Skip to content

King of Gods 494

King Of Gods

บทที่ 494 ปราชญ์ลิ่วอู

ปราชญ์ลิ่วอู?

หัวใจของจ้าวเฟิงกระตุกวูบ หรี่ดวงตาลงเล็กน้อย มองไปยังเจียงซานเฟิงและเตี๋ยเย่ เกี่ยวกับนามของ ‘ปราชญ์ลิ่วอู’ จ้าวเฟิงเคยได้ยินคนพูดมากกว่าครั้งสองครั้ง จากคำบอกเล่าแล้วดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับตำนานบางอย่าง

ทันใดนั้น จ้าวเฟิงก็พลันนึกถึงสิ่งที่หลิวฉินซินเอ่ยในอดีตเกี่ยวกับเรื่องราว ‘การรับศิษย์ของปราชญ์’

ปราชญ์ในตำนานผู้นี้ได้รับศิษย์สตรีมาสามคน ทั้งสามสืบทอดมรดกสามศาสตร์คือ ศาสตร์แห่งดวงชะตา ศาสตร์แห่งมนต์เสน่ห์ และศาสตร์แห่งสำเนียง

ผู้ที่สืบทอดศาสตร์แห่งมนต์เสน่ห์คือฉินหวางเฟย ตัวตนระดับสูงของอาณาจักรผู้นี้ มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับแต่อย่างใด

จากอดีตของหลิวฉินซิน ผู้สืบทอดศาสตร์แห่งสำเนียงคือมารดาของนาง ทว่านางได้ถูกสังหารโดยฉินหวางเฟย

อาจารย์ของนางคือผู้ที่สืบทอดศาสตร์แห่งดวงชะตา ครั้งหนึ่งได้ให้หลิวฉินซินเปลี่ยนชื่อก่อนที่จะเสียชีวิตไปเพื่อช่วงชิงอำนาจโชคชะตา ทำให้เกิดเป็น ‘พรหมลิขิต’ ขึ้น อีกนัยหนึ่ง หลิวฉินซินเป็นเหมือนกับผู้สืบทอดทั้งศาสตร์แห่งสำเนียงและศาสตร์แห่งดวงชะตา

เมื่อเวลาผ่านไป

สติของจ้าวเฟิงก็กระจ่างชัดขึ้น

“เช่นนั้นอาจารย์ปู่ของฉินซินก็คือปราชญ์ลิ่วอู”

จ้าวเฟิงหลุดปากพูดออกมา

“ก่อนหน้าที่จะไปยังงานชุมนุมเซียนมังกร ฉินซินได้มีโอกาสพบท่านนักปราชญ์จริงๆ ในยามนั้น ท่านนักปราชญ์ได้คำนวนว่าโอกาสที่มรดกความลับสวรรค์จะเชื่อมต่อกับทวีปกำลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ”

เจ้าเมืองหงหูเอ่ยอย่างไม่ต้องคิด

จ้าวเฟิงจมลงในห้วงภวังค์สั้นๆ ปราชญ์ลิ่วอูผู้นี้นับว่าไม่ธรรมดาโดยแท้

กระทั่งในยามนี้ พวกเจียงซานเฟิงทั้งสองที่มายังแคว้นเมฆาเพื่อค้นหาจ้าวเฟิง ไม่มากก็น้อยต่างก็เป็นคำชี้แนะของปราชญ์ลิ่วอู

ในยามนั้น

จ้าวเฟิงค่อนข้างสงสัย รองจ้าวลัทธิโลหะเลือดมั่นใจได้อย่างไรว่าตัวเขาจะยังไม่ตายตกในมรดกต่างแดน? เขาเองก็เป็นผู้หนึ่งที่ทุ่มเททั้งชีวิตในการค้นหาพลังไม่ใช่หรือ? โดยทั่วไปแล้ว อัจฉริยะทั่วไปที่เข้าไปในมรดกต่างแดนและไม่กลับออกมาเป็นเวลานานย่อมไม่มีความหมายอื่นใดไปได้

“รองจ้าวลัทธิโลหะเลือดได้ไปพบท่านนักปราชญ์จริงๆ เขาได้ส่งคนไปตามหาหัวหน้าสาขาจ้าว พวกเราเป็นเพียงหนึ่งในนั้นที่ถูกส่งไปยังแคว้นเมฆา”

เจียงซานเฟิงนึกย้อนกลับไปก่อนที่จะผงกศีรษะยืนยัน

“เป็นเช่นนั้นจริงๆ”

นัยน์ตาของจ้าวเฟิงสั่นระริก เมื่อเข้าใจถึงเรื่องราวเหล่านี้ก็คิดที่จะเข้าไปโน้มน้าวปราชญ์ผู้นั้น

