บทที่ 96 : ปลายยอดภูเขาน้ำแข็ง
ซากของจ้าวสัตว์ปีศาจกระจายเป็นเศษซากอยู่บนพื้นใกล้ๆ
เจ้าเมืองกว่านจวินยืนโดยที่สองมือไพล่หลังเบื้องหน้าซากศพนั้น มองไปยังศิษย์ทั้งหกของเขา
เป่ยโม่ย หยางชิงชั่น หนานกงฟั่น เฟิงฮันเยว่ จ้าวเฟิง และหยูเฟ่ย
เด็กหนุ่มสาวทั้งหกนั้นเป็นอัจฉริยะชั้นแนวหน้าในนครหลวงกว่านจวิน ทว่าความสนใจของเจ้าเมืองกว่านจวินนั้นส่วนมากอยู่ที่เป่ยโม่ย
“โอกาส?”
ดวงตาของจ้าวเฟิงส่องประกาย เขาไม่เข้าใจว่าผู้เป็นอาจารย์กำลังกล่าวถึงสิ่งใด?
ในระหว่างการเดินทางมานั้น จ้าวเฟิงได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสอง รวมทั้งการกระทำทั้งหมด ทว่าไม่อาจได้ยินในสิ่งที่พวกเขาพูด
“อาจารย์ ท่านหมายความว่าอย่างไร?” เฟิงฮันเยว่ไม่อาจปกปิดความสงสัยของเขาได้
โอกาสที่ใหญ่ที่สุดในการเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเขาคือการกลายเป็นศิษย์ของเจ้าเมืองกว่านจวิน คำถามนั้นหยางชิงชั่นและคนอื่นๆ ต่างคาดหวังในคำตอบเช่นกัน
“โอกาสนี้เองก็เป็นความหวังของอาจารย์พวกเจ้าเช่นกัน…” เจ้าเมืองกว่านจวินถอนหายใจแผ่วเบาขณะที่ดวงตาของเขาทอดมองไปไกลด้วยความปรารถนา เกลียดชัง คาดหวัง และความรู้สึกซับซ้อนอื่นๆ
ในฐานะของผู้ที่มีพลังเป็นที่สุดในนครหลวงกว่านจวิน สิ่งใดกันที่ทำให้เขามีความรู้สึกหลากหลายเพียงนี้?
จ้าวเฟิงได้เห็นความรู้สึกที่คล้ายคลึงกับยามที่อยู่ในหอแห่งจิตวิญญาณการต่อสู้เช่นกัน ทว่าครานั้น ความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ผ่านไปในเสี้ยววินาที มีเพียงเด็กหนุ่มที่มองเห็นมัน
เขาเอ่ยถามในวันนั้น เหตุใดเจ้าเมืองกว่านจวินจึงได้ใฝ่หาอัจฉริยะจำนวนมากเช่นนี้?
อีกฝ่ายเอ่ยตอบ เพื่อเติมเต็มความหวัง
ความหวัง?
ความหวังของเขาคือสิ่งใดกัน? ความหวังที่กระทั่งเขาก็ไม่อาจทำได้สำเร็จ และทำได้เพียงพึ่งพาคนรุ่นต่อไป?
ปึก! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ในตอนนั้นเอง ผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่อยู่ใกล้เคียง รวมทั้งเย่หลินเหลียนและแม่ทัพเฮิงก็ได้มุ่งหน้าตรงมา ทว่าเจ้าเมืองกว่านจวินได้ยกมือขึ้นและบอกให้พวกเขาไป
แม้ว่าเย่หลินเหลียง แม่ทัพเฮิง และผู้อื่นจะรู้สึกสงสัยเล็กๆ ทว่าพวกเขาก็จากไปโดยไร้ซึ่งความลังเล
ภาพนั้นทำให้เด็กหนุ่มสาวทั้งหกตระหนักได้ว่า เจ้าเมืองกว่านจวินนั้นมีบางสิ่งสำคัญที่ต้องการจะเอ่ย
“มีพวกเจ้าคนใดเห็นร่างลึกลับในชุดคลุมหรือไม่?” เจ้าเมืองกว่านจวินดูราวกับจะเปลี่ยนเรื่อง
“ขอรับ ศิษย์เคยเห็นเขาคราที่แล้วในป่าเมฆาคล้อย…” จ้าวเฟิงตอบขึ้นในทันที
ผู้ที่เคยเห็นร่างในชุดคลุมมีเพียงจ้าวเฟิงและเป่ยโม่ย และจ้าวเฟิงได้เห็นเขาสองครั้ง
“โฮ่?”
