บทที่ 495 เผชิญหน้าศัตรูคู่แค้น
การมาถึงของจ้าวเฟิงได้ทำให้ฝูงชนหน้าหอคอยลิ่วอูตกอยู่ในความวุ่นวาย
“จ้าวเฟิง หนึ่งในผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ของงานชุมนุมเซียนมังกรครั้งนี้”
หลายคนเพียงเหลือบมองก็จดจำเขาได้
ในยามนี้ งานชุมนุมเซียนมังกรสิ้นสุดลงแล้วกว่าครึ่งปี อำนาจของผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้แผ่ขยายไปทั่วทั้งสำนักตระกูลในยุทธภพของทวีป ในห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ หยูเทียนฮ่าวและจ้าวเฟิงที่มีพลังอำนาจมากมายที่สุดนับเป็นราชาผู้ถูกเลือกในยุคนี้ ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์
สายตาของจ้าวเฟิงกวาดมองอย่างรวดเร็ว เห็นร่างที่คุ้นเคยอยู่
มีจินไท่จื่อและเทียนหยุนจื่อ กระทั่งยังหัวหน้าศิษย์ของหนึ่งในสิบยอดสำนัก ‘สำนักเทียนหยวน’ โม่เทียนอี้ รวมทั้งยังมีบางคนที่จ้าวเฟิงรู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก
ข้างกายจินไท่จื่อมีสตรีในชุดสูงศักดิ์ที่ใบหน้าถูกปกปิดด้วยผ้าสีดำ กลิ่นอายสั่นกระเพื่อมอย่างแปลกประหลาด ลอยลงมาจากกลางอากาศ
สตรีผู้นั้นเมื่อเห็นจ้าวเฟิงนัยน์ตาก็สั่นระริก ร่างแข็งทื่อไป
“จ้าวเฟิงมิใช่หรือ เจ้ากลับมาจากมรดกต่างแดนได้? รู้หรือไม่ว่าศิษย์น้องหยูเฟ่ยอยู่ที่ใดกัน?”
สีหน้าของโม่เทียนอี้เต็มไปด้วยความตื่นตะลึง หลุดปากพูดออกมายามที่มองหน้าจ้าวเฟิง เขารอที่จะเช้าไปในหอคอยลิ่วอูก็เพื่อสอบถามเกี่ยวกับความเป็นตายของจ้าวหยูเฟ่ย
หลังจากงานชุมนุมเซียนมังกรสิ้นสุดลง จ้าวหยูเฟ่ยที่เช้าไปในมรดกนิรนามก็ไม่ได้กลับมายังทวีป ทว่าสำนักเทียนหยวนไม่ยอมแพ้ พยายามทุกวิถีทางในการตามหาจ้าวหยูเฟ่ย
เมื่อโม่เทียนอี้เอ่ยถึงเรื่องนี้ ยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงบางคนแถวนั้น โดยเฉพาะผู้ที่มีกลิ่นอายสูงถึงชั้นนายเหนือแท้ก็พลันเงี่ยหูฟัง
งานชุมนุมเซียนมังกรครั้งนี้ยอดเยี่ยมที่สุดในบรรดารอบที่ผ่านมา ไม่เพียงแค่สี่มหามรดกได้ปรากฏขึ้น ทว่ายังมี ‘มรดกนิรนาม’ ที่แข็งแกร่งปรากฏขึ้นหนึ่งมรดกด้วย แต่ก่อนหน้านี้ ผู้ที่เช้าไปในมรดกนิรนามทั้งสองกลับไม่สามารถกลับมาได้อย่างง่ายๆ
ทว่าวันนี้ หนึ่งในพวกเขาได้มีชีวิตรอดมาจากมรดกนิรนามที่ทรงพลังนั้น มีหรือที่นี่จะไม่สร้างความสงสัยให้กับผู้คนจนกระทั่งต้องเงี่ยหูฟัง
“โม่เทียนอี้”
จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบาง ไม่ได้เอ่ยตอบคำถามของโม่เทียนอี้ในทันที
เบื้องหน้าหอคอยลิ่วอูมีคนมากมายเพียงนี้ มีหรือที่จ้าวเฟิงจะบอกข่าวเกี่ยวกับ ‘มรดกนิรนาม’ อย่างง่ายดาย?
