บทที่ 596 หน่วยกล้าตาย
เรือหลานเหลย
จ้าวเฟิงและพวกโหลวหลานจื๋อสุ่ยรวมสิบคนโดนกักตัวไว้ภายในห้องโถงเล็ก สีหน้าของโหลวหลานจื๋อสุ่ยซีดขาว เหล่าลูกเรือทั้งหลายอกสั่นขวัญแขวน สิ่งที่รอคอยพวกเขาอยู่คือความน่าสะพรึงกลัวที่ไม่อาจรู้ได้เลย
สิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายคือ ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ยอดฝีมือสำนักสองดาวผู้นั้นก็ยังไม่เข้ามาสอบสวนพวกของจ้าวเฟิง
“พวกเราไม่ใช่สายลับของสำนักศัตรู! รีบปล่อยพวกเราออกไปได้แล้ว!” ลูกเรือหลายคนตะโกนโวยวายสุดเสียง
“นั่งนิ่งๆ สงบเสงี่ยมไว้ ใครตะโกนอีก อย่าโทษถ้าข้าส่งพวกเจ้าขึ้นสวรรค์ก่อนแล้วกัน!” ผู้อาวุโสหน้าดำเอ่ยเสียงเย็นยะเยือก
พลังฝึกตนของผู้อาวุโสหน้าดำถึงขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงปลาย แข็งแกร่งกว่ายอดผู้สูงศักดิ์ชุดคลุมดำและราชาหูสั่วหลายเท่านัก
ภายในห้องโถงเล็ก เหล่าลูกเรือตกอยู่ในความเงียบสงัดอีกครั้ง
“ดูท่าทางแล้ว สำนักสองดาวนี้ไม่ได้ใส่ใจเรื่องสถานภาพของพวกเรา” จ้าวเฟิงขมวดคิ้วแล้วตกอยู่ในภวังค์
ไม่ใส่ใจสถานภาพของพวกเขา แต่ก็ไม่สังหาร เช่นนั้นมีเจตนาอะไรกัน?
“มีความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง…” เสียงของเจ้าหอโครงกระดูกดังขึ้นผ่าน ‘เมล็ดดวงใจทมิฬ’
ความเป็นไปได้อะไร?
สตินึกคิดของจ้าวเฟิงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลจากทั่วบริเวณ เจ้าหอโครงกระดูกเคยอยู่ในยุคสมัยของลัทธิมารจันทราชาด
ทวีปบุปผาครามในยามนั้นก็เป็นสนามรบของสำนักสองดาว
ในเวลานี้เอง
“เข้าไปข้างใน!” เสียงเกรี้ยวกราดของผู้อาวุโสหน้าดำเล็ดลอดเข้ามาจากภายนอก
จ้าวเฟิงใช้ประสาทสัมผัสกวาดผ่านจึงพบเงาบางส่วนที่คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็น ‘นักโทษ’ ถูกต้อนเข้ามาภายในเรือ
‘นักโทษ’ พวกนี้ฝึกตนต่ำสุดอยู่ในขั้นนายเหนือระดับสูง ส่วนมากแล้วเป็นนายเหนือแท้ระดับสุดยอด มีบางส่วนเป็นคนในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด
เวลาห้านาทีผ่านไป เรือก็มีคนเข้ามาอย่างไม่ขาดสายเกือบห้าหกสิบคน แบ่งอยู่ตามห้องต่างๆ ของเรือ
“วังลิ่วหวนรังแกคนมากเกินไปจริงๆ จับพวกเราคนที่ไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วยมาเป็นหน่วยกล้าตายแบบนี้”
