Skip to content

King of Gods 867

King Of Gods

บทที่ 867 กุญแจ

ผลัวะ แซ่ด~

ระลอกน้ำอัสนีวารีที่หมุนวนทั่วร่างของจ้าวเฟิงเป็นดั่งมหาสมุทรลึกล้ำ กว้างใหญ่ไพศาลเกินคาดเดา กระจ่างใสราวกับเพชรสีฟ้า สมบูรณ์แบบดังปรารถนา เกิดขึ้นมาไม่หยุด

ในที่สุดแล้ว วายุอัสนีห้าสายลำดับแรกของจ้าวเฟิงหรือวายุอัสนีธาตุน้ำก็มาถึงระดับสุดยอดอย่างสมบูรณ์

‘วิชาวายุอัสนี’ ของเขา แตะไปถึงขีดจำกัดขั้นสุดท้ายของขั้นที่หก และแตะถึงขั้นเจ็ดที่สูงกว่าเล็กน้อย

ใน ‘วายุอัสนีธาตุน้ำ’ ที่กระตุ้นไปจนถึงขีดสุด ยังแฝงไปด้วยพลังชีวิตธาตุไม้ที่เบาบางจนจับสังเกตไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าเป็นกลิ่นอาย ‘วายุอัสนีธาตุไม้’ ระดับขั้นที่เจ็ด

“ใน ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย ’ สามขั้นแรกเป็นเค้าโครงของพื้นฐานวายุอัสนี ส่วนในระดับที่สี่ถึงหก จะเป็นวายุอัสนีห้าสายที่ถูกกำหนดเป็นลำดับแรก ตั้งแต่ขั้นที่เจ็ดเป็นต้นไป ในทุกๆ ขั้นที่ ‘ห้าธาตุให้กำเนิดกันและกัน’ ก็จะสร้างวายุอัสนีห้าสายธาตุใหม่ขึ้น…”

บนใบหน้าของจ้าวเฟิงปรากฏแววปีติยินดี

ในทุกครั้งที่วายุอัสนีห้าสายสร้างธาตุใหม่ นั่นหมายถึงว่าพลังของเขาเพิ่มขึ้น ความสามารถและวิธีการหลากหลายมากยิ่งขึ้น

ห้าธาตุให้กำเนิดกันและกัน ทองให้กำเนิดน้ำ น้ำให้กำเนิดไม้ ไม้ให้กำเนิดไฟ ไฟให้กำเนิดดิน ดินให้กำเนิดทอง

วายุอัสนีห้าสายลำดับแรกสามารถเลือกได้ จ้าวเฟิงเลือก ‘ธาตุน้ำ’

และในหมู่ ‘ห้าธาตุให้กำเนิดกันและกัน’ น้ำให้กำเนิดไม้

ดังนั้นวายุอัสนีห้าสายลำดับที่สองของจ้าวเฟิงจึงเป็น ‘วายุอัสนีธาตุไม้’

กลิ่นอาย ‘วายุอัสนีธาตุไม้’ ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ จ้าวเฟิงรู้สึกประหลาดใจอย่างมากเช่นกัน ด้วยเพราะพลังฝึกตนของเขายังไม่เทียบเท่ากับขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงปลายเลยด้วยซ้ำ

ตามหลักการแล้ว พลังฝึกตนของเขาต้องเข้าใกล้หรือไม่ก็เป็นราชันแล้ว จึงจะสามารถสร้าง ‘วายุอัสนีธาตุไม้’ ออกมาได้

ครุ่นคิดพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง จ้าวเฟิงก็เข้าใจในเหตุผล

‘ที่แท้ก็เป็นเพราะ ‘น้ำผึ้งไป่หยวน’ แฝงไปด้วยแก่นสำคัญของพฤกษาจำนวนมหาศาล อย่างไรน้ำผึ้งนี้ก็เป็นแก่นที่รวบรวมเกสรดอกไม้ชั้นสูงสุดนับร้อยประเภท และผ่านขั้นตอนการสกัดจำนวนมาก’

