Skip to content

King of Gods 597

King Of Gods

บทที่ 597 เจ้าแมวขโมยลงมืออีกครั้ง

บนสนามรบ การประมือของสองสำนักสองดาวรุนแรงจนท้องฟ้าและพื้นดินสะเทือนเลื่อนลั่น

ในกลุ่มเรือเชลยศึก เรือแห่งทะเลความว่างเปล่าของจ้าวเฟิงต่อสู้อยู่เพียงลำพัง รับการโจมตีอีกระลอกหนึ่ง

เมื่อผู้สูงศักดิ์สองคนของตำหนักนพเก้าหมดลมหายใจอยู่ภายใน ‘ค่ายกลหุ่นเชิดศพ’ การดำรงอยู่ของเรือหลานเหลยก็ดึงดูดความสนใจของคนสองสำนัก

“เฮอะ! ที่แท้ก็มองผิดไป…” ผู้เฒ่าหน้าดำของวังลิ่วหวนดวงตาสว่างวาบ

‘หัวหน้าผู้เยาว์’ ของเรือลำนั้น ในขณะที่กำลังรบได้แสดงความสามารถที่โดดเด่นเหนือใคร แล้วร่วมมือกับผู้สูงศักดิ์อีกสามคน

เรือลำนั้นไม่เพียงแต่จะอยู่รอดปลอดภัย ทว่ายัง ‘สังหารศัตรูได้ความดีความชอบ’ อีกด้วย

เมื่อเป็นเช่นนี้ แน่นอนว่าเรือหลานเหลยย่อมโดนโจมตีจาก ‘ตำหนักนพเก้า’ มากขึ้น

โครม โครม โครม!

หมอกควันสีเทาที่ปกคลุมด้านบนของเรือพลันอ่อนกำลังและสลายตัวลง ขณะนั้นตัวเรือก็สั่นไหวโคลงเคลงอย่างรุนแรง เหล่าลูกเรือทั้งหลายร่างกายโอนเอน ยืนได้ไม่มั่นคง

“โชคดีที่เรือลำนี้ผ่านการซ่อมแซมปรับปรุงจนแข็งแกร่งขึ้น”

โหลวหลานจื๋อสุ่ยตรวจสอบเรือแล้วพบว่าเรือไม่ได้เสียหายชัดเจนมากนัก

หลักๆ น่าจะเป็นเพราะค่ายกลหุ่นเชิดศพของจ้าวเฟิงที่แบกรับพลังส่วนหนึ่งไว้ ส่วนผู้สูงศักดิ์อีกสามคนก็ช่วยต้านแรงระเบิดบางส่วนด้วย

พรึ่บ! พรึ่บ!

จ้าวเฟิงโบกสะบัดธง เรียกเอากลุ่มหมอกควันสีเทาอึมครึมที่อยู่ทั่วทิศทางมาป้องกันเรือโดยเฉพาะ

นอกจากนี้ เขายังแอบเพิ่มจำนวนหุ่นเชิดศพต้องสาปเป็นห้าสิบร่างด้วย

“อย่าเข้าไปในวงล้อมของสนามรบ” จ้าวเฟิงควบคุมความคิดในการจะสังหารศัตรู แล้วบังคับให้เรือรีบหนีออกจากศูนย์กลางของสนามรบ โดยแสร้งทำเป็นรับมือไม่ไหว

โครม ตู้ม! เคร้ง เคร้ง!

ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่เรือหลานเหลยก็ยังคงถูกโจมตีโดยยอดฝีมือจำนวนหลายสิบที่นำโดยผู้สูงศักดิ์สี่คน

“หัวหน้าเรือจ้าว ด้วยความสามารถของเรือลำนี้ เราน่าจะมีหวังหนีออกจากสนามรบนี้ได้” หลี่อวิ๋นหยากับผู้สูงศักดิ์ที่เหลือมีความหวังแวบขึ้นในแววตา

คุณสมบัติที่แข็งแกร่งของเรือหลานเหลยบวกกับการคุ้มกันของค่ายกลหุ่นเชิดศพ นอกเหนือจากขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงจำนวนน้อยคนแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถทำอะไรคนบนเรือได้

“ยังไม่ใช่เวลา” จ้าวเฟิงส่ายศีรษะ

เขาสัมผัสได้ว่า ยอดฝีมือของ ‘วังลิ่วหวน’ ที่คอยสังเกตการณ์อยู่ด้านหลังกำลังจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของเรือ

รวมไปถึงผู้เฒ่าหน้าดำในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงปลายผู้นั้นด้วย

แม้แต่ ‘ครึ่งก้าวสู่ราชัน’ ที่หลบซ่อนตัวอยู่ผู้นั้น ยังใช้ห้วงความคิดเซียนที่แข็งแกร่งกวาดผ่านบริเวณนี้อย่างรวดเร็ว

 

“รอให้สู้รบกันจนถึงที่สุด ยอดฝีมือของทั้งสองฝั่งประจันหน้ากัน นั่นถึงจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด” ในใจจ้าวเฟิงได้คิดแผนการไว้

ในตอนนี้ เขาต้องควบคุมสถานการณ์ให้ดี ไม่ปล่อยให้เรือหลานเหลยตกอยู่ในใจกลางของสนามรบ

จากนั้น พยายามสังหารผู้สูงศักดิ์เพื่อเพิ่มพลังคำสาปหุ่นเชิดศพอย่างเงียบเชียบ

“นายท่าน! ยามนี้ค่ายกลร้อยศพต้องสาป สามารถสังหารและดูดกลืนเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของผู้สูงศักดิ์ได้ประมาณสิบกว่าร่างแล้ว” เจ้าหอโครงกระดูกที่อยู่ในประคำหมื่นวิญญาณเอ่ยอย่างลิงโลด

ขอเพียงแค่หุ่นเชิดศพต้องสาปกลืนกินเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของผู้สูงศักดิ์ได้ถึงหนึ่งร้อยร่าง ก็จะทำให้พลังไปถึงขั้นใหม่ได้

บนสนามรบ พลังของสองสำนักสองดาวและจำนวนยอดฝีมือที่เข้าร่วมรบยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ

“อ๊าก!”

ภายในกลุ่มหมอกควันมีเสียงกรีดร้องโหยหวนของผู้สูงศักดิ์ดังลอดออกมา ร่างกายคนผู้นั้นเน่าเปื่อยกลายเป็นกองเลือด แล้วจึงโดนค่ายกลหุ่นเชิดศพดูดกลืนเข้าไป

ในความเป็นจริงแล้ว นี่ถือว่าเป็นผลที่เกิดขึ้นจากการที่จ้าวเฟิงพยายามจัดการอย่างเงียบที่สุด ขอเพียงแค่ผู้สูงศักดิ์ของฝ่ายศัตรูไม่ลุกล้ำเข้ามาภายในค่ายกลหุ่นเชิดศพก็จะไม่โดนปลิดชีพ

“เรือลำนั้นผิดปกติ!”

ผู้สูงศักดิ์หลายคนของตำหนักนพเก้าล้อมเรือหลานเหลย รักษาระยะห่าง แล้วโจมตีในระยะใกล้ๆ แทน

พวกเขาคิดว่าขอเพียงแค่ไม่เข้าใกล้เรือก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวอะไร

จ้าวเฟิงหัวเราะเยาะ

“เพิ่มความเร็ว! หลบหลีก! เข้าใกล้!” โหลวหลานจื๋อสุ่ยที่อยู่ในเรือได้รับคำสั่ง จึงควบคุมเรือแล้วทำตามนั้น

ความเร็วและความปราดเปรียวของเรือหลานเหลยทำให้คนถึงกับพูดไม่ออก

ตุบ ตุบ โครม!

