บทที่ 97 : อันดับหนึ่งในแต้มต่อสู้
สำนักจันทร์สลาย
มันเป็นสำนักที่เจ้าเมืองกว่านจวินเคยอยู่ และในตอนนั้นเขาก็เป็นเพียงศิษย์สายนอก!
เมื่อบุรุษวัยกลางคนกล่าวถึงสำนักจันทร์สลาย กระทั่งเขาก็ไม่อาจควบคุมความกระตือรือร้นและความชื่นชมในน้ำเสียงได้
มันเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการถึงพลังที่อยู่เหนือกว่าราชา
“อาจารย์ ความหวังของท่านเกี่ยวข้องกับสำนึกหรือไม่?” หนานกงฟั่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่มีความตื่นเต้นประการหนึ่ง
เมื่อคราแรกที่พวกเขารับรู้ถึงการมีอยู่ของสำนัก พวกเขานั้นตกตะลึง ทว่าบัดนี้กลับเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“บางทีข้าอาจมีโอกาสได้สัมผัสโลกใบนั้น…” ภาพของเด็กหนุ่มสาวทั้งสามในหุบเขาปรากฏขึ้นในศีรษะของจ้าวเฟิงอีกครั้ง
ความตื่นเต้นและคาดหวังในหัวใจของเขาไม่อาจนับว่าด้อยกว่าหนานกงฟั่นได้
“ข้า อาจารย์ของพวกเจ้า มาจากสำนักจันทร์สลาย และเป็นเพราะข้าไม่อาจเข้าสู่หนทางแห่งเซียนได้ก่อนอายุสามสิบ ข้าจึงหมดโอกาสที่จะได้เป็นศิษย์สายใน ดังนั้นข้าจึงออกจากสำนักและทำหน้าที่ดูแลโลกมนุษย์ ดังนั้นแล้วข้าจึงยังมีความสัมพันธ์กับทางสำนักอยู่บ้าง”
เจ้าเมืองกว่านจวินหยุดลงชั่วครู่ จากนั้นจึงเอ่ยข่าวสารอีกอย่างขึ้น
“เช่นที่ข้ารู้ การทดสอบรับศิษย์ทุกๆ 5 ปีจะมาถึงในอีกสองเดือน”
ทดสอบรับศิษย์!
ดวงตาของทั้งหกสว่างวาบ เป่ยโม่ยและคนอื่นๆ ไม่อาจปิดบังความตื่นเต้นบนใบหน้าไว้ได้ การทดสอบรับศิษย์ที่จัดขึ้นทุกๆ 5 ปีนั้นจะเริ่มขึ้นในอีกสองเดือน
“แม้ว่าจะเป็นจักรวรรดิใกล้ๆ ก็สามารถเข้าเป็นศิษย์ของสำนักจันทร์สลายได้ ในตอนนั้นเหล่าอัจฉริยะจากจักรวรรดิใกล้ๆ จะรวมตัวกัน รวมทั้งเหล่าตระกูลพรรคที่หลบซ่อนตนเองจากโลกมนุษย์ซึ่งกระทั่งมีพลังเหนือกว่าตำหนักกว่านจวิน เมื่ออัจฉริยะเหล่านี้เผชิญหน้ากัน การแข่งขันย่อมรุนแรง อาจารย์ของเจ้าทำดีที่สุดแล้วและสามารถส่งศิษย์เข้าร่วมทดสอบได้จำนวนหนึ่ง” เจ้าเมืองกว่านจวินเอ่ยสรุปสถานการณ์
“เหล่าอัจฉริยะแนวหน้าของแนวหน้าจะต่อสู้กันเพื่อเข้าร่วมสำนักจันทร์สลาย…” จ้าวเฟิงและคนอื่นๆ รู้สึกได้ถึงโลหิตที่เดือดพล่าน
ความต้องการต่อสู้กระทั่งแพร่กระจายออกจากร่างของเป่ยโม่ย
ในนครหลวงกว่านจวินนั้น พรสวรรค์และความแข็งแกร่งของพวกเขานับว่าเป็นแนวหน้า ทว่าหากเข้าไปยังสำนักจันทร์สลาย พวกเขาจะสามารถต่อสู้กับเหล่าสุยอดอัจฉริยะผู้อื่นเพื่อหาผู้ที่แข็งแกร่งกว่าได้
“ข้าสามารถพาไปได้เพียง 3 คนในการทดสอบสองเดือนข้างหน้า ดังนั้นแล้วพวกเจ้าทุกคนต้องคว้าโอกาสนี้ไว้” เจ้าเมืองกว่านจวินเอ่ยอย่างเคร่งขรึมขณะที่เขามองไปยังเด็กหนุ่มสาวทั้งหกเบื้องหน้า
สามที่?