จ้าวเฟิงกระจ่างแจ้งในใจ

น้ำผึ้งไป่หยวนในระดับนี้กลับมีผลลัพธ์ได้ขนาดนี้ จ้าวเฟิงจึงอดคาดหวังถึงผลลัพธ์ของ ‘วารีศักดิ์สิทธิ์ไป่หยวน’ ที่อยู่ในระดับสูงยิ่งกว่าไม่ได้ และแน่นอน ตอนนี้จ้าวเฟิงยังไม่เหมาะสมที่จะใช้ ‘วารีศักดิ์สิทธิ์ไป่หยวน’ ไม่เช่นนั้นจะสิ้นเปลืองเกินไป

แค่น้ำผึ้งไป่หยวนก็มากพอจะทำให้เขาเพิ่มระดับขึ้นไม่น้อย

เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ จ้าวเฟิงจึงกิน ‘น้ำผึ้งไป่หยวน’ ลงไปอีกหลายอึก

ปริมาณของน้ำผึ้งไป่หยวนชั้นต้นที่ผลิตได้ในรังผึ้งมากมายอย่างยิ่ง ปริมาณที่จ้าวเฟิงมีก็เป็นจำนวนหลายถังแล้ว

เวลาผ่านไปทีละวัน พลังวายุอัสนีบนร่างของจ้าวเฟิง จิตวิญญาณธาตุไม้ที่แฝงอยู่มากขึ้นทุกที

สี่ห้าวันต่อมา

แซ่ด~

ทั่วร่างของจ้าวเฟิงปรากฏวายุอัสนีธาตุไม้สีเขียวอ่อนน้อยๆ ขนาดของแก่นผลึกภายในร่างก็ขยายออกไปหลายส่วน

“หืม?”

หนานกงเซิ่งที่กำลังปิดผนึกฝึกตนและดูดซึมพลิกแพลงใช้พลังปีศาจ ปลายจมูกกระตุกไปเล็กน้อย

จุดที่จ้าวเฟิงยืนอยู่โชยกลิ่นหอมตลบอบอวลของต้นไม้ใบหญ้าที่เบาบางมา พืชพรรณรอบกายเขาอุดมสมบูรณ์กว่าส่วนอื่นอย่างเห็นได้ชัด

“ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงปลาย!”

จ้าวเฟิงหลับตาทั้งสองข้าง กลิ่นอายสงบสุขบนตัวเขาหมุนวนบนร่างของหนานกงเซิ่งคล้ายตั้งใจและไม่ตั้งใจ

หนานกงเซิ่งสูดลมหายใจเบาๆ ทอดสายตามองไปที่จ้าวเฟิงอย่างลึกซึ้ง ความกระด้างเย็นชาบนใบหน้าคลายลงไปหลายส่วน

“วายุอัสนีธาตุไม้นี้สามารถสื่อสารกับต้นไม้ใบหญ้านับร้อยพันธุ์ จำกัดพิษเป็นร้อยชนิด ผลลัพธ์ในการรักษาฟื้นฟูบาดแผลยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ในเวลาเดียวกัน การโจมตีที่มันมีต่อเลือดเนื้อของสิ่งมีชีวิตยังมีผลกัดกร่อนที่ทรงพลังด้วย…”

จ้าวเฟิงสัมผัสวายุอัสนีห้าสายกลุ่มใหม่นี้

วายุอัสนีธาตุไม้ พลังโจมตีไม่ได้รุนแรงนัก ถึงขั้นที่ว่าอ่อนแอกว่าวายุอัสนีธาตุน้ำด้วยซ้ำไป ทว่าความช่วยเหลือของมันแข็งแกร่งยิ่งกว่า

แซ่ด! วิ้ง! แสงหมอกควันสีเขียวที่เกาะกลุ่มเหนือศีรษะจ้าวเฟิง มีลำแสงสายฟ้าเกี่ยวกระหวัดกันไปมา