“เฮ้อ! ‘วังลิ่วหวน’ และ ‘ตำหนักนพเก้า’ สู้รบตบมือกันมายาวนานหลายร้อยปี ทำให้พื้นที่ดินแดนเกาะบริเวณนี้เสียหายไปหมด พวกเราซวยนักที่ถูกลากให้เข้ามาพัวพันด้วย” ภายในเรือมีเสียงโอดครวญทอดถอนใจ
หน่วยกล้าตาย?พวกจ้าวเฟิงได้ยินแล้วใจเต้นกระตุก
คนทั้งหลายเข้าใจแล้วว่าทำไมยอดฝีมือของสำนักสองดาวจึงไม่ถามถึงสถานภาพใดของพวกเขาเลย
คิดวนเวียนไปมา พวกเขาล้วนแต่ถูกใช้ให้เป็นทหารพลีชีพนี่เอง
“ฮือฮือ…ข้าไม่อยากเป็นทหารสังเวยชีพ” ภายในเรือมีเสียงคร่ำครวญ ส่วนมากเป็นผู้สืบทอดของสำนักต่างๆ
บรรยากาศความตายที่น่าหวาดกลัวครอบคลุมทั่วเรือทั้งลำ
ภายในกลุ่มทหารพลีชีพทั้งหลายนี้ ยังมีผู้สูงศักดิ์ขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดสามคน หญิงหนึ่งชายสอง พยายามจะรักษาความสงบนิ่งเยือกเย็นเอาไว้
สองชายหนึ่งหญิงนั้นแบ่งเป็นชายหนุ่มท่าทางโดดเดี่ยว ชายชราแขนขาด กับหญิงงามในอาภรณ์สีเหลือง
ชายหนุ่มท่าทางเยือกเย็นในนั้นฝึกตนสูงสุดอยู่ในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลาย
ส่วนชายชราแขนขาดและสตรีอาภรณ์เหลืองอยู่ในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงกลาง
“หลี่อวิ๋นหยา?เจ้าไม่ใช่อัจฉริยะในรอบหมื่นปีของ ‘วังลิ่วหวน’ ในยามก่อนหรอกเรอะ ต่อมาได้ยินว่าเจ้าละเมิดกฎสำนักจึงโดนสั่งทำโทษให้สำนึกผิด ไยจึง…” สตรีอาภรณ์สีเหลืองมีสีหน้างุนงง จ้องมองไปที่ชายหนุ่มท่าทีอ้างว้าง
ชายหนุ่มโดดเดี่ยวผู้นั้นก็คือหลี่อวิ๋นหยาที่สตรีอาภรณ์เหลืองเอ่ยขาน
“เป็นคนใกล้จะตายกันทั้งนั้น ไยต้องเอ่ยถึงเรื่องราววุ่นวายภายในสำนัก?” หลี่อวิ๋นหยาเอ่ยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“ด้วยความสามารถของเจ้า เหตุใดจึงยอมแพ้ง่ายๆ โดยที่ยังไม่ได้พยายามเช่นนี้? ต่อให้ต้องเป็นหน่วยกล้าตาย หรือทหารสังเวยชีพก็ยังมีอัตรารอดหนึ่งในพัน” ชายชราแขนขาดมีประกายในแววตา
“ถูกต้อง พวกเราทุกคนร่วมมือกันจะต้องมีทางรอดแน่” พวกคนในเรือเริ่มกระตือรือร้น
บรรดาเชลยศึกมากมายยกให้ผู้สูงศักดิ์ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดทั้งสามคนเป็นผู้นำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลี่อวิ๋นหยาผู้นั้นที่เหมือนจะมีชื่อเสียงอยู่บางส่วน ทำให้เหล่าผู้คนนับถือ
บนทะเลแห่งความว่างเปล่า
สวบ สวบ สวบ!
