข็งแกร่งในขั้นผู้วิเศษแท้ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความหวาดผวาตื่นตัว
สองยอดฝีมือในขั้นผู้วิเศษแท้กลับพ่ายแพ้ให้กับ ‘หนึ่งการมอง’ ผู้คนไม่อาจที่จะอธิบายถึงความน่าหวาดกลัวของอัจฉริยะที่กำลังรุ่งโรจน์ผู้นี้เป็นคำพูดได้
ควรรู้ว่า ‘เซียงหยุนจื่อ’ คือผู้ฝึกตนพเนจรที่เป็นตำนานที่สุดของสิบสามแคว้น แม้กวาดตามองไปทั่วทั้งสิบสามแคว้น จะหาผู้ใดเทียมก็น้อยนัก
ผู้อาวุโสหลักเจ็ด พลังต่อสู้น่าหวาดกลัว ใช้เพียงพลังกายก็สามารถเอาชนะผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ส่วนมากได้แล้ว ผู้ที่มีพลังต่ำกว่าขั้นนายเหนือแท้ยากที่จะต่อกร
กระทั่งสองยอดฝีมือในขั้นผู้วิเศษแท้ทั้งสองยังไม่อาจต่อต้านหนึ่งการมองของหลินทงได้
“หลินทง! เจ้ากล้าที่จะทรยศพันธมิตรแล้วร่วมมือกับเด็กนี่หรือ?”
ผู้อาวุโสหลักเจ็ดปาดเลือดที่มุมปาก อดที่จะคำรามเสียงต่ำอย่างโมโหไม่ได้หลินทง เป่ยม่อ รวมทั้งผู้อาวุโสหลักเจ็ดล้วนเป็นลูกน้องของพันธมิตรมังกรโลหะ
แน่นอนว่า หลินทงและผู้อาวุโสหลักเจ็ดมีตำแหน่งสูงกว่า เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของผู้อาวุโสหลักเจ็ด หลินทงก็เงียบงัน ทว่าสายตาของชายหนุ่มกวาดมองไปยังเด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่ง นัยน์ตาปรากฏความจนใจขึ้นเจือจาง
รายละเอียดเหล่านี้ย่อมไม่อาจที่จะหลุดรอดไปจากการสังเกตของยอดฝีมือบางคนได้
“อัจฉริยะเช่นหลินทงกระทั่งยินยอมรับจ้าวเฟิงเป็นนาย ต้องการจะเป็นข้ารับใช้ของเขาหรือ?”
ในงานสิบสามสำนักพันธมิตร ในฐานะของผู้ที่ครอบครองสายเลือดดวงตา
จ้าวเฟิงและหลินทงยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน
หลินทงอยู่ที่ ‘วิหารโบราณ’ เคยมีข่าวว่าเป็นหนึ่งในสาขาเล็กๆ ของ ‘ลัทธิมารจันทราชาด’ ที่ยังหลงเหลืออยู่ในสิบสามแคว้น
ในทะเลสาบมังกรซ่อนในอดีต การต่อสู้เริ่มต้นขึ้นด้วยการทรยศของวิหารโบราณ หลินทงย่อมเป็นสมาชิกที่เชื่อใจได้ของพันธมิตรมังกรโลหะ กระทั่งได้รับผิดชอบภาระอันยิ่งใหญ่ของลัทธิมารจันทราชาด มันไม่ยากที่จะคาดเดาได้ว่าหลินทงเหมือนจะตกอยู่ในสถานการณ์ถูก ‘บีบบังคับ’
นอกจากนั้น เมื่อได้ยินคำถามของผู้อาวุโสหลักเจ็ด ชายหนุ่มยังไม่อธิบาย
“ฮี่ฮี่ คนแซ่จ้าวผู้นี้เพียงมาขออภัยเจ้าสำนักหยุนไห่ จะดีกว่าหากผู้อื่นไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว”
เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นจากเด็กหนุ่มผมสีน้ำเงิน
จิตใจของเจ้าสำนักหยุนไห่และคนอื่นๆ สั่นสะท้าน
กระทั่งอัจฉริยะที่น่าหวาดกลัวอย่างหลินทงยังดูเหมือนจะถูกจ้าวเฟิงบีบบังคับให้ร่วมมือ มันยากที่จะจินตนาการถึงความแข็งแกร่งของเด็กหนุ่มยิ่งนัก