ด้วยความช่วยเหลือของทรัพยากรชั้นยอดและพลังจักรพรรดิ วายุอัสนีธาตุไม้ของจ้าวเฟิงสั่งสมก่อตัวกันอย่างรวดเร็ว

ในเวลาเดียวกัน

จ้าวเฟิงอาศัยวิชาวายุอัสนีในขั้นที่เจ็ดมาฝึกฝนกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ จึงทำให้ผลลัพธ์ที่ได้เพิ่มขึ้นมากหลายเท่าตัว

หลายวันต่อมา กลิ่นอายวายุอัสนีธาตุไม้ของจ้าวเฟิงค่อยๆ ไหลกลับเข้าสู่ในร่างกาย แต่กลิ่นอายแก่นแท้ร่างกายกลับเพิ่มระดับขึ้นทีละน้อย

ตอนนี้ ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ ของจ้าวเฟิงใกล้เคียงกับขั้นห้าระดับต่ำเป็นที่สุด ในทันทีที่สำเร็จ เพียงแค่แก่นแท้กายเนื้อของเขาก็สามารถข่มราชันระดับลึกซึ้ง หรือถึงขั้นรับมือราชันระดับสุดยอดได้

อีกทั้งพลังฝึกตนของจ้าวเฟิงก็เพิ่มขึ้นไม่หยุดอีกด้วย

สามารถพูดได้ว่า การยกระดับขึ้นของพลังฝึกตนจ้าวเฟิงในตอนนี้ รวมไปถึงกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ ล้วนแต่ไม่มีอุปสรรคใดๆ

หากว่ายินยอมแล้วละก็ จ้าวเฟิงปิดผนึกเพื่อฝึกตนต่อเดือนถึงสองเดือนก็จะทะลวงผ่านขั้นราชันปราณเทวะได้แล้ว

แต่จ้าวเฟิงไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ เขาไม่อาจสิ้นเปลืองเวลาอันมีค่าเช่นนี้ไปกับการฝึกตนอยู่ในคฤหาสน์เสียหยาง

“จ้าวเฟิง การบรรจบของมิติเทพลวงตายังเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือน”

เสียงของหนานกงเซิ่งดังขึ้น

ในระยะเวลากว่าครึ่งเดือน ระลอกพลังในร่างหนานกงเซิ่ง ถึงแม้ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก แต่ก็ราบรื่นยิ่งขึ้น หากพูดเรื่องระดับขั้นพลัง หนานกงเซิ่งอยู่เหนือขั้นจักรพรรดิไปแล้ว สำหรับเขา การจะใช้พลังที่แก่กล้ากลุ่มนี้อย่างแท้จริงได้อย่างไรต่างหากถึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด

ก่อนนั้นที่ประมือกับพลังอำนาจของ ‘นางพญาผึ้ง’ เห็นได้ชัดเลยว่ากินแรงของหนานกงเซิ่งอย่างมาก ยืนหยัดได้ไม่นานนัก

ต้องรู้ว่า นางพญาผึ้งตัวนั้นมิใช่เผ่าพันธุ์ที่มีความสามารถสู้รบ แถมยังไม่อาจเคลื่อนไหว และยิ่งไม่มีวิธีการสู้รบตบมืออะไร เพียงแค่ว่าขั้นพลังและชีวิตแตะไปถึงขั้นเซียนโดยพื้นฐาน

ถ้าหากเผชิญหน้ากับเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับที่แท้จริง หนานกงเซิ่งในขณะนั้นจะไม่สามารถรับมือได้เลย

“ในเวลาช่วงหนึ่งเดือนสุดท้าย จะต้องใช้เวลาให้คุ้มค่าแล้ว”

จ้าวเฟิงชันกายลุกยืนขึ้น

รอให้ได้ทรัพยากรจำนวนมากกว่านี้ แล้วกลับไปยังดินแดนทวีปก่อนเถอะ เวลาฝึกตนยังมีอีกมากมายนัก

“ อยากจะไปหานางพญาผึ้งนั่นอีกครั้งเสียจริง”