เจ้าเมืองกว่านจวินมองไปยังจ้าวเฟิง ชะงักไปเล็กๆ
“เจ้าคิดว่าเขาแข็งแกร่งเพียงใด?”
“แข็งแกร่งยิ่งนัก!”
จ้าวเฟิงคิดถึงวิธีการที่คนผู้นั้นใช้ทั้งสองครั้ง หัวใจเย็นยะเยือกอย่างไม่อาจห้าม
เจ้าเมืองกว่านจวินแย้มยิ้ม
“เจ้าคิดว่าเขาแข็งแกร่งกว่าข้าหรือไม่?”
นี่…
เด็กหนุ่มไม่คิดว่าผู้เป็นอาจารย์จะเอ่ยคำถามเช่นนี้ออกมา ภายใต้การจับจ้องของผู้ที่เข้าสู่หนทางแห่งเซียน เขาทำได้เพียงเอ่ยตอบ
“โดยส่วนตัว ศิษย์ผู้นี้คิดว่าคู่ต่อสู้นั้นอย่างน้อยเทียบเท่าท่านอาจารย์ มิเช่นนั้นก็แข็งแกร่งกว่า…”
เพราะเขามีดวงตาซ้าย จ้าวเฟิงนั้นแม่นยำในการคำนวณความแข็งแกร่งของคนผู้หนึ่งมาก คำพูดของเขายังมีความเคลือบแคลงประการหนึ่งแฝงอยู่
“จ้าวเฟิง! เจ้ากล่าวอันใดออกไป? เจ้ากล้าที่จะดูแคลนท่านอาจารย์และชื่นชมศัตรูได้อย่างไร?” หนานกงฟั่นพลันอุทานออกมา
คิ้วของเป่ยโม่ย หนานกงฟั่น และเฟิงฮันเยว่มุ่นเข้าหากัน ชัดเจนว่าทั้งหมดไม่เชื่อในสิ่งที่เด็กหนุ่มเอ่ย
ในจักรวรรดิเมฆานี้ เจ้าเมืองกว่านจวินนับเป็นตัวตนในตำนานพ้อมด้วยพลังอำนาจและสถานะที่เหนือชั้น ในฐานะของศิษย์ของบุรุษเช่นนี้ พวกเขาจะไม่มั่นใจได้อย่างไร?
มีเพียงจ้าวหยูเฟ่ยที่เชื่อในสิ่งที่จ้าวเฟิงเอ่ย มันมาจากบางสิ่งที่นางไม่เข้าใจ
คำตอบของจ้าวเฟิงสร้างความประหลาดใจให้กับเจ้าเมืองกว่านจวิน บุรุษวัยกลางคนมองอีกฝ่ายอีกหลายครั้งอย่างช่วยไม่ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพิจารณาศิษย์ของเขาคนนี้อย่างจริงจัง
หนานกงฟั่นและคนที่เหลือต่างตกตะลึง มันดูเหมือนว่าอาจารย์นั้นไม่ได้ไม่พอใจ ความจริงแล้วเขากระทั่งดูเหมือนจะมองเด็กหนุ่มผู้เอ่ยตอบด้วยสายตาใหม่
“บอกความจริง เจ้าคิดอย่างไร?” เจ้าเมืองกว่านจวินจ้องไปยังเขา
จ้าวเฟิงนึกถึงการเผชิญหน้ากันของผู้เป็นอาจารย์และร่างในชุดคลุมขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
หลังจากนั้นชั่วครู่ เขาจึงสูดลมหายใจลึกและเอ่ยอย่างมั่นใจ
“ความแข็งแกร่งของร่างลึกลับนั่นมากกว่าท่านอาจารย์”
อันใดกัน!?
สีหน้าของหนานกงฟั่น หยางชิงชั่น และคนอื่นๆ แปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง จ้าวเฟิงกล้านัก!