หัวใจของทั้งหกกระตุก แม้ว่าพวกเขาจะมีอาจารย์คนเดียวกัน พวกเขาก็ยังคงต้องแข่งขันกันเอง
แน่นอนว่าเจ้าเมืองกว่านจวินมีศิษย์มากกว่านั้น ทว่ามีการจำกัดอายุในการทดสอบ นั่นเป็นสาเหตุให้เขาไม่ได้เชิญเย่หลินเหลียนและคนอื่นๆ มา
เย่หลินเหลียนและคนที่เหลือนั้นอายุมากกว่า 30 ปี กฎของสำนักจันทร์สลายคือหากคนผู้หนึ่งไม่อาจเข้าสู่เส้นทางแห่งเซียนได้ก่อนอายุ 30 พวกเขาไม่อาจเข้าเป็นศิษย์สายในได้ นี่ย่อมหมายถึงว่ามีเพียงเด็กหนุ่มสาวทั้งหกเบื้องหน้าเขาที่ต้องแข่งขันเพื่อที่ทั้งสามนั้น
“กองทัพสัตว์อสูรจบแล้ว พวกเจ้าทุกคนกลับไปยังตำหนักกว่านจวินและเลี้ยงฉลองเถอะ!” บุรุษวัยกลางคนเอ่ยก่อนจะหายไปในเสี้ยวพริบตา
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ร่างสีเงินพุ่งวาบผ่านท้องฟ้าและหายไปจากสายตาของพวกเขา
“อาจารย์บอกให้พวกเจ้าไปยังหอจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้เพื่อรับรางวัล” ร่างของเย่หลินเหลียนปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าทั้งหก ทั้งหมดผงกศีรษะเพื่อตอบรับ
ในระหว่างทางกลับนั้น เฟิงฮันเยว่ดูเหมือนจะมีบางอย่างในใจขณะที่เขามองไปมาระหว่างเป่ยโม่ย หนานกงฟั่น และหยางชิงชั่น
เจ้าเมืองกว่านจวินนั้นสามารถนำคนเข้าร่วมได้เพียงสามคน และในบรรดาทั้งหก เป่ยโม่ย หนานกงฟั่น และหยางชิงชั่นมีพลังฝึกตนสูงที่สุดโดยอยู่ที่ขั้นแปดหรือสูงกว่า
เมื่อเทียบกับทั้งสามคนแล้ว เฟิงฮันเยว่ จ้าวเฟิง และจ้าวหยูเฟ่ยมีโอกาสต่ำกว่า
“ข้าอาจจะได้เป็นหนึ่งในนั้นหากข้าพยายามให้มากที่สุด” จ้าวเฟิงคิดในใจ
หลังจากกองทัพสัตว์อสูรแตกพ่าย ความแข็งแกร่งของเขาก็ได้เพิ่มขึ้น แสงสีเขียวซีดเข้าใกล้ 7.9 ฟุตแล้ว
เขาไม่มีความมั่นใจในการเอาชนเป่ยโม่ยเมื่ออีกฝ่ายนั้นสามารถจัดการผู้ฝึกตนขั้นเก้าได้ ทว่าเด็กหนุ่มนั้นมั่นใจหกถึงเจ็ดส่วนว่าเขาสามารถเอาชนะหยางชิงชั่นและหนานกงฟั่นได้
นอกจากนั้น มันยังคงมีเวลาเหลืออีกสองเดือนจนกว่าจะถึงงานทดสอบรับศิษย์ และเขามีเวลาที่จะพัฒนา