มีเรือส่วนหนึ่งเข้ามาใกล้ยังทิศทางของกองกำลังเรือ ‘วังลิ่วหวน’ เรื่อยๆ
เรือพวกนั้นโดยมากแล้วบรรทุกพวกนักโทษ ในเรือทุกลำจะมีผู้สูงศักดิ์อย่างน้อยคนสองคน โดยมีเรือหลานเหลยเป็นจุดศูนย์กลาง รวมเป็น ‘เรือนักโทษ’ กว่าสิบลำ เนื่องด้วยพลังของเรือหลานเหลยถือว่าค่อนข้างแข็งแกร่งกว่า
“อ๊าก อ๊าก…” เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นมาจากเรือลำใดลำหนึ่งใกล้ๆ
นักโทษหลายคนเพิ่งจะหนีออกมาได้ไม่กี่ลี้ก็โดนยอดฝีมือของ ‘วังลิ่วหวน’ ใช้อาวุธวิเศษประเภทธนูยิงเข้าใส่
“เฮอะ! หากว่าเรือลำไหนยังมีคนคิดจะหนี ก็ฆ่าคนในเรือลำนั้นทิ้งให้หมด” เสียงที่ประหนึ่งมาจากนรกดังกึกก้องในชั้นดวงวิญญาณ
ทันใดนั้น!
เรือของเชลยศึกในที่ดังกล่าวก็ตกเข้าสู่ความวังเวง ยอดฝีมือจำนวนมากเหมือนโดนกดวิญญาณ ไอสวรรค์ในละแวกนี้ราวกับโดนกักขังไว้
“กลิ่นอายนี้มัน…” ดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงสัมผัสได้ถึงความกดดัน ในหัวคิดอะไรแทบไม่ออก
“มีครึ่งก้าวสู่ขอบเขตปราณเทวะเข้าร่วมรบด้วย ทุกท่านอย่าได้หวังเลยว่าจะรอดผ่านไปได้” หลี่อวิ๋นหยาถอนหายใจเบาๆ
ครึ่งก้าวสู่ราชัน!
เชลยศึกทั้งหลายในที่ดังกล่าวอดสูดหายใจเย็นยะเยือกไม่ได้
ใจของจ้าวเฟิงเต้นรัว เขาคาดเดาได้ว่าเพียงความคิดเดียวของครึ่งก้าวสู่ราชันผู้นั้น ก็สังหารจิตกับดวงวิญญาณของผู้สูงศักดิ์ทั้งหมดได้
จากนั้น เหล่าเชลยศึกบนเรือจัดกำลังคนให้รับผิดชอบในการควบคุมเรือ
ฟากของเรือหลานเหลย พวกจ้าวเฟิงที่เป็นลูกเรือเดิมย่อมต้องควบคุมเรือทะเลความว่างเปล่าของพวกเขาด้วยตัวเอง
จ้าวเฟิง โหลวหลานจื๋อสุ่ย และลูกเรือคนอื่นเข้าไปอยู่ภายในห้องควบคุม
หลี่อวิ๋นหยาและผู้สูงศักดิ์ทั้งสองก็เข้าไปภายในนั้นด้วย แล้วเริ่มถกเถียงถึงแผนการรับมือ
“ความสามารถของเรือลำนี้ ในเรื่องการป้องกันคงจะไม่ต่ำนัก แต่ไม่รู้ว่าความเร็วจะเร็วได้ขนาดไหน” สายตาของหลี่อวิ๋นหยาเป็นประกาย
“หากให้แสดงความสามารถทั้งหมดจะเร็วกว่าผู้สูงศักดิ์ธรรมดาอยู่บ้าง”
จ้าวเฟิงปกปิดไว้เล็กน้อย
“ออกเดินทาง! เข้าสู่สนามรบ!”