“แน่นอน นี่เป็นเพียงความรู้สึกของข้า” เมื่อรู้สึกได้ถึงความไม่เป็นมิตรจากศิษย์คนอื่น จ้าวเฟิงรีบร้อนเอ่ยประโยคเพิ่มขึ้นอีกประโยคในทันที
“จริง ความแข็งแกร่งของมันเหนือกว่าข้า” เสียงของเจ้าเมืองกว่านจวินดังขึ้นอย่างเชื่องช้า มองไปยังจ้าวเฟิงอย่างประเมินค่า
“อันใดกัน!? เป็นไปไม่ได้! จะมีผู้อื่นแข็งแกร่งกว่าอาจารย์ได้อย่างไร!?” หนานกงฟั่นไม่อาจยอมรับได้
เมื่อพวกเขากลายมาเป็นศิษย์ของคนผู้นี้ ผู้เป็นอาจารย์ในสายตาของพวกเขานั้นได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกแล้ว
“นอกจากนั้น ผู้ที่สามารถควบคุมจ้าวสัตว์ปีศาจและนำกองทัพสัตว์อสูรจำนวนนับไม่ถ้วนโจมตีนครหลวงกว่านจวินได้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แม้กระทั่งข้าก็ไม่อาจหยุดยั้งความวินาศของเมืองได้…” เจ้าเมืองกว่านจวินเอ่ยอย่างเคร่งเครียด
ควบคุมจ้าวสัตว์ปีศาจ?
เหล่าศิษย์ไม่อาจแม้แต่จะจินตนาการมันได้
“เช่นนั้นมีผู้วางแผนอยู่เบื้องหลังกองทัพสัตว์อสูรนี้…” จ้าวเฟิงพลันนึกถึงดวงตาสีฟ้าน้ำแข็งนั่นขึ้นอีกครั้ง
“อาจารย์! เหตุใดจึงได้มีผู้ที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ขึ้นได้? และเหตุใดเขาถึงหยุดโจมตีนครหลวงกว่านจวิน?” หยางชิงชั่นเองก็ไม่อาจยอมรับได้เช่นกัน
สายตาของเด็กหนุ่มสาวทั้งหกจับจ้องไปยังใบหน้าของบุรุษวัยกลางคน
“หึหึ โลกที่พวกเจ้ารู้จักนั้นเป็นเพียงปลายยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น หนทางแห่งเซียน… เป็นเพียงจุดเริ่มต้น กระทั่งผู้ที่แข็งแกร่งเช่นร่างในชุดคลุมนั่นก็ไม่กล้าที่จะต่อต้านสิบสามจักรวรรดิ!” เจ้าเมืองกว่านจวินแย้มรอยยิ้ม
หนทางแห่งเซียนเป็นเพียงจุดเริ่มต้น
อัจฉริยะทั้งหกต่างนิ่งงัน วันนี้ เจ้าเมืองกว่านจวินได้สร้างความตกตะลึงให้พวกเขามาจนเกินไป และพวกเขาไม่อาจทำความเข้าใจได้ถึงครึ่งของพวกมัน
ในตอนนั้น จ้าวเฟิงรู้สึกได้ว่าโลหิตของเขากำลังเดือดพล่าน พลันจำถึงเด็กหนุ่มสาวในหุบเขาวันนั้น ทั้งสามล้วนเยาว์วัยและทุกคนล้วนสามารถฆ่าไฮยีน่าตาฟ้าขั้นแปดได้ในหนึ่งการโจมตี อีกสองคนก็ได้มองไปยังร่างของไฮยีน่าด้วยความเหยียดหยามและปล่อยให้สตรีเพียงหนึ่งเดียวมีไม่มีประสบการณ์การต่อสู้
กระทั่งเป่ยโม่ยยังด้อยกว่าเมื่อเทียบกับทั้งสาม และนับแต่นั้น จ้าวเฟิงก็ได้เข้าใจถึงความกว้างใหญ่ของโลกใบนี้… มันยังมีสิ่งที่เขาไม่รู้อีกมากภายนอกที่เขาไม่แม้แต่กระทั่งจะสามารถสัมผัสมัน…
“ในสายตาของพวกเจ้า หนทางแห่งเซียนอาจเป็นตำนาน และเหล่าชนชั้นสูงที่ควบคุมสิบสามจักรวรรดิล้วนทรงพลังยิ่งนัก ทว่ามันไม่ใช่ความจริง!” เจ้าเมืองกว่านจวินเอ่ยอย่างเย้ยหยัน ทว่าคำกล่าวของเขานั้นเป็นสิ่งที่หลายๆ คนคิด
มันเป็นสิ่งที่จ้าวเฟิงคิดยามที่อยู่ในหมู่บ้านใบไม้เขียวและเมืองประกายอรุณ
“ผู้ควบคุมที่แท้จริงของสิบสามจักรวรรดินั้นไม่ใช่ราชา ชนชั้นสูง หรือตระกูลพรรค! มันยังมีสิบสามสำนักเหนือโลกมนุษย์!”