โม่เทียนอี้รู้สึกกระอักกระอวล รู้สึกร้อนใจเล็กๆ สถานการณ์ในยามนี้เอ่ยถามเกี่ยวกับสิ่งที่ควรจะเป็นความลับ นับว่าไม่เหมาะสมโดยแท้
คนบางคนในยามนี้เงี่ยหูฟัง เตรียมที่จะฟังความลับบางอย่าง แน่นอนว่าต้องรู้สึกผิดหวัง ยอดฝีมือชั้นนายเหนือแท้หลายคนมุ่นคิ้วเช้าหากันเล็กๆ ดูจะไม่พอใจ
จ้าวเฟิงยืนสองมือไพล่หลังแย้มยิ้มบาง ด้วยพลังของเขาในยามนี้ย่อมไม่มีสิ่งใดให้หวาดกลัว
“น้องจ้าว ได้เห็นเจ้าที่นี่ ข้ารู้สึกคาดไม่ถึงยิ่งนัก หากสะดวกไปยังสำนักเทียนหยวน เหล่าผู้อาวุโสย่อมดีใจอย่างมากเป็นแน่”
โม่เทียนอี้เผยสีหน้ายินดี ทักทายจ้าวเฟิง เขาไม่ได้เอ่ยสอบถามอย่างละเอียดเกี่ยวกับเรื่องของมรดกนิรนาม
ไม่ช้า จินไท่จื่อ เทียนหยุนจื่อ และอัจฉริยะคนอื่นๆ ก็มาทักทายจ้าวเฟิง
กระทั่งยอดฝีมือและอัจฉริยะบางคนที่จ้าวเฟิงไม่รู้จักก็ยังเช้ามาพูดคุยแนะนำตนเองอย่างพร้อมเพรียง สำหรับทุกคนแล้ว สามารถพูดคุยกับผู้ถูกเลือกที่สั่นคลอนทวีปได้นับเป็นเกียรติที่ไม่อาจเทียบ หลังจากกลับไปยังมีเรื่องให้พูดคุยได้
จ้าวเฟิงไม่เย่อหยิ่งหรือถ่อมตน พูดคุยแลกเปลี่ยนกับยอดฝีมือบางคนในที่นั้น
“ทุกคนรออยู่ที่นี่ มิรู้ว่าสถานการณ์ของท่านนักปราชญ์ในหอคอยลิ่วอูเป็นเช่นไร?”
จ้าวเฟิงสอบถาม
ชัดเจนว่าคนที่ต้องการพบปราชญ์ลิ่วอูมีมากนัก ส่วนมากเป็นเรื่องในการขอคำชี้แนะแนวทางหรือให้คำนวณทำนายดวงชะตาและที่เทียนหยุนจื่อมาพบด้วยตนเองนั้นก็เพราะต้องการขอบคุณนักปราชญ์และขอคำชี้แนะบางอย่าง
โม่เทียนอี้ หัวหน้าศิษย์แห่งสำนักเทียนหยวนผู้นี้ และผู้อาวุโสของสำนักมารอเพื่อที่จะเอ่ยถามถึงที่อยู่ของจ้าวหยูเฟ่ย
“ท่านนักปราชญ์ได้ปิดด่านฝึกตนมาหลายเดือนแล้ว เอ่ยว่ารับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างของฟ้าดินที่ส่งผลต่อชะตาของทั้งทวีป”
“อีกไม่นานท่านนักปราชญ์น่าจะออกมา บางทีคงต้องรออีกสักหน่อย”
“ใช่แล้ว เราและคนอื่นๆ มาเพื่อรอท่านนักปราชญ์ นี่คือโอกาส”
ผู้คนเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
เมื่อจ้าวเฟิงได้ยินเช่นนั้นก็เช้าใจสถานการณ์ขึ้น
โดยสรุป นี่ก็เหมือนกับการต่อแถว ผู้คน ณ ที่นี้กำลังต่อแถวรออยู่
“ข้าต้องสร้างวงแหวนทมิฬในไม่ช้า ทั้งยังต้องกลับไปยังฐานหลักของลัทธิโลหะเลือดให้เร็วที่สุด…”
จ้าวเฟิงครุ่นคิด
เขาไม่อาจเฝ้ารอได้นานนัก แต่หากออกไปกลางทางอาจพลาดโอกาสที่นักปราชญ์ผู้นั้นออกมา
หลังจากที่ปราชญ์ลิ่วอูออกมาอาจจะออกเดินทาง ยามนั้นแม้ต้องการค้นหาเขาก็เหมือนเช่นมองหาเข็มในมหาสมุทร