ทั้งหกใช้วิชาเคลื่อนไหวของพวกเขาและกลับไปยังตำหนักกว่านจวิน
หอจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
“อาจารย์รออยู่ด้านใน” เย่หลินเหลียนได้มาถึงที่หน้าประตูแล้ว
พลังฝึกตนของเขานั้นอยู่ที่ขั้นสูงสุดของขั้นเก้า ดังนั้นแล้วเขาจึงเร็วที่สุด เป่ยโม่ยนั้นเป้นอันดับสองและได้เดินเข้าไปในด้านในแล้ว หลังจากนั้นจึงเป็นหยางชิงชั่น หนานกงฟั่น และจ้าวเฟิง อีกสองคนนั้นค่อนข้างประหลาดใจในความเร็วของจ้าวเฟิง
ไม่ช้า เด็กหนุ่มสาวทั้งหกก็ได้มาถึงยังหอจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
เจ้าเมืองกว่านจวินนั่งอยู่บนฟูกของเขาขณะที่กวาดสายตามองศิษย์ทั้งหก
ด้านซ้ายและขวาของเขาคือเย่หลินเหลียนและองครักษ์หนึ่ง เด็กหนุ่มสาวทุกคนล้วนคุ้นเคยกับเย่หลินเหลียน ทว่าองครักษ์หนึ่งนั้นเป็นบุคคลลึกลับที่ได้เข้าถึงขั้นครึ่งก้าวแห่งหนทางเซียนแล้ว
เป็นเพราะองครักษ์สามบาดเจ็บในระหว่างการต่อสู้กับจ้าวสัตว์ปีศาจ องครักษ์หนึ่งจึงมาแทนที่เขา
“แต้มต่อสู้เป็นอย่างไรบ้าง?” จ้าวเมืองกว่านจวินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงล้ำลึก
“ท่านอาจารย์ การคำนวณของกองกำลังกว่านจวินได้สิ้นสุดลงและพวกเขาได้ให้ผลลัพธ์มาแล้ว” องครักษ์หนึ่งค้อมศีรษะขณะที่เขานำสมุดบันทึกเล่มเล็กออกมา
เจ้าเมืองกว่านจวินไม่ได้นำสมุดนั้นไป แต่กลับเอ่ยว่า
“อ่านมัน”
“ขอรับ”
องครักษ์หนึ่งเปิดสมุดก่อนจะเอ่ยสิ่งที่ถูกเขียนไว้
“อันดับหนึ่ง จ้าวเฟิง 465 แต้มต่อสู้ อันดับสอง เป่ยโม่ย 403 แต้มต่อสู้…”
“ช้าก่อน!”
สีหน้าของเจ้าเมืองกว่านจวินแปรเปลี่ยนไปขณะที่เขามองไปยังองครักษ์หนึ่ง
“เป่ยโม่ยไม่ใช่อันดับหนึ่ง?”
ความจริงนั้น กระทั่งอัจฉริยะคนอื่นเองก็ไม่อาจทำใจเชื่อได้ เป่ยโม่ยจะไม่ใช่อันดับหนึ่งได้อย่างไรกัน? กระทั่งเจ้าเมืองกว่านจวินยังมีความรู้สึกเคลือบแคลง ในตอนนั้น หอแห่งจิตวิญญาณการต่อสู้ก็ได้เงียบงันลง
เป่ยโม่ยกำหมัดแน่นและพึมพำด้วยสีหน้าน่าเกลียด
“เป็นไปไม่ได้! ข้าไม่เชื่อ!”
