บทที่ 9 : ขั้นสุดยอดของขั้นสองแห่งผู้ฝึกตน
“มาเถอะ”
จ้าวคังรู้สึกราวกับหูของเขาได้ยินผิดพลาดไป นี่ใช่จ้าวเฟิงผู้นั้นจริงๆ หรือ?
เพ้ย!
เมื่อสายตาของเขาจับจ้องไปยังอีกฝ่าย สีหน้าของจ้าวคังก็แปรเปลี่ยนไป
“ไม่น่าแปลกใจที่เจ้ามั่นใจเพียงนี้… ดูเหมือนว่าเจ้าจะทะลวงเข้าสู่ขั้นสองแห่งผู้ฝึกตนได้แล้ว… ทว่าหากนั่นเป็นทั้งหมดที่เจ้ามี เช่นนั้นข้าแนะนำให้เจ้าอ้อนวอนข้าเสียตอนนี้จะดีกว่า”
จ้าวคังรู้สึกแปลกใจเล็กๆ กับระดับขั้นการฝึกตนของเด็กหนุ่ม ทว่านั่นไม่ได้ส่งผลต่อแผนของเขา นั่นเป็นเพราะจ้าวเฟิงเพิ่งจะทะลวงเข้าสู่ขั้น 2 ได้ไม่นาน แต่จ้าวคังนั้นได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของขั้น 2 ตั้งแต่เมื่อหนึ่งถึงสองปีก่อนแล้ว นอกจากนั้นเขายังมีวิชาระดับสูงอีกด้วย
“หยุดผายลมไร้สาระได้หรือไม่ เวลาข้ามีจำกัด” จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างเย็นชา
“เจ้าเด็กนี่! อย่าได้กำแหงนัก!”
จ้าวคังแปรเปลี่ยนท่ามือเท้าไปอยู่ในท่าทางพิสดารประการหนึ่ง ราวกับอสรพิษที่จับจ้องไปยังฝ่ายตรงข้าม
เสี้ยววินาทีนั้น จ้าวคังได้ใช้วิชาอสรพิษสิบสามลักษณ์ของเขา ในด้านของความเร็วและพลังนั้นนับว่าเหนือกว่าจ้าวเฟิงมากนัก
“บางทีจ้าวคังอาจจะฝึกฝนอสรพิษสิบสามลักษณ์จนเข้าสู่ขั้นต่ำแล้ว” ที่สนามยิงธนู จ้าวหยูเฟ่ยขยับเล็กน้อยก่อนจะส่ายศีรษะเบาๆ ในฐานะของอัจฉริยะคนหนึ่งของพรรค นางย่อมได้รับการสนับสนุนจากพรรคอย่างมาก และได้รับวิชาระดับสูง ยิ่งระดับของวิชามากเท่าใด การฝึกฝนก็ยิ่งยากเท่านั้น
เมื่อวิชาระดับสูงถูกฝึกจนกระทั่งเข้าขั้นต่ำ พลังของมันจะมากกว่าวิชาระดับกลางที่ถูกฝึกจนเข้าขั้นสูง
“ความเร็วอันใดกัน! ทั้งพลังโจมตียังมากกว่าเดิมอย่างน้อย 50%!”
จ้าวเฟิงตกใจ ทว่าด้วยปฏิกิริยาตอบโต้ของดวงตาซ้ายทำให้เขาสามารถมองเห็นท่าร่างของอีกฝ่ายได้ทั้งหมด
“มังกรคลั่งพลิกวารี!”
จ้าวเฟิงตวาดลั่นและกระทืบทั้งสองลง ภายใต้วิชาลมหายใจผลักวายุ เขาได้เคลื่อนพลังของเขาไปยังแขนทั้งสองข้างของเขา
จ้าวคังรู้สึกได้ว่าพลังของอีกฝ่ายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเขาก็ยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีกเมื่อจ้าวเฟิงยังคงรวบรวมพลังไปยัง ‘มังกรคลั่งพลิกวารี’
ท่าร่างที่สามของวิชาหมัดมังกรคลั่ง มังกรคลั่งพลิกวารี!