ไม่อาจหยั่งถึง
เด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินในสายตาของพวกเขาได้ทำให้ผู้คนเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัย กระทั่งเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ไม่มีผู้ใดกล้าผลีผลามลงมือ
กระทั่งผู้ที่แข็งแกร่งเช่นผู้อาวุโสหลักเจ็ดและเซียงหยุนจื่อยังรู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก ไม่อาจที่จะเข้าใจถึงก้นบึ้งของคู่ต่อสู้ได้แม้แต่น้อย
ข้ารับใช้ของจ้าวเฟิงสามารถจัดการพวกเขาได้ในเสี้ยววินาที ไม่อาจที่จะคาดการณ์ได้เลยว่า ‘นายท่าน’ ผู้นี้มีความแข็งแกร่งในระดับใด
ตึก ตึก
ผู้คนเงียบงัน หลงเหลือเพียงเสียงฝีเท้าไม่ใส่ใจของเด็กหนุ่มผมสีน้ำเงิน
สุดท้ายแล้ว เท้าของจ้าวเฟิงก็ก้าวเข้าไปยังเบื้องหน้าตำหนักกลาง
“ใกล้… เด็กนั่นเข้ามาในระยะของค่ายกลแล้ว”
“เจ้าสำนักหยุนไห่! ‘ค่ายกลแปดมังกรสังหารมาร’ เตรียมการเสร็จสิ้นแล้ว”
คนระดับสูงจำนวนมากของสำนักจันทร์สลายหัวใจเต้นรัว ค่ายกลแปดมังกรสังหารมารคือไม้ตายสุดท้ายที่แข็งแกร่งที่สุด
“ ‘ค่ายกลแปดมังกรสังหารมาร’ นี่ได้ถูกเพิ่มพลังโดยค่ายกลโบราณและวัตถุดิบในการสร้างที่เสียเงินและกำลังจำนวนมากหามา และการใช้มันยังต้องใช้ผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงแปดคนร่วมมือกัน เสริมด้วยยอดฝีมือในนภาที่หกและนภาที่เจ็ดอีก 64 คน…”
เบื้องหน้าตำหนักกลาง ยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงของสำนักจันทร์สลายทั้งแปดได้ลงมือแล้ว
เป่ยม่อคือหนึ่งในยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงที่ควบคุมค่ายกล
“สร้างค่ายกล!”
“ฮ่าฮ่า! ไอ้หนูนั่นเข้ามาในระยะค่ายกลแล้ว”
“เข้าใกล้อีกก็จะเป็นใจกลางค่ายกล กระทั่งยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ยังยากที่จะมีชีวิตรอดไปได้!”
คนระดับสูงของสำนักจันทร์สลายอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้
สำหรับ ‘ค่ายกลแปดมังกรสังหารมาร’ สามารถฆ่าคนให้ตายได้โดยไม่รู้ตัว พวกเขามั่นใจอย่างมาก!
“จ้าวเฟิง… อย่า!”
ใต้ยอดเขา ผู้เฒ่าจางและผู้เฒ่ากวนเห็นสถานการณ์ อดที่จะอุทานออกไปไม่ได้
โดยเฉพาะผู้เฒ่าจางที่เชี่ยวชาญในค่ายกล เขากระทั่งเคยเข้าร่วมการสร้าง ‘ค่ายกลแปดมังกรสังหารมาร’ เข้าใจถึงพลังของมันเป็นอย่างดี
น่าเสียดาย คำเตือนของพวกเขาสายเกินไป
จ้าวเฟิงได้เข้าไปในใจกลางของ ‘ค่ายกลแปดมังกรสังหารมาร’ แล้ว
ในยามนี้ มันคือโอกาสที่จะเริ่มค่ายกล คนระดับสูงของสำนักจันทร์สลายอดที่จะยินดีอยู่ในใจไม่ได้
“ฮี่ฮี่ ค่ายกลแปดมังกรสังหารมาร? ก่อนหน้านี้ที่ศึกษาอยู่ในตำหนักภารกิจสำนักเคยได้ยินผู้เฒ่าจางพูดถึงค่ายกลนี่” เสียงหัวเราะเฉยชาแผ่วเบาดังขึ้นจากเด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินที่อยู่ในระยะของค่ายกล