ยอดฝีมือในขั้นนายเหนือแท้หลายคนและครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดคนหนึ่ง โดนเรือชนเข้าอย่างจังจนเนื้อตัวเป็นบาดแผลเหวอะหวะ ร่างกายขาดวิ่น

“เหอะเหอะ…ข้าอดไม่ไหว อยากออกไปสังหารเจ้าพวกนั้นแล้ว” เจ้าหอโครงกระดูกที่อยู่ภายในประคำหมื่นวิญญาณยังรู้สึกอดรนทนไม่ไหว

จ้าวเฟิงกลอกตาขึ้นด้านบน

ในทุกครั้งที่เขาออกคำสั่งบังคับเรือล้วนแต่ระมัดระวังรอบคอบ ไม่อาจตกเข้าสู่ใจกลางของสนามรบ แล้วก็ไม่อาจจะออกจากที่นี่ไปได้

เพราะว่าจนถึงขณะนี้ ทั้งสองฝ่ายส่งกำลังคนยอดฝีมือลงไปบางส่วน แต่ไม่ได้ลงมือกันอย่างเอาเป็นเอาตาย

จ้าวเฟิงต้องรอจนทั้งสองฝ่ายห้ำหั่นกันจนไม่สนใจสิ่งใด จึงจะคิดหาวิธีการหนีได้

ยังดีที่ในฝั่งของ ‘วังลิ่วหวน’ วางยุทธศาสตร์โจมตีได้ดีมาก เพิ่มจำนวนทหารอยู่เรื่อยๆ

ต้องยอมรับว่าเรือของจ้าวเฟิงเป็นหน่วยกล้าตายที่มีประโยชน์อย่างมาก ด้วยสามารถเปิดทางให้กับ ‘วังลิ่วหวน’  ค่อยๆ รุกเข้าไปภายในสนามรบทีละน้อย

 

“ถ้าสามารถสังหารผู้สูงศักดิ์หรือควบคุมกำลังรบของคนขั้นผู้สูงศักดิ์ได้ จะทำให้วังลิ่วหวนตัดสินใจโจมตีอย่างเต็มรูปแบบ” จ้าวเฟิงใจเต้น

“เข้าไปใกล้ใจกลางสนามรบ!” จ้าวเฟิงสะบัดธงค่ายกลแล้วออกคำสั่ง

ในฐานะที่เขาเป็นหัวหน้าเรือ ลูกเรือทั้งหมดจึงต้องเชื่อฟังคำสั่งของเขา

“น้องจ้าว! ไยเจ้าจึงทำเช่นนี้!”

“กว่าจะหนีออกมาจากใจกลางสนามรบนั้นยากเย็นนัก เจ้าไม่หนีก็ไม่เป็นไร แต่นี่ยังจะเข้าไปใกล้มันอีก”

ผู้สูงศักดิ์อีกสองคนคือชายชราแขนขาดกับหญิงงามในชุดสีเหลืองหน้าเปลี่ยนสี

พวกเขาที่อยู่ในฐานะ ‘ทหารพลีชีพ’ รอดพ้นจากการโจมตีหลายครั้งหลายคราวก่อนหน้า และหนีออกจากใจกลางสนามรบมาได้อย่างยากเย็น ตอนนี้ยังจะให้กลับเข้าไปในนั้นอีก

“อยากมีชีวิตรอดก็จงฟังข้า!” จ้าวเฟิงเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา

“จับเขาไว้!” หญิงงามอาภรณ์เหลืองที่อยู่ด้านข้างหน้าดำคล้ำ ตรงดิ่งเข้ามาหาจ้าวเฟิงที่โบกธงอยู่

จ้าวเฟิงยิ้มเย็น ไม่มีทีท่าของความกลัวแม้แต่น้อย กำลังเตรียมจะลงมือ

ฉับพลันก็มีของหนักๆ บนบ่า

เมี้ยว เมี้ยว!

เสี้ยวเงาสีเทาเงินปรากฏเลือนรางในอากาศ

ในวินาทีต่อมา

“อ๊า!” วงหน้าละมุนของสตรีในชุดเหลืองซีดเผือดลง เรือนร่างแบบบางแข็งทื่อ

สวบ เพียะ!