“ท่านอาจารย์ จ้าวเฟิงจัดการราชาอินทรีปากทอง และนั่นเป็นจุดที่เขาได้รับแต้มมากที่สุด” เย่หลินเหลียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“แต้มจากราชาอินทรีปากทองมีค่าเท่าใด?” เจ้าเมืองกว่านจวินเอ่ยถาม
องครักษ์หนึ่งพลันเอ่ยตอบในทันที
“แต้มนั้นมีความแตกต่างอยู่ที่ 20-60 แต้มสำหรับการฆ่าสัตว์ปีศาจระดับสูง ทว่าเป็นเพราะราชาอินทรีปากทองนั้นเป็นสัตว์ปีศาจระดับสุดยอดและฆ่าได้ยากยิ่ง มันจึงมีค่า 100 แต้ม”
100 แต้มต่อสู้!
เป่ยโม่ยและคนอื่นๆ นิ่งงันไป
“แม้ว่าเขาจะฆ่าราชาอินทรีปากทอง แต้มต่อสู้ของเขาก็ยังมากไปหน่อย บอกแต้มต่อสู้ของผู้อื่น” เจ้าเมืองกว่านจวินเอ่ยอย่างเยือกเย็น
“หยางชิงชั่น 195 แต้ม หนานกงฟั่น 181 แต้ม…” องครักษ์สามเอ่ยแต้มต่อสู้ของคนอื่นออกมา
ชัดเจนว่าไม่มีผู้ใดนอกจากจ้าวเฟิงและโป่ยโม่ยที่แต้มถึง 200
ตามหลักเหตุผลแล้ว แต้มต่อสู้ของจ้าวเฟิงเองก็ควรจะอยู่ที่ราวๆ 100 แต้มหรือมากกว่านั้น แม้ว่าเขาจะสามารถฆ่าราชาอินทรีปากทองและได้รับแต้ม 100 แต้ม มันก็ยังหมายความว่าเขามีแต้มอื่นถึง 365 แต้ม เหนือกว่าหนานกงฟั่นและหยางชิงชั่นไปไกล
“เป็นไปไม่ได้!” หนานกงฟั่นและหยางชิงชั่นสั่นศีรษะอย่างฉุนเฉียว
เป่ยโม่ยหัวเราะเสียงเย็น ทว่าไม่เอ่ยสิ่งใด ชัดเจนว่าเขาเชื่อว่าอาจารย์ของเขาจะให้การตัดสินที่ยุติธรรม
“มันมีปัญหาอันใดหรือไม่?” จ้าวเมืองกว่านจวินเอ่ยพร้อมด้วยคิ้วที่เลิกสูง
ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป เขาไม่เคยตั้งคำถามในกองกำลังกว่านจวิน ทว่าครานี้มันเกินคาดจนเกินไป
“ท่านอาจารย์ ข้ามั่นใจว่ามันถูกต้อง และแม้ว่ามันจะมีปัญหา มันย่อมเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย” องครักษ์หนึ่งเอ่ยโดยไร้ซึ่งความสงสัย จากนั้นจึงเอ่ยถึงรายละเอียดการคำนวณแต้ม
“จ้าวเฟิงฆ่าสัตว์อสูรและสัตว์ปีศาจที่บินได้ไป 70-80 ตัวด้วยเพียงธนูของเขา และแต่ล่ะตัวนั้นมีค่า 2.5 แต้มโดยประมาณ เพียงแค่ส่วนนี้ แต้มของเขาก็ถึง 200 แล้ว เมื่อรวมกับราชาอินทรีปากทอง แต้มของเขาจึงขึ้นสู่ 300…” องครักษ์สามอ่าน
มันมีการบันทึกว่าแต้มเหล่านั้นมาจากที่ใด
“โฮ่? นักธนู?”