อันใดกัน! คนจากสำนักจันทร์สลายร่างกายและจิตใจสั่นสะท้าน นัยน์ตาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงจนไม่อาจเทียบ มองไปยังจ้าวเฟิงอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง
เจ้าสำนักหยุนไห่พลันรับรู้ได้ถึงความรู้สึกกระวนกระวายรุนแรงในใจ
เด็กหนุ่มผู้นี้เคยเรียนรู้วิชาค่ายกลมาก่อน กระทั่งอาจเรียกได้ว่าเชี่ยวชาญ
เขาไม่เพียงรู้ว่ามี ‘ค่ายกลแปดมังกรสังหารมาร’ กางอยู่ ทว่ายังเดินเข้ามาอย่างไม่ใส่ใจ รอยยิ้มบางเบายังคงไม่จางหายไปจากริมฝีปาก
ในยามนี้ คนระดับสูงของสำนักจันทร์สลายอดที่จะรู้สึกใจหายไม่ได้ บรรยากาศเย็นเยียบแพร่กระจายแทรกซึมเข้าไปทั่วร่าง
ในยามนี้ ความลึกล้ำราวบ่อน้ำของเด็กหนุ่มผู้นี้แทบจะทำให้สติของพวกเขาพังทลายแล้ว
หนึ่งในสองกำลังสนับสนุนที่แข็งแกร่ง ‘เซียงหยุนจื่อ’ อดที่จะเสียใจอย่างมากไม่ได้ ก่อนหน้าที่เจ้าสำนักหยุนไห่จะเชิญมา เขาเองก็รู้ว่ามียอดฝีมือจำนวนมากมารับมือกับจ้าวเฟิง โดยเฉพาะพลังอันน่าพรั่นพรึงของ ‘ค่ายกลแปดมังกรสังหารมาร’
ทว่าความจริงกลับเกินกว่าที่จะคาดคิด ทั้งหมดมาจากก้นบึ้งอันไม่อาจหยั่งถึงของเด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินผู้นั้น
ปีที่ผ่านมา เด็กหนุ่มนำพาตำแหน่งอัจฉริยะอันดับหนึ่งของสิบสามแคว้นหลบหนีออกไปยังอาณาจักรที่ห่างไกล
ในยามนี้ เด็กหนุ่มหวนย้อนคืนมา ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงพลังที่แท้จริงของเขาอีกต่อไป
“ทุกคนอย่าได้กลัวเด็กนี่ เราร่วมมือกัน สามารถขังเขาไว้จนตายได้”
ภายนอกของผู้อาวุโสคุมกฎดุดัน ทว่าภายในกลับรู้สึกใจหาย
“ค่ายกลแปดมังกรสังหารมารใช้งาน!”
แปดยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงโคจรปราณจิตวิญญาณ ยอดฝีมือในนภาที่หกและเจ็ด 64 คนก็สนับสนุนค่ายกลอย่างพร้อมเพรียงกัน
ในเสี้ยวพริบตา
โซ่แสงรูปมังกรแปดสี แต่ล่ะเส้นมีความยาวหลายสิบจ้าง สร้าง ‘ตรวนมังกรแสง’ ที่เรียบง่ายขึ้นพร้อมกันแปดเส้น แสงหลอมรวมกันปิดล้อมบริเวณจ้าวเฟิงอยู่อย่างแน่นหนาในเสี้ยววินาที
“ค่ายกลแปดมังกรสังหารมารมีพลังค่ายกลรุนแรงนัก!”
“โซ่แสงรูปมังกรที่ค่ายกลสร้างขึ้น แต่ล่ะเส้นมีพลังเทียบเท่าขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอด…” คนระดับกลางถึงสูงของสำนักจันทร์สลายสั่นสะท้านอย่างหวาดกลัวและตื่นเต้น ค่ายกลโบราณในระดับนี้ คนทั้งหลายไม่อาจเห็นได้บ่อยครั้ง นับว่าเปิดวิสัยทัศน์ไม่น้อย
จ้าวเฟิงยืนอยู่ที่เดิม โซ่แสงรูปมังกรทั้งแปดปิดกั้นเส้นทางทั้งหมดของเขาในทันทีราวกับคุก พยายามทำให้เขาเหนื่อยล้า
ฟึ่บ!