กริชลึกลับโปร่งใสเป็นเหมือนเงาดำมืดจี้อยู่บนลำคอของนาง นางขยับเพียงนิดเดียว บนลำคอก็ทิ้งรอยคราบเลือดไว้เล็กน้อย ไอเย็นแผ่กระจายไปจนถึงกระดูกและวิญญาณ

“ไว้…ไว้ชีวิตด้วย!” สตรีชุดเหลืองตื่นตระหนก หางตาเห็นเจ้าแมวขโมยกลับกลอกสีเงินเทาอยู่บนบ่าของจ้าวเฟิง

“ช่างรวดเร็วยิ่งนัก ทำเช่นนั้นได้อย่างไร?”

ในสามผู้สูงศักดิ์ หลี่อวิ๋นหยาที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดอดสูดหายใจเข้าลึกไม่ได้ เขาสัมผัสถึงร่องรอยร่างกายของเจ้าแมวน้อยไม่ได้เลย

ยามที่เจ้าแมวขโมยตัวน้อยลงมือโจมตี ให้ความรู้สึกคล้ายกับหายตัวไปมากลางอากาศได้

“ดีมาก แมวขโมยตัวน้อย หากคราวหน้าใครมีท่าทางผิดปกติ เจ้าลงมือปลิดชีพได้เลยโดยไม่ต้องรอคำสั่งข้า” จ้าวเฟิงยิ้มแย้มเอ่ยอย่างพออกพอใจ

ครึ่งปีที่ผ่านมา เจ้าแมวขโมยดูดซับกลิ่นอายของห้วงฝันบรรพกาลและเลือดหัวใจวาฬด้วยกันกับเขา การเปลี่ยนแปลงของพลังขนาดจ้าวเฟิงยังไม่สามารถคาดเดาได้ชัดเจน

เมี้ยว เมี้ยว!

ร่างของเจ้าแมวขโมยตัวน้อยสั่นสะท้านน้อยๆ แล้วหายไปในพริบตา

ในอากาศทิ้งไว้เพียงเส้นควันสีเงินเทา มันหายไปในแหวนเหล็กโบราณในวินาทีต่อมาอย่างรวดเร็ว

“เข้าไปใกล้ๆ” จ้าวเฟิงโบกธง สั่งให้เรือเข้าไปใกล้ๆ บริเวณใจกลางของสนามรบ

ที่จริงแล้ว หากทำเช่นนี้ต่อไปพลังที่เรือจะดูดซับไปได้ก็จะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ

 

แต่ว่าในเวลาดังกล่าว จ้าวเฟิงก็ไม่จำเป็นต้องควบคุมเพียงแต่ค่ายกลหุ่นเชิดศพแล้ว

“ปีกวายุอัสนี!”

บริเวณหลังจ้าวเฟิงปรากฏลำแสงสีม่วงรวมตัวกันเป็นปีกวายุอัสนี ทั่วทิศทางมีเสียงลมพายุและฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหว

แซ่ด พรึ่บ! เปรี้ยง!

ในวินาที ‘ปีกวายุอัสนี’ โบกสะบัดอย่างรุนแรง ผู้สูงศักดิ์ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดผู้หนึ่งที่อยู่ใกล้จ้าวเฟิงกระเด็นเข้าไปใกล้กับอาณาเขตค่ายกลหุ่นเชิดศพทันที

“คมมีดพิฆาต!” ใจกลางฝ่ามือของจ้าวเฟิงมีลำแสงมีดที่เบาบางราวปีกจักจั่น บริเวณด้านนอกของมันห่อหุ้มด้วยเส้นลำแสงวายุอัสนีพิฆาตสีม่วงที่สุกสกาว กลิ่นอายทำลายล้างที่กลั่นออกมารุนแรงมากนัก

เปรี๊ยะ ตูม!

ผู้สูงศักดิ์ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดคนดังกล่าว พยายามหมุนเอาปราณที่แท้จริงมาเป็นเกราะกำบังร่างกาย แต่ว่าร่างกายก็ยังคงถูกตัดขาดเป็นสองส่วน

“อ๊าก!”