ผู้อาวุโสหน้าดำกับคนในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงล่องลอยไปอยู่ด้านหลังของเรือรบที่บรรทุกพวกเชลยศึก
ด้านหลังไปอีกจึงจะเป็นกองเรือที่แท้จริงของ ‘วังลิ่วหวน’
แต่เรือรบที่บรรทุกพวกเชลยศึกทั้งหลาย กลับเป็นพวกหน่วยกล้าตายกับทหารพลีชีพที่จะบุกทะลวงเข้าไปหาศัตรู
เมื่อเป็นหน่วยกล้าตาย ถ้าหากล่าถอยไปก็มีเพียงความตาย ถ้าหากสู้ตายก็อาจจะมีทางรอด
“ตามกฎการศึกของ ‘วังลิ่วหวน’ ของข้า เชลยสงครามอย่างพวกเจ้า ขอเพียงรอดชีวิตได้สามครั้งในหน่วยกล้าตายก็จะถูกปล่อยตัวจากสำนักไป” ผู้อาวุโสหน้าดำยิ้มเรียบๆ
สามครั้ง?
พวกเชลยสงครามทั้งหลายรู้สึกขมขื่นใจ
หน่วยกล้าตายอยู่ในสนามรบถือว่าเป็นทหารสังเวยชีวิตกลุ่มก้อนแรก สัดส่วนที่จะรอดมีเพียงแค่หนึ่งในพันเท่านั้น และแน่นอนว่าถึงจะเป็นอัตรารอดจำนวนหนึ่งในพัน ก็ถือว่ายังมีความหวังอยู่บ้าง ดีกว่าล่าถอยไปแล้วต้องตายสถานเดียวอยู่มาก
สวบ สวบ สวบ!
เรือเชลยสงครามนับสิบลำรวมตัวอยู่ในพื้นที่รัศมีสิบลี้ บินตรงดิ่งไปที่ดินแดนภายในทวีป
ไม่นานนัก เรือทะเลความว่างเปล่าทั้งหลายก็เข้าสู่ภายในดินแดน แรงต้านทานอากาศเพิ่มมากขึ้น น้ำหนักก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
จุดหมายการโจมตีของ ‘วังลิ่วหวน’ ก็คือประตูทางเข้าของสำนักหนึ่งดาวแห่งหนึ่ง ใกล้ๆ กันนั้นมีแม่น้ำลำธารอยู่
“ฮ่าฮ่าฮ่า…หน่วยกล้าตายของ ‘วังลิ่วหวน’ มาแล้ว ทุกคนเตรียมตัวให้ดี”
มียอดฝีมือมากมายของ ‘ตำหนักนพเก้า’ ซึ่งเป็นสำนักสองดาวเฝ้าอยู่ในละแวกของประตูดังกล่าว
“สังหาร! พวกเจ้าไม่มีทางถอยแล้ว!” ผู้อาวุโสหน้าดำและคนขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงอีกหลายคนคอยเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ด้านหลังเรือของเชลยศึก
สวบ สวบ สวบ!
ยอดฝีมือของ ‘วังลิ่วหวน’ บินแหวกอากาศมาตั้งกระบวนเป็นครึ่งวงกลมอยู่ด้านหลังเรือเชลยศึก แค่รอให้พวกหน่วยกล้าตายต้านทานการรบสักรอบสองรอบ สังหารทะลวงเข้าประตูไป พวกเขาจึงจะเข้าร่วมรบด้วยตนเอง
“ฆ่า!”
เรือรบเชลยศึกนับสิบลำจำต้องยอมเป็นดั่งแมงเม่าบินเข้ากองไฟ พุ่งตรงไปสังหารฝั่งตำหนักนพเก้า
ฝ่ายกองทัพของตำหนักนพเก้ามีคนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงเจ็ดแปดคน ระดับต้นนับสิบคน นอกจากนี้ ยังมีขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด นายเหนือแท้ ขั้นผู้วิเศษแท้ ขั้นมนุษย์แท้ ที่รวมกันแล้วมีจำนวนหลายพัน
เมื่อต้องเผชิญกับสนามรบที่มีจิตสังหารคละคลุ้งเต็มไปหมด เหล่าเชลยสงครามบางส่วนหวาดกลัวจับขั้วหัวใจจนร่างกายไร้เรี่ยวแรง
โครม ตูม ตูม ตูม…
ลำแสงสว่างสาดทั่วท้องฟ้ามาจากพื้นที่ใกล้เคียงประตู ตรงดิ่งมาปกคลุมเรือของเชลยศึกเหล่านี้ไว้
เพียงแค่การโจมตีรอบแรก เรือแห่งทะเลความว่างเปล่ามากกว่าครึ่งแหลกเป็นชิ้นๆ บางลำถึงขั้นระเบิดเป็นผุยผง
“สังหาร…” เหล่าเชลยศึกบางส่วนทุ่มเทพลังทั้งหมดทะยานออกจากเรือแห่งทะความว่างเปล่า
ตูม บึ้ม!