ฟึ่บ ฟึ่บ
ชั่วครู่ต่อมา เจียงซานเฟิงและเตี๋ยเย่จึงมายืนอยู่ข้างกายของจ้าวเฟิง
“หัวหน้าสาขา ให้ข้าลองเถอะ บางทีหากท่านนักปราชญ์รู้ว่าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ที่อยู่ในชั้นแนวหน้าของทวีปมาก็อาจมีโอกาสที่จะออกมา”
เจียงซานเฟิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เขาต้องการทำงานให้สำเร็จเพื่อที่จะนำจ้าวเฟิงกลับไปยังลัทธิโลหะเลือด
จ้าวเฟิงไม่ปฏิเสธ นั่นเท่ากับการตอบรับให้เจียงซานเฟิงลองพยายามดู
“นักบวชแห่งหอคอยลิ่วอู นี่คือแถลงการณ์ หัวหน้าสาขาพันธาราลัทธิโลหะเลือดและผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ จ้าวเฟิง ได้มาขอเช้าพบ”
เจียงซานเฟิงแหงนศีรษะ เอ่ยตะโกนเสียงดัง เอ่ยขึ้นไปยังร่างที่อยู่ในหอคอยลิ่วอู หอคอยลิ่วอูนั้น นอกจากนักปราชญ์ที่มีตำนานลึกลับแล้วยังมียอดฝีมือและนักบวชคนอื่นๆ อยู่อีก
“หนึ่งในห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้?”
ร่างบนหอคอยลิ่วอูรู้สึกประหลาดใจเล็กๆ บางคนกระทั่งมองลงมาอย่างสังสัยใคร่รู้ จะอย่างไร ใช่ว่าในหอคอยลิ่วอูจะมีเพียงนักปราชญ์ที่สามารถทำนายดวงชะตาได้
“ในช่วงเวลาที่สูงส่งนี้ ห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้แข็งแกร่งกว่าเดิมหลายสิบเท่า นำวาสนามังกรใหญ่โตควบคุมอนาคตของทวีป”
นักบวชบางคนเองก็ล่วงรู้ถึงความลับของสวรรค์บางประการ
ดังนั้นแล้ว
การปรากฏตัวขึ้นของจ้าวเฟิงจึงได้สร้างความสงสัยใคร่รู้ให้ตัวตนที่ยิ่งใหญ่บางคน กระทั่งสร้างเสียงพูดคุยขึ้นแผ่วเบา ยอดฝีมือในการทำนายหลายคน นัยน์ตาส่องประกายจ้องมองไปยังจ้าวเฟิง อดที่จะคำนวนจากคำใบ้ที่มีอยู่ไม่ได้
ทว่าผู้ที่พยายามทำนายส่วนมากกลับไม่อาจมองเห็นสิ่งใด
บุรุษเคราขาวผู้นั้นปิดเปลือกตาทั้งสองข้างแน่น ร่างสั่นสะท้านเล็กๆ กระบวนการคำนวณลึกล้ำ เมื่อบุรุษเคราขาวพยายามทำนายจนถึงขีดสุด มุมปากก็ปรากฏเลือดไหลออกมา
“ท่านอาจารย์”
นักบวชบางคนใบหน้าซีดขาว รีบเช้าไปช่วยเหลืออีกฝ่าย
“สมแล้วที่เป็นผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ ท่านนักปราชญ์เคยพูดว่าในช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมที่สุด พลังของพวกเขามากกว่านับสิบเท่า เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับความลับของสวรรค์ที่ไม่อาจล่วงรู้”
บุรุษเคราขาวปาดเลือดออกจากมุมปาก มองไปยังเด็กหนุ่มเรือนผมสีน้ำเงินอย่างลึกล้ำ
ความวุ่นวายสั้นๆ บนหอคอยลิ่วอูได้ทำให้คนหลายสิบคนที่รออยู่เบื้องล่างต้องมองหน้ากันด้วยสีหน้าว่างเปล่า