เจ้าเมืองกว่านจวินประหลาดใจเล็กๆ และมองไปยังจ้าวเฟิงอีกครั้ง
“ความจริงในเรื่องนี้นั้น แม่ทัพเฮิง ข้า และนักธนูใกล้ๆ สามารถเป็นพยานได้” เย่หลินเหลียนเอ่ย
“หืมมม… เช่นนั้นก็คงไม่มีปัญหาอันใด” เจ้าเมืองกว่านจวินไม่สงสัยแม้แต่น้อย
จากนั้นยังคงมีอีกจุดหนึ่ง หลังจากที่ยิงเหล่าสัตว์อสูรและสัตว์ปีศาจบนท้องฟ้าแล้ว เขาได้ใช้เวลาที่เหลือในการเพิ่มแต้มของเขาอีก 160 แต้มหรือมากกว่านั้น
ทุกคนควรรู้ว่าหนานกงฟั่นและหยางชิงชั่นได้รับแต้มเพียง 180 หรือมากกว่านั้นในเวลาที่มากกว่าจ้าวเฟิงสองเท่า ทั้งยังมีพลังฝึกตนสูงกว่า
“ข้าไม่เชื่อ!” หนานกงฟั่นส่ายศีรษะ แสดงความเคลือบแคลงใจ
“สัญชาตญาณการต่อสู้ของจ้าวเฟิงนั้นยอดเยี่ยมมาก และทุกๆ การโจมตีของเขาจะจัดการสัตว์อสูรและสัตว์ปีศาจลงได้หนึ่งตัว ประสิทธิภาพและความรวดเร็วนั้นมากกว่าผู้ที่อยู่ในขั้นเดียวกันสองเท่า ในด้านนี้ กระทั่งยอดฝีมือในกองกำลังกว่านจวินก็ไม่อาจเทียบเขาได้… บางทีเขาอาจเป็นนักฆ่าโดยธรรมชาติ!?” องครักษ์สามมองไปยังเด็กหนุ่มด้วยสายตาซับซ้อน
เย่หลินเหลียนปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้า
“คราก่อน จ้าวเฟิงเองก็ได้อันดับหนึ่งในภารกิจกวาดล้างโจรเช่นเดียวกัน และตอนนั้นเขาเป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นหกเท่านั้น…”
บัดนี้ แหล่งที่มาของแต้มต่อสู้ของจ้าวเฟิงก็ได้ถูกอธิบายแล้ว
เจ้าเมืองกว่านจวินนั้นไร้ซึ่งความสงสัยยามที่เขามองไปยังจ้าวเฟิงด้วยความชื่นชม
“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าข้าจะมีอัจฉริยะที่เก่งกาจทั้งการยิงธนูและการต่อสู้ระยะใกล้”
เขารู้ว่ากองกำลังกว่านจวินของเขาเป็นเช่นไร พวกเขานั้นแทบจะไม่เคยกระทำสิ่งใดผิดพลาด
“… เขาเป็นสัตว์ประหลาดอันใดกัน?” เป่ยโม่ยกำหมัดแน่น เผยความไม่เต็มใจ
ในฐานะของศิษย์หลักเพียงหนึ่งเดียวของเจ้าเมืองกว่านจวิน เขาจะพ่ายแพ้ให้แก่ศิษย์สายนอกผู้หนึ่งได้อย่างไร?
หนานกงฟั่น หยางชิงชั่น และเฟิงฮันเยว่ต่างมองไปยังจ้าวเฟิงด้วยความตะลึงงัน มีเพียงจ้าวหยูเฟ่ยที่มีรอยยิ้มบนใบหน้าและไม่ประหลาดใจในผลลัพธ์นี้
หลังจากที่ได้รับแต้มต่อสู้ อัจฉริยะทั้งหกก็จากไป เหลือเพียงเจ้าเมืองกว่านจวิน องครักษ์หนึ่ง และเย่หลินเหลียนในโถงกว้างนั้น
“มีอันใดที่เจ้าต้องการอีก?” เจ้าเมืองกว่านจวินเอ่ยถาม
องครักษ์หนึ่งสูดลมหายใจลึก
“ท่านอาจารย์ แต้มต่อสู้ที่แท้จริงของจ้าวเฟิงนั้นคือ 565 มิใช่ 465! ทว่าเมื่อพิจารณาถึงอีกห้าคนแล้ว ข้าจึงซ่อนอีก 100 แต้มเอาไว้…”