บนร่างของหนานกงเซิ่งผุดลำแสงโลหิตม่วงระยิบระยับเลือนราง กลิ่นอายพลังที่น่ากลัวนั้นทำให้อากาศว่างเปล่าในบริเวณใกล้เคียงแข็งค้างไป

“ขั้นพลังของเจ้าแทบจะไม่ด้อยไปกว่าเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับ เสียดายก็เพียงสำนึกรู้ของเจ้าด้อยยิ่งนัก”

จ้าวเฟิงส่ายศีรษะน้อยๆ

ขั้นพลังของหนานกงเซิ่งแข็งแกร่งอย่างยิ่ง กระทั่งวายุอัสนีธาตุน้ำที่เทียบเท่าขั้นราชันภายในร่างของเขายังจับตัวจนยากจะโคจร เพียงแต่สำนึกรู้ของหนานกงเซิ่งไม่เพียงพอ จึงสำแดงพลานุภาพได้เพียงสามสี่ส่วนของพลังกลุ่มนี้

นี่เป็นสถานการณ์ความก้าวหน้าของการปิดผนึกฝึกตนในช่วงระยะนี้

หนานกงเซิ่งได้ยินเช่นนั้น ในใจก็พลันอึดอัดอยู่บ้าง และถอดใจที่จะประมือกับนางพญาผึ้ง หากไม่ใช่ว่ามีอาวุธเทพชั้นรองอย่าง ‘มนตราอากาศ’ ตอนที่ก่อกวนรังผึ้งไปเมื่อคราวก่อน พวกจ้าวเฟิงสี่คนอาจจะตายยกหมู่ไปแล้ว

“ในตอนนี้ข้ายังไม่รีบร้อนเพิ่มพลัง อย่างน้อยๆ ก็รอให้สำนึกรู้ดวงวิญญาณแตะถึงขั้นจักรพรรดิ”

หนานกงเซิ่งตัดสินใจ

ในเวลานี้ เขายังคงมองเห็นความต่างของตนเองและจ้าวเฟิง

ถ้าหากเป็น ‘เทพราชาดวงตาซ้าย’ ในช่วงรุ่งโรจน์ ด้วยความสามสามารถของเขาในตอนนี้ เกรงว่าจะไม่ใช่คู่มือของอีกฝ่าย

พรึ่บ สวบ!

พวกจ้าวเฟิงทั้งสองอยู่ภายใต้การปกคลุมจากเงาสีม่วงเงิน ใช้ความเร็วที่น่าสะพรึงโฉบไปมาภายในคฤหาสน์เสียหยาง เพื่อสำรวจและขุดค้นหา

ทุกที่ที่ทั้งสองผ่านไป กลิ่นอายพลังที่แกร่งกล้าก็ทำให้อัจฉริยะยอดฝีมือส่วนหนึ่งต้องประหวั่นพรั่นพรึง

ดีที่คู่หูโจรผมม่วงที่เก่งกล้าจนเกือบจะเรียกได้ว่าไร้เทียมทานไม่ได้ลงมือปล้นชิง กระทั่งคู่หูโจรตัวปลอมก็ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกแต่อย่างใด

ในความเป็นจริงแล้ว

หลังจากที่หนานกงเซิ่งได้มรดกพลังเทพปีศาจนั่นแล้ว อารมณ์และนิสัยก็เปลี่ยนไปมาก คิดจะลงมือปล้นชิงหลายครั้ง แต่เป็นจ้าวเฟิงที่ห้ามปรามเอาไว้ทุกครั้งไป

จ้าวเฟิงสังเกตได้ว่านิสัยใจคอของหนานกงเซิ่งกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ

หนำซ้ำการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ นี้ก็เป็นประหนึ่งกระบวนการที่เกิดขึ้น ‘ตามธรรมชาติ’ จ้าวเฟิงยากที่จะเปลี่ยนมันได้

ในขณะที่เวลาเคลื่อนคล้อยไปเรื่อยๆ

เวลาหนึ่งเดือนที่เหลืออยู่ จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งสืบเสาะค้นหาไปทั่ว ทรัพยากรที่ได้รับมามากขึ้นเรื่อยๆ

