บทที่ 95 : ร่างในชุดคลุมปรากฏตัว
“เจ้าเมืองกว่านจวิน!”
“ท่านเจ้าเมือง!”
เสียงตะโกนจำนวนนับไม่ถ้วนดังขึ้นจากกำแพงเมือง เย่หลินเหลียน แม่ทัพเฮิง องครักษ์สาม และผู้ฝึกตนขั้นเก้าคนอื่นๆ ต่างผ่อนคลายลง
ทุกคนมองไปยังร่างในชุดสีเงินทองด้วยความตื่นเต้น ชื่นชม และเคารพ บุรุษผู้นั้นราวกับเทพเซียนด้วยแสงสีเงินที่ส่องประกายรอบร่างขณะที่เขาบดขยี้จ้าวสัตว์ปีศาจในเสี้ยวพริบตา
พลังที่หลงเหลือสามารถฆ่าสัตว์ปีศาจระดับสุดยอดใกล้ๆ ได้ในเสี้ยววินาที สร้างความตื่นตะลึงให้กับทุกคน
โบร๋ววว
รอยเลือดปรากฏขึ้นบนร่างของสุนัขสีดำขณะที่มันมองไปยังเจ้าเมืองกว่านจวินอย่างระแวดระวัง
“เยี่ยม! เจ้าเมืองกว่านจวินจะฆ่าจ้าวสัตว์ปีศาจ!”
สีหน้าของเหล่าผู้ฝึกตนที่เคยเต็มไปด้วยความหวาดกลัวแปรเปลี่ยนไปเป็นความยินดีและคาดหวัง ในสายตาของพวกเขา จ้าวเมืองกว่านจวินนั้นเป็นเทพเจ้าที่สามารถเอาชนะทุกคนบนโลกได้
จ้าวเฟิงพ่นลมหายใจออกขณะที่ยืนอยู่บนกำแพงเมือง ก่อนหน้านั้นเขาได้เตรียมตัวที่จะหนีหากทุกสิ่งเข้าสู่จุดที่ย่ำแย่ที่สุด และดวงตาซ้ายของเขาได้คำนวณทางที่ดีที่สุดในการหลบหนีไว้แล้ว
ในตอนนั้น ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงได้กวาดสำรวจร่างของเจ้าเมืองกว่านจวินและจ้าวสัตว์ปีศาจ พลังของทั้งสองนั้นเหนือกว่าขั้นเก้าแห่งหนทางผู้ฝึกตนและเข้าสู่หนทางเซียนอย่างไม่ต้องสงสัย
ฟุ่บ!
จ้าวเมืองกว่านจวินลอยลงจากกลางอากาศและส่งคลื่นอากาศไปรอบด้าน
“เจ้าเมืองกว่านจวินได้ก้าวข้ามขั้นเก้าแห่งหนทางผู้ฝึกตน ด้วยพลังของเขาสามารถใช้ควบคุมสายลมและทำให้เขาลอยตัวได้” จ้าวเฟิงสรุป
การบินเป็นความฝันของคนจำนวนนับไม่ถ้วน แม้ว่าผู้ฝึกตนในหนทางแห่งเซียนนั้นจะไม่อาจบินได้ แต่พลังของพวกเขาก็ยังสามารถทำให้ผู้ฝึกตนขั้นเก้าต้องมองพวกเขาด้วยความหวาดกลัว
“เจ้าตัวบัดซบ! นี่คือโลกของมนุษย์ กลับไปยังป่าเมฆาคล้อยเสีย!” เจ้าเมืองกว่านจวินยืนอย่างสูงส่งบนพื้นและเอ่ยสั่ง
ภายใต้แรงกดดันจากพลังฝึกตนในหนทางแห่งเซียนของเขา สัตว์อสูรนับแสนได้สั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว หากจ้าวสัตว์ปีศาจไม่ได้อยู่ที่นี่ พวกมันย่อมล่าถอยไปนานแล้ว
ตึก! ตึก!