เรือทะเลลำอื่นระเบิดออก ทำให้เกิดพลังรุนแรงมากพอจะคุกคามชีวิตของผู้สูงศักดิ์ธรรมดา
วิ้ง!
จ้าวเฟิงและคนอื่นบนเรือหลานเหลยยังคงอยู่รอดปลอดภัยจากการโจมตีในครั้งแรกเพราะได้เปิดผนึกค่ายกลไว้
“อ๊ะ! พลังการป้องกันของเรือลำนี้แข็งแกร่งกว่าที่คิดไว้มากนัก” หลี่อวิ๋นหยาและผู้สูงศักดิ์อีกสองคนอดประหลาดใจไม่ได้
ในหมู่เรือแห่งทะเลความว่างเปล่านับสิบลำนี้มีเรือดีๆ อยู่มาก รวมถึงเรือหลานเหลยลำนี้ที่นับว่าอยู่ในอันดับต้นๆ
สวบ สวบ สวบ!
การโจมตีในรอบแรกผ่านไป มีเพียงเรือแห่งทะเลความว่างเปล่าครึ่งหนึ่งที่ทะลวงไปถึงหน้าประตู
แต่ว่าในเวลาเดียวกัน ฝั่งของตำหนักนพเก้าก็มียอดฝีมือจำนวนมากทะยานตรงมาทางหน้าประตูเช่นกัน
“อ๊าก อ๊าก อ๊าก…” เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นไม่หยุด
นี่คือการฆ่านองเลือดอย่างแท้จริง ด้วยเพราะฝ่ายของตำหนักนพเก้า ไม่ว่าจะเป็นระดับของยอดฝีมือหรือจำนวนล้วนแต่เหนือกว่าหน่วยกล้าตายทั้งสิ้น
สวบ ตูม โครม!
เรือทะเลความว่างเปล่าทยอยระเบิดออก เชลยศึกพวกนั้นรับการโจมตีจากยอดฝีมือของตำหนักนพเก้าอย่างสุดความสามารถ
อ๊าก อ๊าก!
ทหารสังเวยชีพที่เป็นเชลยศึกส่วนหนึ่งวิ่งหนี จึงโดนสังหารโดยยอดฝีมือของทาง ‘วังลิ่วหวน’ ที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่
กลิ่นอายความตายที่สาดซัดออกมาลอยคละคลุ้งทั่วบริเวณที่เกิดการสู้รบ
“พวกเรามัวแต่นั่งรอความตายไม่ได้แล้ว ต่อให้เรือลำนี้แข็งแกร่งมากเท่าไหร่ก็ย่อมโดนทำลายลงได้”
หลี่อวิ๋นหยาจัดกลุ่มพวกเชลยศึก ให้รับการโจมตีของยอดฝีมือจากกองทัพของตำหนักนพเก้า
โครม ตูม! บึ้ม บึ้ม!