เพียงแต่ ความมั่นคงแข็งแกร่งของ ‘ค่ายกลเทพคุ้มกัน’ ในคฤหาสน์เสียหยาง ทำให้ไม่อาจเข้าไปในพื้นที่ต่างๆ ได้

โอกาสจำพวก ‘วารีศักดิ์สิทธิ์ไป่หยวน’ ค้นหาได้ยากเย็นนัก ทรัพยากรที่ได้มาทั่วไปสูงส่งเทียบเท่ากับ ‘บัวฟ้าวารีคราม’

หรือโอกาสบางอย่าง จ้าวเฟิงและพวกร่วมมือกันก็ยังยากจะรับมือได้

อย่างเช่น ภายในคฤหาสน์เสียหยางมี ‘อุทยานสัตว์วิเศษ’ สัตว์วิเศษที่ถูกกักขังไว้ในสถานที่ดังกล่าวอยู่ในขั้นเซียนเป็นอย่างน้อย

กลิ่นอายที่ทรงพลังของอุทยานสัตว์วิเศษ พวกจ้าวเฟิงต่างไม่กล้าเข้าไปใกล้

นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่อันตรายบางส่วนที่สามารถสังหารจักรพรรดิในพริบตา หรือกระทั่งเป็นอันตรายต่อเซียน คนทั้งสองไม่คิดจะเอาชีวิตของตนเองไปเสี่ยงด้วย

ในวันนี้ พวกจ้าวเฟิงทั้งสองยืนอยู่บนหอสูงตะหง่าน กลั้นลมหายใจสำรวมจิต

“หืม?” จ้าวเฟิงสังเกตได้ว่าอากาศว่างเปล่าเบื้องหน้าเริ่มอับแสงลงไปน้อยๆ

ทุกสรรพสิ่ง ทุกต้นไม้ใบหญ้าในครรลองสายตา เหมือนกำลังอับแสงลงทีละน้อย ความรู้สึกเช่นนั้นเหมือนภาพลวงตา มีความรู้สึกไม่สมจริงอยู่

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง บรรดาราชันจากกลุ่มอำนาจอื่นๆ สังเกตเห็นปรากฏการณ์นี้ด้วย

“การบรรจบกันระหว่างดินแดนทวีปและมิติเทพลวงตากำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว…”

เซวียนหยวนเหวินพึมพำ

เมื่อคำนวณเวลาดู ผู้คนอยู่ภายในมิติเทพลวงตาก็เป็นเวลาหลายเดือนแล้ว

“เหลือเวลาอยู่ประมาณสามสี่วัน”

จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งสบตากันคราหนึ่ง

มิติเทพลวงตาเป็นมิติทิ้งร้างของเทพเก่าแก่ที่พิเศษอย่างยิ่ง มันเป็นดั่ง ‘ภาพลวงตา’ ที่สมจริง ทับซ้อนกับฟ้าดินแห่งต่างๆ

ผ่านไปอีกครึ่งวัน มิติที่หม่นแสงลงไปในตอนนี้ถึงขั้นค่อยๆ โปร่งใสเล็กน้อยแล้ว

“เพราะอะไรกัน ตอนนี้ข้าจึงรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดที่ประสบพบเจอมาในมิติเทพพลวงตาไม่ใช่เรื่องจริงเท่าไหร่นัก?”

จ้าวเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย

ดวงตาเทพเจ้าของเขาสอดส่องพื้นที่ว่างเปล่าแห่งนี้ และพบว่าไม่อาจมองได้ทะลุปรุโปร่งมากนัก

ความรู้สึกประมาณนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนที่ตำหนักฟั่นหลุนกู่อิน เป็นเหตุการณ์ที่เขาไม่อาจมองหลิวฉินซินบนกำแพงภาพในตอนนั้นได้ปรุโปร่ง