จ้าวเฟิงรู้สึกได้ถึงแรงกดดันบางอย่าง ความรู้สึกอุ่นร้อนแผ่กระจายออกจากดวงตาซ้ายของเขาและพลุ่งพล่านไปทั่วร่าง ทำให้แสงในมิติในดวงตาซ้ายของเขาเข้าใกล้ 7.9 ฟุต
ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้หัวใจของจ้าวเฟิงเต้นเร็วขึ้น ตั้งแต่ที่เขาหลอมรวมเข้ากับดวงตาซ้าย จ้าวเฟิงก็รู้สึกได้ถึงความสามารถแฝงที่ไร้ขีดจำกัดครั้งแล้วครั้งเล่า ในครานี้ พลังฝึกตนของเขาได้เพิ่มขึ้นภายใต้แรงกดดันภายนอก บัดนี้ จ้าวเฟิงรู้สึกว่าความสามารถแฝงในอนาคตของเขาได้เหนือกว่ากายครึ่งจิตวิญญาณแล้ว
ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดนั้นเอง การต่อสู้เบื้องล่างก็เริ่มต้นขึ้น
โบร๋วววว
จ้าวสัตว์ปีศาจโบกกรงเล็บของมันราวกับสายฟ้าสีดำที่แล่นวาบผ่านท้องฟ้า แรงระเบิดนั้นได้ทำลายทุกสิ่งในระยะสามสิบเมตร
เพียงแค่พลังทำลายจากมันทำให้ศีรษะของจ้าวเฟิงเสียวแปล๊บ หากพวกเขาปล่อยให้จ้าวสัตว์ปีศาจเข้ามาในนครหลวงกว่านจวิน ผลลัพธ์คงไม่อาจคาดคิดได้
ระลอกสิบกางเขนพิพากษา!
แขนของเจ้าเมืองกว่านจวินพลันแปลเปลี่ยนไปเป็นแสงสีเงินเฉียบคม ประกายแสงส่องวาบวาดผ่านอากาศมุ่งตรงไปยังร่างของจ้าวสัตว์ปีศาจและตัดออกเป็นชิ้นในเสี้ยววินาที
ตูม!
พื้นดินสั่นสะเทือนพร้อมกับที่ฝุ่นฟุ้งกระจายขึ้น เสี้ยววินาทีต่อมา ร่างทั้งสองก็หายไป
เปรี้ยง! เปรี้ยง! ตูม!
เจ้าเมืองกว่านจวินและจ้าวสัตว์ปีศาจได้เข้าปะทะกันอย่างรวดเร็ว เพียงพลังที่หลงเหลือก็เพียงพอที่จะฆ่าปักษาใกล้ๆ ได้ ร่างทั้งสองนั้นเล็กจ้อยเมื่อเทียบกับสัตว์ปีศาจตัวอื่น ทว่ากลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมานั้นทำให้สัตว์อสูรอื่นๆ ต้องร่างสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
ผู้ฝึกตนบนกำแพงเมืองกลั้นลมหายใจขณะที่เฝ้ามอง แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถกระทำทำความเข้าใจในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น มีเพียงจ้าวเฟิงที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนด้วยสายตาของเขา
“พลัง ความเร็ว พลังทำลาย… เป็นไปได้อย่างไรที่มนุษย์จะมาถึงระดับนี้?”
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึก และเพราะว่าเขาเห็นได้ชัดกว่า เขาจึงเข้าใจถึงความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนในหนทางแห่งเซียน
ผู้ฝึกตนในหนทางแห่งเซียนนั้นอาจตัดสินชะตาของจักรวรรดิในสิบสามจักรวรรดิได้ ดังนั้นแล้วกระทั่งราชาก็ยังต้องเคารพคนเหล่านี้
เจ้าเมืองกว่านจวินเป็นหนึ่งในนั้น เขามีพลังเป็นที่สุดในนครเมฆา
เมื่อคนผู้หนึ่งเข้าถึงหนทางแห่งเซียน เวลาในการต่อสู้นั้นจะสั้นนัก ทว่าจำนวนกระบวนท่าที่ปะทะกันนั้นเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ใจกลางการระเบิดนั้น จ้าวสัตว์ปีศาจได้คำรามอย่างเจ็บปวดขณะที่เพลิงทมิฬได้ลดปริมาณลง ในเวลาเดียวกัน แสงสีเงินบนร่างของจ้าวเมืองกว่านจวินได้สว่างขึ้น
“เจ้าเมืองกว่านจวินนั้นแทบจะไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในขอบเขตเดียวกัน เขามีวิชาและทักษะที่ดีกว่า” จ้าวเฟิงมองร่างทั้งสอง
โบร๋ววว
ความกลัวและหวาดระแวงปรากฏขึ้นในดวงตาของจ้าวสัตว์ปีศาจขณะที่มันล่าถอยอย่างรวดเร็ว การกระทำของมันทำให้สัตว์อสูรนับแสนเบื้องหลังพลันตกอยู่ในความโกลาหล
หนี?
เจ้าเมืองกว่านจวินหัวเราะเย็นชาก่อนจะโบกแขนผ่านอากาศ ขณะที่เขาทำเช่นนั้น ประกายแสงยาวแปดเมตรก็ได้ลอยไปหาร่างของจ้าวสัตว์ปีศาจ ทิ้งร่องรอยบาดลึกถึงกระดูกไว้
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ
ร่างทั้งสองพุ่งผ่านกองทัพสัตว์อสูร
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้เวรพวกนี้มันหนีแล้ว ทุกคนโจมตี!”