ในอาณาจักรนภา กระทั่งทั่วทั้งทวีป ไม่มีผู้ใดที่ไม่เคยได้ยินนามของปราชญ์ลิ่วอู ทว่าตัวเขานั้น แม้จะเป็นในสายตาของยอดฝีมือและยักษ์ใหญ่ทั้งหลายก็ยังมีสถานะสูงส่งนัก

ปราชญ์ผู้นี้มีความรู้ลึกล้ำราวมหาสมุทร ทั้งในเรื่องของฟ้าดิน ภูมิประเทศ ศาสตร์แห่งโอสถและค่ายกล… แทบจะเรียกได้ว่ารอบรู้ในทุกสิ่ง

มีคำเล่าลือว่า กระทั่งผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดบางคนยังเคยมาพบเพื่อขอคำชี้แนะจากปราชญ์ลิ่วอู

“ดูเหมือนว่า… ข้าคงต้องไปที่หอคอยลิ่วอูอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

จ้าวเฟิงตัดสินใจอยู่ในใจ

ในยามนี้ เขาและเจ้าเมืองหงหูนับเป็นว่าศัตรูกัน

คนทั้งสอง คนหนึ่งมาจากลัทธิโลหะเลือด อีกคนเป็นผู้นำตระกูลหลิว จุดยืนแตกต่างกัน

เจ้าเมืองหงหูเองก็เข้าใจในจุดนี้ จ้าวเฟิงไม่อาจรั้งอยู่ในเมืองหงหูได้นานนัก

“จ้าวเฟิง ไม่นานมานี้ท่านนักปราชญ์ได้ปิดด่านฝึกตน ไม่รับแขก กระทั่งฉินหวางเฟยยังไม่อาจเข้าพบได้”

เจ้าเมืองหงหูเอ่ยเตือน

ฉินหวางเฟยคือศิษย์ลำดับที่สองของนักปราชญ์ การที่นางไม่อาจเข้าพบได้ ชัดเจนว่าทุกวันนี้ การเข้าพบปราชญ์ลิ่วอูกลายเป็นเรื่องที่ลำบากยากเย็นยิ่งนัก

“แม้จะยากเย็นเพียงใดข้าก็จะลองดู”

จ้าวเฟิงเอ่ยลา นำเจียงซานเฟิงและเตี๋ยเย่ทะยานร่างออกไปจากตำหนักเจ้าเมือง

ในยามนี้

ใกล้ตำหนักเจ้าเมือง ยอดฝีมือของตระกูลหลิวได้เห็นภาพของคนทั้งสามขี่ ‘ปักษายักษ์สีเขียวทอง’ จากไป ทว่ากลับไม่มีผู้ใดกล้าขัดขวาง

เมื่อไม่นานมานี้

ข่าวที่จ้าวเฟิงเพิ่งจะเตะเจ้าตำหนักฉินเจี่ยนออกไปและไล่ต้อนสองยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหงหูแล้ว

สามารถคาดเดาได้เลยว่าในไม่ช้า ข่าวการกลับมายังทวีปของจ้าวเฟิงจะสร้างความวุ่นวายขึ้นในอาณาจักรนภา

“ก่อนอื่นไปที่ภูเขาเถี่ยก่านก่อน”

จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนปักษาสีเขียวทอง เอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา

เจียงซานเฟิงรู้สึกงุนงง ทว่าก็ไร้ซึ่งความลังเล บังคับปักษาสีเขียวทองให้มุ่งตรงไปยังภูเขาเถี่ยก่าน

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วน้ำชาเดือด

จ้าวเฟิงเข้าไปในเรือนเถี่ยก่าน เข้าพบอาจารย์เถี่ยกาน

“จ้าวเฟิง เจ้ากลับมาแล้วหรือ?”

อาจารย์เถี่ยกานตื่นตะลึง ยามที่เห็นจ้าวเฟิงมาถึงดวงตาทั้งสองก็ถลึงเบิกกว้าง

หลังจากงานชุมนุมเซียนมังกร จ้าวเฟิงได้กลายเป็นผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ที่สั่นคลอนทวีป เกี่ยวกับเรื่องที่เขาเข้าไปใน ‘มรดกนิรนาม’ และไม่ได้กลับมาเป็นที่เล่าลือในทวีปยิ่งนัก เหมือนกับคนส่วนมาก อาจารย์เถี่ยกานคิดว่าจ้าวเฟิงได้สิ้นชีพอยู่ในมรดกต่างแดนแล้วจึงไม่หวังสิ่งใดอีกต่อไป