ในตอนนั้น จ้าวเฟิงราวกับมังกรเมื่อเขาส่งหมัดทั้งสองออกไปเบื้องล่าง
ปัก!
หมัดแรกทำให้ร่างกายของจ้าวคังสั่นสะท้านและเกือบกระอักเลือด
วิชาอสรพิษสิบสามลักษณ์ของเขานั้นเป็นวิชาที่เด่นด้านความพลิกแพลงและยืดหยุ่น จุดแข็งของมันไม่ใช่การต่อสู้แบบซึ่งๆ หน้า หมัดของจ้าวเฟิงนั้นราวกับรู้ว่าเขาจะขยับไปทางใดและมุ่งตรงไปยังจุดอ่อนของเขา
ปั่ก! ปั่ก! ปั่ก!
ด้วยวิชาลมหายใจผลักวายุ จ้าวเฟิงได้ฝึกฝนท่าร่าง ‘มังกรคลั่งพลิกวารี’ จนเข้าสู่ขั้นสูง
“อ๊ากกกกก”
จ้าวคังถูกอัดด้วยพลังมหาศาลจนกระทั่งทรุดตัวลงคุกเข่า แขนทั้งสองข้างชาหนึบ โลหิตไหลย้อยออกจากมุมปาก
“เจ้าแพ้แล้ว”
จ้าวเฟิงเดินออกจากลานต่อสู้
ตอนที่พวกเขาสู้กันนั้น จ้าวเฟิงได้ใช้ดวงตาซ้ายของเขาซึ่งทำให้เขาเห็นการโจมตีทั้งหมด เขามองเห็นกระทั่งจุดผิดพลาดในวิชาระดับสูงของอีกฝ่าย ซึ่งนั่นหมายความว่ามันยังไม่สมบูรณ์
จ้าวเฟิงรู้สึกว่าหมัดมังกรคลั่งและวิชาลมหายใจผลักวายุนั้นเข้ากันได้ในระดับที่ไม่อาจคาดคิด มันทำได้กระทั่งเอาชนะผู้ฝึกตนขั้น 3 ได้
“มันเป็นไปได้อย่างไร… ทั้งๆ ที่วิชาของข้าเป็นวิชาระดับสูง!”
จ้าวคังล้มลุกคลุกคลานอยู่บนพื้นกรีดร้องออกมา
การต่อสู้ทั้งหมดนั้นยาวนานเพียงสองลมหายใจเท่านั้น
หนึ่งกระบวนท่า!
จ้าวคังแพ้!
เหล่าศิษย์ตระกูลจ้าวในสนามยิงธนูมองอย่างผวา แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในขั้นเดียวกัน แต่การชนะในหนึ่งกระบวนท่านั้นนับว่าเกินไปนัก โดยเฉพาะเมื่อผู้ที่แพ้นั้นใช้วิชาระดับสูง
ขณะที่นางมองตามแผ่นหลังของจ้าวเฟิงไปจนสุดสายตานั้น จ้าวหยูเฟ่ยก็เอ่ยพึมพำออกมา
“ข้ารู้จักหมัดมังกรคลั่ง มันเป็นวิชาที่ทรงพลังสำหรับพรรคของเรา และสามารถเทียบเท่าได้กับวิชาระดับสูง ทว่าการฝึกฝนนั้นก็ยากเช่นกัน ข้าคิดว่าเขาคงเรียนวิชาอื่นและใช้มันกับหมัดมังกรคลั่งซึ่งทำให้พลังของมันเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า”
“พี่หยูเฟ่ย จ้าวคังแพ้ได้อย่างไรทั้งๆ ที่ทั้งระดับผู้ฝึกตนและวิชาของเขาล้วนสูงกว่า?” ดรุณีที่ยืนข้างกายเด็กสาวเอ่ยถาม
“กระบวนท่านั้นเป็นของตาย ทว่าคนมีชีวิต วิชาอสรพิษสิบสามลักษณ์ของจ้าวคังนับว่าแย่ยิ่ง ทั้งเขายังเรียนรู้เพียงแค่ 3 กระบวนท่าแรก ซึ่งห่างไกลจากพี่ชายของเขา ‘จ้าวกัง’ นัก นอกจากนั้นจิตต่อสู้ของเขานั้นมิมีส่วนใดที่เทียบเท่าจ้าวเฟิงได้แม้แต่น้อย” จ้าวหยูเฟ่ยหยุดไปชั่วครู่ก่อนเอ่ยต่อ