ไม่คิดว่า ตัวตนในระดับของ ‘อาจารย์’ ในการทำนายที่พยายามจะดูโชคชะตาของจ้าวเฟิงจะถูกพลังสะท้อนกลับจนกระอักเลือด
จ้าวเฟิงยังคงสงบนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่สนใจเหล่านักบวชที่อยู่ในหอคอย
“ผู้อาวุโสแห่งหอคอยลิ่วอู หัวหน้าสาขาของข้ามีเรื่องสำคัญยิ่งนักต้องการจะพูดคุยกับท่านนักปราชญ์ โปรดผ่อนปรนด้วย”
เจียงซานเฟิงฉวยโอกาสพูดขึ้น
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้คนเบื้องหน้าหอคอยลิ่วอูก็อดที่จะเผยสีหน้าคาดหวังออกมาไม่ได้ บางทีการมาถึงของผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้อาจทำให้หอคอยลิ่วอูเปิดออกเป็นกรณีพิเศษ
มีเพียงแค่สตรีสูงศักดิ์ข้างกายจินไท่จื่อที่นัยน์ตาส่องประกายเย็นเยียบ
อาจารย์เคราขาวบนหอคอยลิ่วอูกระแอมไอ “ยามนี้ท่านนักปราชญ์กำลังปิดด่านฝึกตนอยู่ เอ่ยว่าเมื่อโอกาสมาถึงเขาย่อมออกมา แม้ว่าตาแก่ผู้นี้จะสนใจในตัวของผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ยิ่งนัก ทว่าน่าเสียดายที่ไม่อาจช่วยเหลือได้…”
เมื่อผู้คนที่อยู่ด้านล่างหอคอยได้ยินเช่นนั้นก็อดที่จะผิดหวังเล็กๆ ไม่ได้
จ้าวเฟิงไม่มีท่าทีใดๆ ต่อเรื่องนี้ สายตาพลันเบนมองไปยังสตรีงดงามข้างกายจินไท่จื่อ
“ท่านหวางเฟย ไม่ได้เจอกันนาน”
เด็กหนุ่มแย้มยิ้มบาง สายตาราวกับมองทะลุผ่านผ้าสีดำที่ปกปิดใบหน้างดงามของอีกฝ่ายไป
“เจ้า…”
สตรีที่ปกปิดใบหน้าด้วยผ้าดำชะงักไปอย่างชัดเจนพร้อมกับเค้นเสียงเย็น เปิดผ้าปิดหน้าเผยให้เห็นใบหน้างดงามหยดย้อย
สตรีสูงศักดิ์ผู้นี้ ทุกลมหายใจล้วนทรงเสน่ห์ ให้ความรู้สึกน่าลุ่มหลงจนถึงขีดสุด
ฉินหวางเฟย
ยอดฝีมือบางคนที่เฝ้ารออยู่ประหลาดใจ คนส่วนมากไม่รู้ว่ากระทั่งฉินหวางเฟยแห่งอาณาจักรก็ยังต้องเฝ้ารอการออกมาของนักปราชญ์ในยามนี้
“กระทั่งฉินหวางเฟย ศิษย์หลักผู้นี้ของท่านนักปราชญ์ยังต้องเฝ้ารอ ดูเหมือนว่าครั้งนี้คงยากที่จะพบท่านนักปราชญ์ได้ง่ายๆ แล้ว”
หลายคนทอดถอนใจอย่างขมขื่นหดหู่
การปรากฏตัวขึ้นของฉินหวางเฟยได้ทำให้บรรยากาศของบริเวณนั้นหนักอึ้งขึ้นเล็กๆ ใต้หอคอย จ้าวเฟิงและฉินหวางเฟยเผชิญหน้ากันห่างออกไป
โดยเฉพาะฉินหวางเฟยที่ใบหน้าไม่ปกปิดความไม่เป็นมิตร กลิ่นอายทรงพลังชั้นนายเหนือแท้บนร่างถูกส่งออกมาอย่างไม่เก็บรั้ง ก่อนหน้า จ้าวเฟิงจับตัวฉินหวางเฟยเป็นตัวประกัน สร้างความวุ่นวายขึ้นในอาณาจักรต่อหน้าทุกคน
ผู้ที่มีสถานะสูงส่งเช่นฉินหวางเฟย มีหรือที่ยอมรับความอัปยศเช่นนั้นได้?