ตรวนมังกรแสงสองเส้นเต็มไปด้วยกระแสไฟฟ้า รัดพันขาทั้งสองข้างของจ้าวเฟิงเอาไว้
“น่าเสียดาย หากเป็นยอดฝีมือขั้นผู้วิเศษแท้แปดคนร่วมมือกัน บางทีอาจส่งผลต่อข้าได้บ้าง”
จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างเสียดายอยู่บ้าง
ผิวกายของเด็กหนุ่มปรากฏตราวายุอัสนีสว่าง สั่นสะท้านตรวนแสงรูปมังกรทั้งสอง
เคร้ง
ท่ามกลางพลังสายฟ้าและสายลมได้ปรากฏประกายไฟขึ้น ตรวนมังกรแสงทั้งแปดที่จู่โจมไปยังร่างกายของจ้าวเฟิงสั่นสะท้าน
“ค่ายกลแปดมังกรสังหารมารต้องใช้ ‘แปดใจมังกร’ เจตจำนงของพวกเจ้าไม่รวมเป็นหนึ่ง พลังขับเคลื่อนไม่พอ ทำให้แสดงผลของมันออกมาได้เพียงหกเจ็ดส่วนเท่านั้น…”
จ้าวเฟิงส่ายศีรษะ
เด็กหนุ่มเดินด้วยฝีเท้าสม่ำเสมอ เข้าใกล้ ‘เจ้าสำนักหยุนไห่’ ที่อยู่ในตำแหน่งแกนกลางของค่ายกล
“ไอ้เด็กเวร! อย่าได้จองหองไป”
น้ำเสียงของเจ้าสำนักหยุนไห่ปรากฏความสั่นสะท้านขึ้นเล็กๆ ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าพลังของจ้าวเฟิงจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ กระทั่งสามารถเดินใน ‘ค่ายกลแปดมังกรสังหารมาร’ ได้
“เจ้าสำนักหยุนไห่ คนแซ่จ้าวผู้นี้มาขออภัยอย่างจริงใจ ท่านมีอันใดให้ต้องกังวลกัน” มือทั้งสองของจ้าวเฟิงไพล่หลัง ปากแย้มรอยยิ้มบาง มันดูราวกับว่าเขาไม่ได้วางแผนจะเอาชีวิตเจ้าสำนักหยุนไห่จริงๆ
“ช่างเป็นชีวิตหลังความตายที่น่าหวาดหวั่นนัก”
ทันใดนั้น น้ำเสียงว่างเปล่าห่างไกลก็ดังขึ้นจากอีกฟากของลาน เสียงนั้นแทรกซึมเข้าไปในสมอง แม้ว่าจะฟังดูแผ่วเบาอ่อนล้า แต่ผู้คนกลับสามารถได้ยินอย่างชัดเจน
“เสียงนี้…”
หลินทงที่อยู่กลางอากาศ รวมทั้งเป่ยม่อที่อยู่ที่ตำหนักกลางต่างมีสีหน้าแข็งทื่อ
แปดยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงที่กำลังควบคุมค่ายกล เจ้าสำนักหยุนไห่ และผู้อาวุโสหลักเจ็ดต่างร่างกายและจิตใจสั่นสะท้าน
ในยามนี้
อากาศราวกับแข็งตัว เหลือเพียงน้ำเสียงที่แทรกซึมทะลวงเข้าไปในสมองของทุกคน ร่างที่อยู่กลางลาน สวมใส่ชุดดำและหมวกไผ่ปกปิดพลันยกชายแขนเสื้อของพวกเขาขึ้น เผยให้เห็นรูปลักษณ์แต่เดิมของพวกเขา
กลิ่นอายน่าพรั่นพรึงทั้งสามแพร่กระจายไปทั่วทั้งลานตำหนักกลาง
สองบุรุษหนึ่งสตรีราวกับราชาแห่งโลกันต์ ยืนอยู่บนยอดตำหนักเป็นเวลานาน
ฟึ่บ
‘บุรุษชุดดำ’ ในมือถือพัดเหล็ก ผิวทั่วทั้งร่างให้ความรู้สึกราวกับโลหะ ส่งกลิ่นอายเย็นเยียบของเหล็กออกมา
ฟึ่บ
ลำแสงสีเงินโลหะพุ่งวาบ
ฝีเท้าของจ้าวเฟิงแข็งค้าง
เบื้องหลัง
นัยน์ตาของบุรุษชุดดำราบเรียบ ในมือถือพัดเหล็กที่ส่องประกายสว่างห่างจากเสื้อของจ้าวเฟิงเพียงหนึ่งฟุต
‘ลำแสงรูปพัด’ ที่สั่นสะท้านอย่างน่าหวาดกลัวสามารถที่จะตัดร่างของจ้าวเฟิงเป็นสองท่อนได้ในเสี้ยวพริบตา
“นายเหนือเซียวเหยา!”