เมื่อเอ่ยถึงยามนี้ ดวงตาของเจ้าเมืองกว่านจวินก็แปรเปลี่ยนเป็นแหลมคม ราวกับจะสามารถตัดผ่าห้วงอวกาศได้
สิบสามสำนัก?
เด็กหนุ่มสาวทั้งหมดมองหน้ากัน
สำนัก!
สิบสามสำนักที่ยืนอยู่เหนือโลกมนุษย์!
เหตุใดพวกเขาจึงไม่เคยได้ยินมาก่อนกัน?
เมื่อยามที่จ้าวเฟิงอยู่ในหมู่บ้านใบไม้เขียว เมืองประกายอรุณนั้นนับว่าทรงพลังแล้วในสายตาของเขา ทว่าเมื่อพลังฝึกตนของเขาเพิ่มขึ้น ดวงตาของเขาก็เริ่มที่จะกวาดมองไปยังนครหลวงและสิบสามจักรวรรดิ และเขาก็ได้พบกับสองจักรวรรดิมหาอำนาจที่อยู่เคียงข้างกับสิบสามจักรวรรดิเมฆาคล้อย
ไม่ว่าจะเป็นจักรวรรดิใดในสองจักรวรรดินั้นก็สามารถทำลายสิบสามจักรวรรดิได้ และดังนั้นแล้วสิบสามจักรวรรดิจึงร่วมมือกันเพื่อที่จะมีชีวิตรอด
ทว่านี่ไม่ใช่ความจริง!
“อาจารย์ ความแข็งแกร่งของสิบสามสำนักนั้นมีมากเท่าใดจึงสามารถควบคุมสิบสามจักรวรรดิได้?” หนานกงฟั่นเอ่ยอย่างไม่เชื่อถือ
“สำนักเหล่านี้ควบคุมหนทางแห่งผู้ฝึกตน ทุกๆ สำนักเองก็ล้วนแล้วแต่มีคนเพียงหนึ่งพันหรือราวๆ นั้น ทว่าพวกเขาได้ควบคุมชะตากรรมของจักรวรรดิ หากเจ้าจะถามว่าพวกเขาแข็งแกร่งเพียงใด ข้า อาจารย์ของพวกเจ้าก็เป็นเพียงแค่ศิษย์สายนอกของสำนักสลายจันทร์เท่านั้น” เจ้าเมืองกว่านจวินถอนหายใจ
ศิษย์สายนอก?
เป่ยโม่ยและคนอื่นๆ แข็งค้าง หนานกงฟั่นและหยางชิงชั่นส่ายศีรษะอย่างไม่เชื่อ
“ผู้ที่แข็งแกร่งเช่นเจ้าเมืองกว่านจวินกลับเป้นได้เพียงศิษย์สายนอก เช่นเดียวกับข้าในพรรคจ้าว…”
ระลอกคลื่นปรากฏขึ้นในหัวใจของจ้าวเฟิง พวกเขานั้นไม่จำเป็นต้องรู้ว่าสำนักนั้นแข็งแกร่งเพียงใด เพียงแค่การที่เจ้าเมืองกว่านจวินนั้นเป็นเพียงศิษย์สายนอกก็สามารถบอกได้แล้ว
หลังจากรู้ความจริง อัจฉริยะทั้งหกรู้สึกราวกับวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง ความสำเร็จของพวกเขานั้นนับถือเป็นแนวหน้าในนครหลวงกว่านจวิน ทว่าเมื่อเทียบกับสำนักแล้ว พวกเขานั้นราวกับเป็นเพียงมดปลวก
ทั้งสองนั้นไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน เช่นเดียวกับที่มนุษย์หาได้ใส่ใจมด
“สำนักที่ควบคุมจักรวรรดิเมฆานั้นคือสำนักสลายจันทร์ และผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสุดยอดก็กระทั่งเข้าสู่ขอบเขตที่เหนือกว่าหนทางแห่งเซียน…” เมื่อเอ่ยถึงตอนนี้ สีหน้าของความนับถือและปรารถนาก็ปรากฏขึ้นในแววตาของชายวัยกลางคน