บัดนี้ เมื่อพบศัตรูคู่อาฆาตก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
“จ้าวเฟิง ประกาศจับของเจ้าที่ราชวงศ์สั่งการยังคงไม่ถูกยกเลิก”
ฉินหวางเฟยไม่มีความสุภาพใดๆ
นางเองก็รู้ว่าเสน่ห์ของนางไม่มีผลต่อผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ที่มีสายเลือดดวงตาผู้นี้
“อืม คนแซ่จ้าวผู้นี้เองก็ไม่ลำบากนักหากจะจับตัวหวางเฟยเป็นตัวประกันอีกสักครั้ง”
จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบาง มุมปากกระทั่งเหยียดออกเป็นรอยยิ้มเยาะเย้ย
จับตัวหวางเฟยอีกครั้ง?
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้คน ณ ที่นั้นก็จิตใจสั่นสะท้าน
จ้าวเฟิงผู้นี้ไม่ได้เย่อหยิ่งจองหองเพียงธรรมดา ควรกล่าวว่าบ้าบิ่นจะเหมาะสมเสียกว่า ควรรู้ว่าในอาณาเขตอาณาจักรนภา ราชวงศ์คือหนึ่งในขั้วอำนาจชั้นแนวหน้า ใช้คำพูดควบคุมทั้งอาณาจักร
“เจ้า เจ้ากล้าสบประมาท…หวางเฟย…”
ยามที่ฉินหวางเฟยกราดเกรี้ยว บนใบหน้าก็ได้แดงซ่านจับตาผู้คนทั่วไป
คนหลายคน ณ ที่นั้นหัวใจสั่นสะท้าน ในดวงตาปรากฏความรู้สึกตื่นตะลึงทรมานขึ้น จ้าวเฟิงท่าทีไร้ความรู้สึก ยังคงไร้ซึ่งปฏิกิริยา คนทั้งสองเผชิญหน้ากัน ฉินหวางเฟยสติหลุดไปแล้ว ทว่ายังไม่ลงมือ
จินไท่จื่อที่อยู่ด้านหลังฉินหวางเฟยตื่นตะลึงยิ่งนัก
เขาไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าจ้าวเฟิงในวันนี้อยู่ในระดับใด กระทั่งกล้า ‘กลั่นแกล้ง’ ฉินหวางเฟย ทว่าเมื่อเรื่องนี้ถูกพูดออกไป มันย่อมกลายเป็นการที่จ้าวเฟิง ‘ลวนลาม’ ฉินหวางเฟยอย่างแน่นอน มันอาจสร้างความตึงเครียดให้กับความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์และลัทธิโลหะเลือดมากยิ่งขึ้น ดีไม่ดี เรื่องนี้เลวร้ายลงอาจทำให้ราชวงศ์เปิดสงครามกับลัทธิโลหะเลือดจากเรื่องของคนทั้งสอง
“ฉินหวางเฟยผู้นี้กลับสามารถอดทนได้ ไม่ลงมือ”
จ้าวเฟิงพิจารณาถึงระดับความโกรธของฉินหวางเฟย หรือตัวเขาควรจะจับตัวสตรีผู้นี้เลยดี
ในยามนี้
เสียงร้องแปลกประหลาดของแมวได้ดังขึ้นแหวกผ่านอากาศ
หืม?
คนหลายคน ณ ที่นั้นหัวใจกระตุกวูบ มองไปยังหอคอยลิ่วอูเหนือศีรษะ
แมวสีดำเงินสีหน้าเกียจคร้านอ้าปากหาว กระโจนลงมาจากหอคอยลิ่วอู
“แมวนี่ อย่าได้บอกข้าเชียวว่าเป็นตัวที่อยู่กับท่านนักปราชญ์?”
คนบางคนดวงตาส่องประกายเจิดจ้าขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
เกี่ยวกับภาพลักษณ์ของปราชญ์ลิ่วอูนั้นค่อนข้างเป็นเรื่องเล่าขาน ทว่ารูปลักษณ์ของอีกฝ่ายกลับชัดเจนอย่างน่าเหลือเชื่อ: ข้างกายนักปราชญ์มีแมวตัวหนึ่งที่อยู่ด้วยกันตลอด
แมวสีดำเงินที่ดูเกียจคร้าน กระโจนขึ้นไปบนไหล่ของฉินหวางเฟย
“แมวขี้เกียจ เจ้าไม่ได้นอนอยู่หรือ?”
ฉินหวางเฟยแย้มยิ้ม ราวกับคุ้นเคยกับแมวขี้เกียจสีดำเงินตัวนี้อยู่ไม่น้อย