“รวมทั้งจ้าวเฟิงนั้นยังเรียนรู้วิชาระดับกลางซึ่งใกล้เคียงกับวิชาระดับสูงและฝึกฝนมันจนเข้าขั้นสูง เมื่อเทียบระหว่างทักษะของทั้งสองแล้ว จ้าวเฟิงนั้นนับว่าเหนือกว่าจ้าวคัง” หลังจากที่ดรุณีนางนั้นฟังคำอธิบายของจ้าวหยูเฟ่ย นางจึงอุทานออกมา
“จ้าวเฟิงแข็งแกร่งยิ่ง!”
“ฮ่าฮ่า เป็นที่ชัดเจนว่าบิดาของจ้าวคัง ‘จ้าวกัง’ นั้นนับเป็นอันดับ 5 ในเหล่าศิษย์สายนอก เรามิอาจรู้ได้ว่าเขาจะช่วยทวงแค้นให้น้องชายของเขาหรือไม่”
“วุ่นวายยิ่ง!”
จ้าวเฟิงสั่นศีรษะและออกจากลานฝึกฝน หลังจากนั้นจึงไปยังบริเวณป่าเปิดภายในพรรค
เขามาที่นี่เพื่อฝึกฝนท่าเท้าลึกลับ นภาลอยล่อง
นภาลอยล่องนั้นเป็นวิชาที่มีระดับสูงที่สุดในบรรดาวิชาทั้งหมดที่เขามีอย่างไม่ต้องสงสัย ปัญหานั้นคือตำรานั้นไม่สมบูรณ์จึงทำให้มันเรียนรู้ได้ยากยิ่ง
“เมื่อใช้หมัดมังกรคลั่งร่วมกับลมหายใจผลักวายุ พลังทำลายของมันนั้นยอดเยี่ยมยิ่ง ทว่าข้าไม่อาจรู้ได้ว่าวิชานภาลอยล่องนั้นเป็นเช่นไร”
จ้าวเฟิงนั้นเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ในวันเดียวกันนั้น ข้าจึงเริ่มครุ่นคิดเกี่ยวกับวิชานภาลอยล่อง
เมื่อเขาเพ่งสมาธิ แสงสีเขียวซีดภายในมิติสีดำก็เริ่มหมุนเร็วขึ้นและเร็วขึ้น
เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับแม้ว่ากระบวนท่าของวิชานภาลอยล่องนั้นประทับลึกลงในสมองของเขา ทำให้ง่ายที่จะเข้าใจ แต่มันก็ไม่ได้ง่ายดายเท่ากับหมัดมังกรคลั่งหรือลมหายใจผลักวายุ
“วิชานภาลอยล่องนั้นนับว่ายากกว่าวิชาระดับกลางขั้นสุดยอดอย่างน้อย 2-3 เท่า…”
นี่คือข้อสรุปที่เขาได้หลังจากที่เปรียบเทียบวิชาทั้งหมดเข้าด้วยกัน ทว่าแม้ว่ามันจะยาก แต่มันก็ไม่สามารถหยุดเขาได้
จ้าวเฟิงใช้เวลา 2-3 วันในการเข้าใจ 1 ใน 4 ของวิชานภาลอยล่องในขั้นพื้นฐาน
เขาใช้เวลาเพียง 6 วันในการเข้าขั้น ‘พื้นฐาน’
วิชาทั่วไปนั้นมีทั้งหมด 4 ขั้นตามความเชี่ยวชาญของผู้ฝึก นั่นคือ ขั้นพื้นฐาน ขั้นต่ำ ขั้นสูง และขั้นสุดยอด
ขั้นพื้นฐานนั้นมีพลังเทียบเท่ากับ 30% ของทั้งหมด
ขั้นต่ำมีพลัง 50%
ขั้นสูงมีพลัง 70%
ขั้นสุดยอดมีพลัง 90%หรือมากกว่านั้น