เรือหลานเหลยที่โดนรุมโจมตีจากคนหมู่มากเริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง
“ท่านหัวหน้าเรือ ค่ายกลป้องกันถูกทำลายลงแล้ว!” โหลวหลานจื๋อสุ่ยเอ่ยเสียงต่ำ
เมื่อเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว เหล่าเชลยศึกที่กลัวว่าเรือจะระเบิดก็พากันโบยบินหนีออกมา สุดท้ายจึงโดนล้อมสังหารจนเกือบหมด
มุมปากของจ้าวเฟิงยกขึ้นยิ้มเยาะ ด้วยความสามารถในการป้องกันของเรือหลานเหลย อย่างน้อยๆ ยังสามารถทนต่อไปได้อีกหลายสิบช่วงลมหายใจ
แน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมให้เรือหลานเหลยเสียหายเป็นอันขาด
วางค่ายกล!
จ้าวเฟิงยืนอยู่ด้านบนของเรือหลานเหลย เรียกหุ่นเชิดศพต้องสาปออกมาสามสี่สิบร่าง เกิดเป็นกลุ่มหมอกควันแน่นขนัด แล้วสาดซัดพลังออกไปเป็นรัศมีร้อยจั้ง
ในสถานการณ์แบบนี้ หากค่ายกลหุ่นเชิดศพทำให้การโจมตีของโลกภายนอกอ่อนกำลังลงมากกว่าครึ่ง อันตรายที่มีต่อเรือก็จะลดลงไปมาก
“เป็นค่ายกลหุ่นเชิดศพที่แปลกประหลาดนัก” หลี่อวิ๋นหยาและคนอื่นๆ ดวงตาสว่างเป็นประกาย แล้วรีบให้ความร่วมมือกับจ้าวเฟิง
ถึงจะเป็นหุ่นเชิดศพต้องสาปสามสี่สิบร่าง พลังก็รุนแรงไม่ใช่น้อย ยังสามารถคุกคามทำร้ายผู้สูงศักดิ์ได้
ด้วยหุ่นเชิดศพต้องสาปพวกนี้ของจ้าวเฟิงมีโครงสร้างพลังแข็งแกร่งมาก เพราะดูดซึมเศษเสี้ยววิญญาณของพวกผู้สูงศักดิ์ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดไปไม่น้อย รวมถึงวาฬแห่งทะเลความว่างเปล่าอีก
“อ๊าก อ๊าก…”
ผู้สูงศักดิ์คนสองคนของตำหนักนพเก้าและครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดหลายคน เข้าไปภายในค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาปโดยไม่ทันระวัง พลังจึงลดลงหลายส่วน ก่อนจะตายอย่างอนาถภายใต้การโจมตีของหลี่อวิ๋นหยาและผู้สูงศักดิ์ทั้งสอง
“เหอะเหอะ…ดูดซึมผู้สูงศักดิ์ไปแล้วอีกสองคน สนามรบแห่งนี้เป็นที่ดูดซึมเศษเสี้ยวจิตวิญญาณที่ดีจริงๆ” เจ้าหอโครงกระดูกเอ่ย
จ้าวเฟิงเรียกหุ่นเชิดศพต้องสาปออกมาเพียงบางส่วนเท่านั้น เพื่อปกปิดพลังมิให้ฝ่ายศัตรูดูออก และไม่ได้เรียกให้เจ้าหอโครงกระดูกออกมา
แต่หลี่อวิ๋นหยาและอีกสองคนเห็นอย่างชัดเจนว่า ค่ายกลหุ่นเชิดศพดูดซึมเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของผู้สูงศักดิ์ที่ตายไปแล้ว พลังคำสาปอาฆาตที่สาดซัดออกมายิ่งน่ากลัวกว่าเดิม
โครม ตูม! บึ้ม โครม โครม!
สนามรบในเวลานี้ สำนักสองดาวทั้งสองก็กำลังประมือกันอยู่
ในกลุ่มเรือเชลยศึก มีเพียงแค่เรือหลานเหลยของจ้าวเฟิงลำนี้ที่ไม่เสียหายเลยแม้แต่น้อย แต่เชลยศึกที่เหลืออยู่ก็มีไม่ถึงครึ่งแล้ว