ทันที่จ้าวเฟิงโบกสะบัดธง ศพที่เลือดไหลโทรมร่างนั้นโดนหมอกเพลิงหุ่นเชิดศพต้องสาปซึ่งทะลักออกมาห่อร่างและกลืนกินเข้าไป

“ปล่อยเจ้าเด็กคนนั้น!” ผู้สูงศักดิ์ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดหลายคนในละแวกนั้นเพิ่งจะมีปฏิกิริยา

แต่ ‘ปีกวายุอัสนี’ ด้านหลังจ้าวเฟิงก็สะบัดขยับอีกครั้ง แล้วพาร่างของเขาหายกลับเข้าไปภายในค่ายกลหุ่นเชิดศพดังเดิม

กระบวนการสังหารที่เกิดขึ้นท้ังหมดใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งช่วงลมหายใจเท่านั้น

“วายุอัสนีที่ใช้ปลิดชีพ ข้าได้ตระเตรียมไว้พร้อมแล้วก่อนที่จะเข้าใกล้ร่างมัน”

จ้าวเฟิงสังหารผู้สูงศักดิ์คนดังกล่าวอย่างสบายมือ แล้วจึงกลับไปยังค่ายกลหุ่นเชิดศพ

หลี่อวิ๋นหยาและผู้สูงศักดิ์สองคนตกใจมองตาโต ใจเต้นถี่ระรัว โดยเฉพาะสตรีในชุดเหลืองที่หวาดกลัวอย่างมาก

ถัดจากนั้น เรือหลานเหลยที่ออกคำสั่งควบคุมโดยจ้าวเฟิงก็แล่นวนอยู่บริเวณใจกลางของสนามรบ แต่กลับไม่ได้ถลำเข้าไปภายใน

จ้าวเฟิงไม่พอใจแค่การคอยสังหารศัตรูผ่านทางค่ายกลหุ่นเชิดศพอีกแล้ว ทันทีที่ผู้สูงศักดิ์ของฝ่ายศัตรูเข้าใกล้ค่ายกลหุ่นเชิดศพ เขาจะลงมือสังหารทันทีโดยไม่ลังเล จากนั้นจึงมีผู้สูงศักดิ์สองคนโดนจ้าวเฟิงสังหารในเวลาติดๆ กัน

ฮู ฮู~

พลังคำสาปอาฆาตที่ค่ายกลหุ่นเชิดศพสาดซัดออกมายิ่งรุนแรงน่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้สูงศักดิ์ที่อยู่ใกล้เคียงบางส่วนจึงไม่กล้าเข้าใกล้เรือหลานเหลย

“ให้ข้าเอง…”

ภายในกองทัพของตำหนักนพเก้า มีชายหนุ่มชุดเกราะสีดำในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดถือง้าวตรงดิ่งมาหมายสังหารจ้าวเฟิง

“ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง!” พวกหลี่อวิ๋นหยาหน้าเปลี่ยนสีในฉับพลัน

พวกเขาไม่คิดว่าพลังของพวกตนจะต่อสู้กับขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงได้

“เตรียมตัวหนี!” จ้าวเฟิงถ่ายทอดคำสั่ง เพิ่มค่ายกลป้องกันของเรือหลานเหลยไปจนถึงขีดสุด

พรึ่บ พรึ่บ!

ในเวลาเดียวกัน เขาก็ยังคงโบกธงสีดำไปเรื่อยๆ ให้จำนวนของหุ่นเชิดศพต้องสาปเพิ่มไปจนถึงหกสิบกว่าร่าง

“ลงมือพร้อมกัน!”

จ้าวเฟิงควบคุมกลุ่มหมอกควันไร้ขอบเขตให้ปรากฏเป็นมังกรวารีที่อัดแน่นด้วยพลังอาฆาต เพื่อตั้งรับการโจมตีจากชายหนุ่มในชุดเกราะดำ

ขณะเดียวกัน

หลี่อวิ๋นหยาและผู้สูงศักดิ์ทั้งสองก็เรียกเคล็ดวิชาออกมาพร้อมเพรียงเพื่อร่วมมือกันรับมือชายหนุ่มชุดเกราะสีดำ

“พินาศสิบทิศ!”