เช่นเดียวกับหมัดมังกรคลั่งที่จ้าวเฟิงได้ฝึกฝนไปจนกระทั่งเข้าขั้นสูงอย่างง่ายดาย นภาลอยล่องนั้นเองก็ถูกฝึกไปถึงขั้นพื้นฐานด้วยระยะเวลาเท่ากัน ทว่านั่นเป็นเพียง 1 ใน 4 ของวิชาเท่านั้น
ฟุ่บ!
ร่างของจ้าวเฟิงพุ่งออกไป ร่างกายของเขาเบาราวกับนก ทะยานอยู่เหนือพื้นดินราวๆ 4-5 เมตร
ปึก! ปึก!
เท้าของเขายันเข้าที่กิ่งไม้ขณะที่บินออกไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ ในตอนนั้นเด็กหนุ่มราวกับนกที่บินร่อนในป่าอย่างมีความสุข
“ข้าเพียงฝึกนภาลอยล่องในขั้นพื้นฐาน ทว่าความเร็วของมันกลับเหนือกว่าวิชาระดับกลางส่วนมากที่ถูกฝึกฝนจนเข้าขั้นสูงยิ่งนัก”
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าวิชานภาลอยล่องนั้นเหนือกว่าวิชาระดับสูงส่วนมากเช่นกัน
เมื่อมีเวลาว่าง จ้าวเฟิงไม่เคยลืมที่จะพยายามแกะตัวหนังสือที่เลือนหายไปที่เหลือของตำรา ตอนนี้เขาสามารถแกะได้เพิ่ม 1 ใน 3 ของ 3 ใน 4 ส่วนที่เหลือของตำรา ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวคือการกระทำเช่นนั้นต้องใช้พลังสมาธิอย่างมาก
นั่นหมายความว่า 1 ใน 2 ของนภาลอยล่องนั้นสามารถฝึกฝนได้แล้ว
หลังจากที่ฝึกฝนท่าเท้านภาลอยล่องจนเข้าขั้นพื้นฐาน จ้าวเฟิงจึงเริ่มฝึกฝนหมัดมังกรคลั่งและลมหายใจผลักวายุอีกครั้ง นั่นเป็นเพราะแม้ว่านภาลอยล่องจะนับเป็นวิชาระดับสูง มันก็เพียงช่วยในเรื่องท่าเท้า และไม่ได้ช่วยเพิ่มพลังฝึกฝนให้เขามากนัก
หลังจากที่ฝึกวิชาระดับสูงเช่นนภาลอยล่องและกลับไปฝึกหมัดมังกรคลั่งกับลมหายใจผลักวายุ เด็กหนุ่มก็รู้สึกได้ว่ามันง่ายดายและลื่นไหลกว่าเดิม
หลังจากผ่านไปสองวัน
ลมหายใจผลักวายุทะลวงเข้าสู่ระดับ 3
หมัดมังกรคลั่งเข้าสู่ขั้นสุดยอด
ในตอนนี้ จ้าวเฟิงปิดดวงตาของเขาและรู้สึกได้ถึงพลังที่เคลื่อนไหวอยู่ภายในร่างกายของเขา ความแข็งแกร่งของเขานั้นมากกว่ายามที่เขาเพิ่งทะลวงเข้าขั้นสองมากกว่า 50% รวมทั้งภายในมิติในดวงตาซ้าย แสงสีเขียวซีดได้ขยายจาก 67 เซนติเมตรเป็น 98 เซนติเมตร
“ดูเหมือนว่าพลังฝึกตนของข้าจะเข้าสู่ขั้นสุดยอดของขั้นสองแล้ว ข้าขาดเพียงอีกก้าวก็จะทะลวงเข้าสู่ขั้นสาม”
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึกและควบคุมความตื่นเต้นของเขา เวลาเพิ่งผ่านพ้นไปเพียงครึ่งเดือนนับจากเขาทะลวงเข้าสู่ขั้นสอง ความรวดเร็วในการฝึกฝนนี้นับว่าน่าตกใจยิ่งนัก!