“อาจารย์เถี่ยกาน ที่มาพบท่านครั้งนี้มีเรื่องต้องรบกวน”

จ้าวเฟิงเอ่ยเข้าประเด็น พูดถึงเป้าหมายในการมาของเขา

สองปีก่อน ในภูเขาเถี่ยกาน จ้าวเฟิงได้เข้าร่วมในการสร้าง ‘วงแหวนทมิฬ’

แม้ว่าจ้าวเฟิงจะไม่ได้เห็นพิมพ์เขียวที่สมบูรณ์และไม่ได้เข้าร่วมหลอมในส่วนสำคัญ ทว่าการสร้างชิ้นส่วนของวงแหวนทมิฬทั้งหมดนั้นเขารู้ทุกชิ้น

การประกอบส่วนประกอบเหล่านั้นได้เคยถูกดวงตาเทพเจ้าคัดลอกไว้ในสมอง สามารถนึกย้อนไปได้ตลอดเวลา หากต้องการที่จะสร้าง ‘วงแหวนทมิฬ’ ในรูปแบบง่ายๆ สำหรับจ้าวเฟิงในยามนี้แล้วไม่ใช่เรื่องยากมากมาย

“ด้วยพลังการควบคุมที่เหนือกว่าในอดีตและด้วยพลังฝึกตนที่แข็งแกร่งของเจ้าในยามนี้ หากร่วมมือกับตาแก่ผู้นี้ ไม่ต้องเอ่ยถึง ‘วงแหวนทมิฬรูปแบบง่าย’ เลย กระทั่งรูปแบบสมบูรณ์ก็ไม่ใช่เรื่องยาก”

อาจารย์เถี่ยกานเผยรอยยิ้มกว้างออกมา

ชัดเจนว่าเขามั่นใจในตัวจ้าวเฟิงยิ่งนัก

การที่สามารถสร้าง ‘วงแหวนทมิฬ’ ได้สำเร็จในอดีตนั้น คุณงามความดีกว่าครึ่งเป็นของจ้าวเฟิง ทว่าในยามนั้น จ้าวเฟิงเป็นเพียงผู้ฝึกตนในขอบเขตก่อกำเนิดปราณในนภาที่ 6-7 ธรรมดาๆ พลังสายเลือดดวงตาก็ด้อยกว่าในยามนี้หลายส่วน

“แน่นอนว่าเจ้าต้องมีวัสดุเพียงพอ ข้าเชื่อว่าลัทธิโลหะเลือดคงไม่ขี้เหนียวนัก ทว่าการสร้างวงแหวนทมิฬฉบับสมบูรณ์จำต้องได้รับการยินยอมจากรองจ้าวลัทธิโลหะเลือดเสียก่อน หลังจากที่ได้รับพิมพ์เขียวนั่นมา ตาแก่ผู้นี้ต้องค้นคว้าเพื่อค้นหาความลับของมัน”

อาจารย์เถี่ยก่านพาบทสนทนาไปอีกระดับ

แม้ว่าจะสร้างเพียงวงแหวนทมิฬฉบับง่าย วัสดุที่ต้องใช้ก็อาจเรียกได้ว่ามหาศาล

“เรื่องวัสดุนั้นท่านอาจารย์สบายใจเถอะ ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าข้าไม่ต้องการวงแหวนทมิฬฉบับสมบูรณ์ด้วยซ้ำ”

จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบาง ท่าทีมั่นใจยิ่งนัก

หลังจากในซากปรักหักพังสือเฉิง ดวงวิญญาณของเขาก็แข็งแกร่งยิ่งนัก เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มได้ฆ่าผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ไปมากมายเท่าใด ทรัพย์สินมากมายเพียงใดที่เก็บชิงมา?

เพราะขีดจำกัดพลังฝึกตนของผู้อาวุโสหนึ่ง การสร้างวงแหวนทมิฬฉบับสมบูรณ์จะทำให้อีกฝ่ายไม่อาจแสดงพลังออกมาได้อย่างสมบูรณ์

ควรรู้ว่า พลังฝึกตนของรองจ้าวลัทธิโลหะเลือดเทียบได้กับขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด สามารถใช้พลังของวงแหวนทมิฬได้ไม่บกพร่อง

ชั่วครู่ต่อมา

จ้าวเฟิงและอาจารย์เถี่ยกานเข้าไปในห้องหลอมลับใต้ดิน

ฟึ่บ

จ้าวเฟิงเทกองวัสดุล้ำค่าจำนวนมาก ออกมาจากแหวนเหล็กโบราณ ทั้งยังเทเอาผลึกเริ่มต้นออกมาอีกกองหนึ่ง

“เท่านี้เพียงพอหรือไม่?”