ชายหนุ่มชุดเกราะดำฟาดง้าวแหวกอากาศจนสภาพแวดล้อมวิปริตแปรปรวน เงาง้าวเหมันต์สีแวววาวดุจสายรุ้งพาดผ่านฟ้า

ขณะที่การโจมตียังมาไม่ถึง พลังมหาศาลดังกล่าวก็ครอบคลุมทั่วฟ้าดิน

เหล่าลูกเรือของเรือหลานเหลยล้วนแต่หายใจติดขัด

เปรี้ยง โครม! ตูม ตูม!

เรือหลานเหลยสั่นไหวอย่างรุนแรงก่อนกระเด็นถอยไปราวครึ่งลี้

อึก อึก!

สองผู้สูงศักดิ์อย่างชายชราแขนขาดและสตรีในชุดเหลืองกระอักเลือดออกมาในทันที

พลังของหลี่อวิ๋นหยาผู้นั้นกลับไม่ได้ด้อยแต่อย่างใด ภายใต้การปกป้องคุ้มกันของค่ายกลหุ่นเชิดศพ ร่างกายเขาสั่นสะท้าน เลือดลมปั่นป่วน

ฮู ฮู โครม!

 

กลุ่มควันสีเทาแน่นหนาของค่ายกลหุ่นเชิดศพกระจัดกระจายไปชั่วขณะ แต่ที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายคือ จ้าวเฟิงผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าเรือในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย

ส่วนนอกของร่างกายเขามีระลอกปราการน้ำห่อหุ้ม จึงอยู่รอดปลอดภัยภายในค่ายกลหุ่นเชิดศพ

“หอกจักรพรรดิเหมันต์!”

จ้าวเฟิงพลันโยนธงทิ้งไปฝั่งหนึ่งแล้วกระตุ้นสายเลือดเหมันต์ เงาเหมันต์ของหอกสีน้ำเงินเข้มสุกสกาวสาดแสงเจิดจ้า หอบเอาไอเหมันต์ที่น่าสะพรึงกลัวของหอกโบราณพุ่งโจมตีที่ชายหนุ่มชุดเกราะสีดำ

ในวินาทีที่คนทั้งสองกำลังสงสัยว่าทำไมจ้าวเฟิงจึงโยนธงทิ้งโดยไม่สนใจอยู่นั้นเอง

เมี้ยว เมี้ยว!

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง คว้าธงไว้หมับ แล้วควบคุมค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาป

วิ้ว~ สวบ สวบ!

พลังอาฆาตหุ่นเชิดศพในรูปร่างของกรงเล็บแมว มีเพลิงพวยพุ่ง ดูเด่นชัดราวของจริง ห้อมล้อมโจมตีชายหนุ่มชุดเกราะสีดำจากทุกทิศทาง

หลี่อวิ๋นหยาและผู้สูงศักดิ์คนอื่นอดจะตกใจไม่ได้

“เวรเอ๊ย! เจ้าแมวตัวนี้…”

เจ้าหอโครงกระดูกภายในประคำหมื่นวิญญาณประหลาดใจอย่างยิ่ง

ธงค่ายกลได้เจ้าแมวคอยควบคุม

 

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จ้าวเฟิงและผู้สูงศักดิ์ทั้งสามคนร่วมมือกันจึงเท่ากับว่าอย่างน้อยตอนนี้มีพลังรบของผู้สูงศักดิ์ถึงสี่คน

ยิ่งไปกว่านั้น

สภาวะวิญญาณของจ้าวเฟิงเข้าใกล้ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงขั้นสุดยอด พลังสายเลือดนับวันก็ยิ่งแข็งกล้ามากขึ้น พลังที่หอกจักรพรรดิเหมันต์ระเบิดออกมากพอจะสังหารขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต้น แล้วยังสามารถทำร้ายขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงได้อีกด้วย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!