สิ่งที่ทำให้เขาตะลึงมากที่สุดคือการที่วิชาลมหายใจผลักวายุได้เข้าสู่ระดับ 3
เมื่อวิชาลมหายใจผลักวายุได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของระดับ 3 เมื่อนั้นเขาจะมีโอกาสในการเข้าใจพลังภายในของผู้ฝึกตน และนั่นคือจุดสำคัญที่จะกลายเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริง
จ้าวเฟิงไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะลมหายใจผลักวายุนั้นจะเข้าสู่ระดับ 3 ได้รวดเร็วเช่นนี้ มันทำให้ความแข็งแกร่งของเขานั้นเหนือกว่าผู้ฝึกตนขั้นสองทั่วไป ตอนนี้เขาสามารถเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกตนขั้น 3!
เพียงแค่ครึ่งเดือน ความแข็งแกร่งของเด็กหนุ่มก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า และทั้งหมดนั้นเป็นเพราะลูกตาลึกลับนั่น
จ้าวเฟิงชื่อว่าโชคชะตาที่เคยเรียบง่ายของเขานั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว…
คืนนั้น จ้าวเฟิงได้เริ่มวางเป้าหมายของชีวิต
เป้าหมายแรกของเขาคือการแสดงความสามารถที่งานประลองแลกเปลี่ยนวิชาประจำตระกูลในอีกครึ่งเดือน ในตอนนั้นเขาจะชนะจ้าวยี่จางอย่างเท่าเทียมและยุติธรรม ก่อนจะประลองกับอัจฉริยะที่แท้จริงแห่งเมืองประกายอรุณ
“ความเปลี่ยนแปลงของนัยน์ตาซ้ายของข้าทำให้ข้ามีความสามารถในการรับรู้สูง และสิ่งเดียวทีขัดขวางไม่ให้ข้ากลายเป็นอัจฉริยะนั้น…คือทรัพยากรในการฝึกฝน” จ้าวเฟิงคำนวณ
ตั้งแต่ที่เขาหลอมรวมกับนัยน์ตาซ้าย พลังสมาธิและความเร็วในการคิดคำนวณของเขาก็เพิ่มขึ้น ทั้งยังทำให้เขาเยือกเย็นมากขึ้นด้วย
ปัญหาเดียวคือ เขาจะไปหาทรัพยากรพวกนั้นมากจากที่ใด?
ความเร็วในการฝึกตนของจ้าวเฟิงนั้นเร็วยิ่ง ทว่ามันก็ยังคงยากที่จะทะลวงผ่านขั้นสูงสุดของขั้นสองแห่งผู้ฝึกตน ทว่าหากเขามีทรัพยากรเพียงพอ อุปสรรคนั่นก็จะถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย
“ได้การล่ะ!”
ดวงตาของจ้าวเฟิงเปล่งประกายระยิบระยับเมื่อเขาคิดบางอย่างออก ริมฝีปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มมั่นใจ