จ้าวเฟิงเอ่ยถาม

“พอ… กระทั่งจะสร้างวงแหวนทมิฬฉบับสมบูรณ์ยังเกินกว่าคำว่าพอ”

ดวงตาของอาจารย์เถี่ยกานเบิกกว้างจับจ้องไปยังกองวัสดุ สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น กระทั่งปะปนไปด้วยความหลงใหล วัสดุในยามนี้ล้วนเป็นวัสดุจากต่างแดนที่สูญหายไปจากทวีปจนหมดสิ้นแล้ว

สายตาที่อาจารย์เถี่ยกานมองไปยังจ้าวเฟิงพลันแตกต่างออกไป

ก่อนหน้า การสร้างวงแหวนทมิฬของรองจ้าวลัทธิโลหะเลือดต้องใช้กำลังคน เงินตรา และทรัพยากรจำนวนนับไม่ถ้วน

กระทั่งลัทธิโลหะเลือดที่ยิ่งใหญ่ การที่จะหาวัสดุในการสร้างวงแหวนทมิฬชิ้นที่สองขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

ทว่าในยามนี้ จ้าวเฟิงกลับเทมันออกมาอย่างง่ายดาย

“มูลค่าของวัสดุของเจ้าเกินกว่าคำว่าพอในการสร้างวงแหวนทมิฬฉบับสมบูรณ์ ทั้งยังใกล้เคียงกับวัตถุดิบดั้งเดิมนัก ทว่ายังต้องใช้เวลาครึ่งเดือนในการค้นคว้าวัสดุเหล่านี้”

อาจารย์เถี่ยกานเอ่ยอย่างลังเล

วัสดุเหล่านี้ที่จ้าวเฟิงนำออกมาได้ถูกเลือกอย่างพิถีพิถัน ใกล้เคียงกับวัสดุที่ใช้ในการสร้างวงแหวนทมิฬมากที่สุด ทว่ามันก็ยังคงมีความแตกต่างอยู่เล็กน้อย

“ได้ ในช่วงเวลาครึ่งเดือนนี้ข้าจะไปยังหอคอยลิ่วอู”

จ้าวเฟิงไม่ประหลาดใจ

ยามที่เขาอยู่ในแคว้นเมฆา เขาได้ส่งคนออกไปรวบรวมวัสดุบางอย่าง ทว่าแคว้นเมฆาตั้งอยู่ห่างไกล วัสดุบางอย่างจึงไม่อาจหาสิ่งที่ดีที่สุดมาทดแทนได้

หลังจากที่เสร็จเรื่อง จ้าวเฟิงก็นำพวกเจียงซานเฟิงทั้งสองจากไป

“จ้าวเฟิงผู้นี้ร่ำรวยอย่างน่ารังเกียจนัก”

อาจารย์เถี่ยกานที่มองตามไปยังทิศทางที่ร่างของคนทั้งสามหายไปอดที่จะรู้สึกขึ้นไม่ได้ วัสดุเหล่านั้นและผลึกเริ่มต้นที่จ้าวเฟิงนำออกมา เมื่อเทียบกับการสร้างวงแหวนทมิฬฉบับง่ายแล้วมันมีมูลค่ามากกว่านับสิบเท่า ทว่าจ้าวเฟิงกลับมีท่าทีสบายอารมณ์ ไม่สนใจมูลค่าของวัสดุเหล่านั้น มอบให้กับอาจารย์เถี่ยกานทั้งหมดเป็นค่าตอบแทน

อาจารย์เถี่ยกานย่อมไม่รู้ว่าในมือจ้าวเฟิงกระทั่งมีอาวุธชั้นพิภพในตำนานอยู่ มีหรือจะมาสนใจวัสดุในการสร้างอาวุธวิเศษชั้นจิตวิญญาณเหล่านี้

แม้ว่าจะมีอาวุธวิเศษชั้นจิตวิญญาณนับหมื่นก็ไม่อาจเทียบกับอาวุธชั้นพิภพได้

วงแหวนทมิฬฉบับสมบูรณ์จัดอยู่ในอาวุธชั้นจิตวิญญาณระดับสูงกับชั้นจิตวิญญาณระดับสุดยอดเป็นอย่างมาก ทว่าวงแหวนทมิฬฉบับง่ายนั้น เมื่อเทียบกับอาวุธชั้นจิตวิญญาณระดับกลางทั่วไปแล้วยังแข็งแกร่งกว่าหลายส่วน ทั้งมันยังเหมาะสมในการเป็นแขนให้กับผู้อาวุโสหนึ่งยิ่งนัก