“จากข้อมูลที่ข้าได้จาก ‘จิตเทพปีศาจ’ มิติเทพลวงตาเคยเป็นโลกพิเศษที่สำแดง ‘ศาสตร์ลวงตา’ ลักษณะเหมือนกับ ‘เขตแดนเมืองมายา’ ศาสตร์วิญญาณของเจ้า อีกทั้งเทพ ‘เสียหยาง’ ก็ไม่ได้เป็นผู้บุกเบิกมิติแห่งนี้ นานแสนนานก่อนนี้ มีเทพเซียนจำนวนมากเข้ามาอาศัยอยู่ภายในที่แห่งนี้ เคยมียอดฝีมือคาดการณ์เอาไว้ว่า มิติเทพลวงตาคือเศษเสี้ยวมิติที่ถูกทอดทิ้งเอาไว้หลังจากการล่มสลายในยุคบรรพกาล”

ดวงตาของหนานกงเซิ่งเผยแววประหลาด พลางมองมิติที่ค่อยๆ อับแสงลงนี้อย่างประเมิน

ยามนี้ จ้าวเฟิงถึงขั้นเกิดความรู้สึกสับสน สิ่งของที่ตนสัมผัสได้ในมิติแห่งนี้ดุจจันทร์กลางผืนน้ำ แต่ก็เหมือนมันมีตัวตนอยู่จริงๆ

ทันใดนั้นเอง จ้าวเฟิงคิดถึง ‘ห้วงฝันบรรพกาล’ ในดวงตาซ้ายของตน แล้วใจก็เต้นระรัว มองจากอีกมุมมองหนึ่ง ทั้งสองเหมือนมีจุดที่เหมือนและต่างอยู่ด้วยกัน

เวลาเคลื่อนคล้อยไป ฟ้าดินในมิติที่คนทั้งหมดอยู่ค่อยๆ อับแสงลง และเปลี่ยนเป็นเงาที่โปร่งใสมากขึ้น

คนจำนวนมากกำลังรอเดินทางกลับ ทว่าวันนี้ ข่าวสารที่ทำให้คนต้องตกตะลึงก็แพร่กระจายไปทั่วคฤหาสน์เสียหยาง

“เร็ว! รีบไปขวางราชามังกรฟ้าวารีเอาไว้ก่อน!”

เสียงหนึ่งดังขึ้นจากกลุ่มที่พักในคฤหาสน์เสียหยาง

“แย่แล้ว!”

“ราชามังกรฟ้าวารีและมังกรมายาพันผันแปรได้กุญแจ ‘โซ่ผนึกวิญญาณ’ ไปแล้ว!”

บรรยากาศน่าสะพรึงกลัว กระจายตัวไปทั่วกองทัพเผ่าพันธุ์มนุษย์

อะไรกัน! จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวส่วนหนึ่ง และตกตะลึงไปเช่นกัน

ในเวลานั้นเอง

สวบ สวบ สวบ! กำลังคนของตระกูลจีไล่ตามมาจากบริเวณใกล้เคียง ผู้นำคือจีหลาน

“มารคู่ผมม่วง?”

จีหลานชะงักไป ก่อนสีหน้าจะเคร่งเครียด “ก่อนหน้านี้ราชามังกรวารีและมังกรมายาพันผันแปรปะปนอยู่ในกลุ่มคน ครึ่งวันก่อน หัวขโมยสองคนนี้ใช้ประโยชน์จากการทำลายโจมตีของกลุ่มอำนาจเชื้อพระวงศ์ จนได้รับกุญแจของ ‘โซ่ผนึกวิญญาณ’ ไป”

“ตอนนี้ดูจะยุ่งยากกันแล้ว” จ้าวเฟิงขมวดคิ้ว

“แทบพลิกสถานการณ์ไม่ได้แล้ว!”

จีหลานเอ่ยด้วยเสียงสะอึกสะอื้น “นอกจากสายเลือดดวงตาของเจ้าและข้าที่มองผ่านการพรางตัวของ ‘มังกรมายาพันผันแปร’ ได้ คนจำนวนมากที่เหลือไม่เห็นแม้กระทั่งร่องรอยของมัน”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version