บุรุษชุดดำที่ปรากฏตัวขึ้นได้ทำให้ผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักจันทร์สลาย รวมทั้งเจ้าสำนักหยุนไห่สิ้นเสียงไป
นายเหนือเซียวเหยา! ชื่อนี้เหมือนกับเงาของฝันร้ายที่ตามเกาะติดคนระดับสูงของสิบสามสำนักมาตลอด
“คารวะจ้าวตำหนักทั้งสาม!”
ผู้อาวุโสหลักเจ็ดเผยสีหน้ายินดีอย่างมากออกมา
“โหยวหลง เซียวเหยา และปี้จี สามจ้าวตำหนัก นี่… นี่มันเป็นไปได้อย่างไร!”
ใบหน้าของเป่ยม่อเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
ก่อนที่จะออกมา เขาเพียงฟังคำสั่งที่คนระดับสูงของพันธมิตรบอกมาว่าจะส่งยอดฝีมือระดับสูงสามคนมาช่วยเหลือสำนักจันทร์สลายรับมือกับจ้าวเฟิง
ทว่าผู้ใดเล่าจะคาดคิด ความช่วยเหลือที่แข็งแกร่งเหล่านี้จะกลายเป็นจ้าวตำหนักทั้งสามของพันธมิตรมังกรโลหะ
“คารวะท่านโหยวหลง ท่านเซี่ยวเหยา และท่านปี้จี จ้าวตำหนักทั้งสาม”
หลินทงที่อยู่กลางอากาศ หน้าผากปรากฏหยาดเหงื่อเย็นเยียบ ใบหน้ากระวนกระวาย
ฟึ่บ ฟึ่บ
นอกจากนายเหนือเซียวเหยาแล้ว ร่างของหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีก็พุ่งวาบ โอบล้อมโจมตีจ้าวเฟิงเป็นรูปสามเหลี่ยม
ผู้ที่มีกลิ่นอายแข็งแกร่งที่สุดคือ ‘จ้าวตำหนักโหยวหลง’ ผู้มีเรือนผมสีดำสนิทราวน้ำตก หน้าผากมีเขาหนึ่งเขา ทั่วทั้งร่างมีเกล็ดสีดำปกคลุม เต็มไปด้วยกลิ่นอายลึกลับเก่าแก่
ตัวตนของเขาราวกับมาจากนรก
‘จ้าวตำหนักปี้จี’ ที่เหลืออยู่ในชุดกระโปรงดงามหรูหรา รูปลักษณ์ราวเทพธิดาปีศาจ กลิ่นอายแปลกประหลาด ให้ความรู้สึกราวกับทุกรอยยิ้มและขมวดคิ้วของนางสามารถล่อลวงดวงวิญญาณของผู้คนได้
“เป่ยม่อ ทำได้ดีมาก! จ้าวเฟิงกลับมายังสำนักจันทร์สลายแล้ว เจ้าสำนักหยุนไห่ ลำบากท่านแล้ว หากไม่ได้ท่าน เราคงไม่อาจลอบโจมตีเด็กนี่ได้อย่างง่ายดายเช่นนี้”
เรือนผมสีดำของจ้าวตำหนักโหยวหลงพลิ้วไหว น้ำเสียงว่างเปล่า ราวกับเสียงของราชาปีศาจในนรก
เวลาราวกับหยุดลงในยามนี้
คนของสำนักจันทร์สลายใบหน้าว่างโล่งตื่นตะลึง ทว่าบรรยากาศทำให้พวกเขาไม่อาจขยับเคลื่อนไหวได้
สี่ยักษ์ใหญ่ของพันธมิตรมังกรโลหะปรากฏตัวที่สำนักจันทร์สลายเล็กๆ ถึงสามคนในครั้งเดียวกันอย่างคาดไม่ถึง
“สามจ้าวตำหนัก… ข้าเป็นเพียงเหยื่อล่อ”
เจ้าสำนักหยุนไห่ถอนหายใจโล่งอก ทว่าในเวลาเดียวกันก็อดที่จะแย้มยิ้มอย่างขมขื่นจนใจไม่ได้