ครืนนน

หลังจากที่พวกจ้าวเฟิงทั้งสามจากไป อาวุธวิเศษแต่ล่ะชิ้นในห้องหลอมลับใต้ดินต่างสั่นสะท้านร่วงหล่นลงที่พื้น ราวกับว่าบางสิ่งที่น่าหวาดกลัวได้มาถึง

อันใดกัน อาจารย์เถี่ยกานใบหน้าขาวซีด ภาพนี้ กระทั่งยามที่สร้างวงแหวนทมิฬก็ยังไม่เคยปรากฏขึ้น

ทว่าจะอย่างไรเขาก็คืออาจารย์ช่าง สามารถนึกออกได้อย่างรวดเร็ว ยามที่จ้าวเฟิงเข้ามาในห้องหลอมลับใต้ดินนี้ อาวุธวิเศษที่เขาสะสมสรรสร้างขึ้นด้วยตนเองก็ดูราวกับอยู่ในสภาพกระวนกระวายอย่างหนัก

หลังจากที่จ้าวเฟิงจากไป อาวุธวิเศษเหล่านี้ที่ราวกับอดทนต่อความน่าพรั่นพรึงบางอย่างมาก็เหมือนเช่นถูกปลดภาระลงจากบ่า

“ต้องเป็นอาวุธชั้นจิตวิญญาณระดับสุดยอดหรือเศษเสี้ยวอาวุธชั้นพิภพจึงจะมีโอกาสเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้ ทว่าในทวีปนี้ อาวุธวิเศษในระดับนี้ ส่วนมากล้วนอยู่ในมือของผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด”

อาจารย์เถี่ยกานผวา ยากที่จะคาดเดาถึงความลับเบื้องหลังของจ้าวเฟิง

หลังจากผ่านไปหลายวัน

ปักษายักษ์สีเขียวทองบินเข้าไปในหุบเขาที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง

“หัวหน้าสาขา หอคอยลิ่วอูอยู่ข้างหน้า กำลังจะไปถึงในไม่ช้า”

เตี๋ยเย่นำทางอยู่ข้างหน้า

จ้าวเฟิงแย้มยิ้ม: “ข้าเห็นแล้ว”

ดวงตาเทพเจ้าของเขามองไปได้ไกลหลายร้อยลี้ มองเห็นหอคอยสูงสีดำสนิทเงียบงันตั้งตระหง่านอยู่

‘หอคอยลิ่วอู’ นั้นสูงถึง 49 จ้าง ถูกโอบล้อมไปด้วยพลังดำมืดบางอย่าง กระทั่งความสามารถในการทำความเข้าใจของดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงยังถูกจำกัดไปบางส่วน

เพื่อรักษา ‘มารยาท’ จ้าวเฟิงฝืนไม่กระตุ้นการเคลื่อนไหวของพลังสายเลือดดวงตาเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการสร้างความขุ่นข้องใจให้กับนักปราชญ์

ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ

คนทั้งสามทิ้งตัวลงจากพาหนะ ทะยานร่างไปเบื้องหน้าห้าลี้จึงจะไปถึงยังเบื้องหน้าหอคอยลิ่วอู จ้าวเฟิงมาถึงเป็นคนแรก จงใจไม่ปิดบังกลิ่นอายขั้นนายเหนือแท้ที่ทรงพลังบนร่าง

ในยามนี้

เบื้องหน้าประตูหอคอยลิ่วอู นอกจากจ้าวเฟิงแล้วยังมีคนอีกหลายสิบคน

ผู้มาเยือนเหล่านี้ หลายคนมีพลังฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง สี่ห้าคนมีพลังขั้นนายเหนือแท้ในระดับเดียวกับจ้าวเฟิง

“เป็นผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ที่เยาว์วัยนัก”

เหล่าผู้มาเยือนมีท่าทีไม่ไว้วางใจ ใบหน้าขาวซีด

กระทั่งยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้หลายคนนั้นยังมองไปยังจ้าวเฟิงด้วยสายตาตื่นตะลึง

“เป็นเขา… มิคาดว่าจะเป็นเขา”

“จ้าวเฟิง หนึ่งในห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ของงานชุมนุมเซียนมังกรครั้งนี้”

ในฝูงชนพลันปรากฏเสียงกรีดร้องออกมา

ไม่ช้าก็มีคนตระหนักถึงตัวตนของจ้าวเฟิงได้

หืม ดวงตาของจ้าวเฟิงกวาดมอง ค้นพบคนคุ้นเคยอยู่หลายคน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!