“สัตว์อสูรกับสัตว์ปีศาจเหล่านี้มีชิ้นส่วนที่มีค่า เราสามารถขายได้”
เหล่าผู้ฝึกตนในนครหลวงกว่านจวินกกระตือรือร้นร้นพุ่งออกจากเมือง
“หนานกงฟั่น จ้าวเฟิง จ้าวหยูเฟ่ย เฟิงฮันเยว่… เราจะตามไปและดูว่าท่านอาจารย์จัดการจ้าวสัตว์ปีศาจอย่างไร” หยางชิงชั่นเอ่ยอย่างตื่นเต้น
อีกด้านนั้น เป่ยโม่ยได้ไล่ตามจ้าวเมืองกว่านจวินไปเรียบร้อยแล้ว
“ทหาร ดันไป!” แม่ทัพเฮิงออกคำสั่งกับกองทัพ ขณะที่เหล่าผู้ฝึกตนลอยไปยังกองทัพสัตว์อสูร
“ได้” จ้าวเฟิงผงกศีรษะและไปพร้อมกับศิษย์คนอื่นๆ เพื่อตามไปยังทิศที่ผู้เป็นอาจารย์มุ่งหน้าไป
จ้าวเฟิงนั้นสนใจอย่างมากเกี่ยวกับวิธีที่ผู้ฝึกตนในหนทางแห่งเซียนใช้ในการ่อสู้ ดวงตาซ้ายของเขาสามารถเห็นภาพของเจ้าเมืองกว่านจวินและจ้าวสัตว์ปีศาจต่อสู้กันได้
หลังติดตามไปนับสิบลี้
เจ้าเมืองกว่านจวินและจ้าวสัตว์ปีศาจต่างหยุดลงที่ป่าใกล้ๆ จ้าวสัตว์ปีศาจนั้นเต็มไปด้วยอาการบาดเจ็บ โลหิตไหลหยดลงบนพื้นขณะที่มันคุกเข่าลวงบนพื้นไม่อาจขยับร่างได้
ร่างของเจ้าเมืองกว่านจวินแข็งเกร็งและไม่ขยับ
หืม? สถานการณ์เป็นเช่นไรกัน?
จ้าวเฟิงสงสัยเล็กๆ ในตอนนี้ เป่ยโม่ยอยู่ห่างออกไป 24 ลี้ ไม่อาจเห็นได้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นได้อย่างชัดเจน ทว่าจ้าวเฟิงที่อยู่ห่างออกไปนับสิบลี้มองเห็นสถานการณ์ได้ จ้าวสัตว์ปีศาจนั้นไม่ได้คุกเข่าลงเพราะเจ้าเมืองกว่านจวิน เป็นเพราะแผ่นหลังของมันนั้นหันให้กับเขาอยู่
“นั่นผู้ใด!?”
เจ้าเมืองกว่านจวินนั้นเคร่งเครียดอย่างมากขณะที่ปลดปล่อยพลังจิตอันน่าหวาดเกรงออกมา
“ชิชิ… มีผู้ฝึกตนหยูฟ่านอยู่ในนครหลวงกว่านจวิน…”
ร่างในชุดคลุมนั่งอยู่เหนือปักษาสีดำ ภายใต้ผ้าคลุมปรากฏดวงตาสีฟ้าน้ำแข็งจับจ้องไปยังร่างของเจ้าเมืองกว่านจวินพร้อมหัวเราะ
นั่นเขา!
หัวใจของจ้าวเฟิงสั่นสะท้านขณะที่เห็นภาพนี้ในระยะห่างออกไปนับสิบลี้ เขาเห็นคนผู้นี้มาก่อนในระหว่างภารกิจกวาดล้างโจร และจ้าวเฟิงได้มีความรู้สึกว่ากองทัพสัตว์อสูรนั้นมีความเกี่ยวข้องกับเขา
“เหตุใดเจ้าจึงควบคุมกองทัพสัตว์อสูรมาจู่โจมเมืองมนุษย์? จ้าไม่หวาดกลัวการร่วมตัวกันของสิบสามจักรวรรดิหรือ?” เจ้าเมืองกว่านจวินตวาดขณะที่แววตาสั่นระริก
พรึ่บ!
ร่างของปักษาสีดำกลางอากาศพลันกระพือปีกโฉบตรงมายังร่างของเขา สีหน้าของชายวัยกลางคนพลันแปรเปลี่ยนไปขณะที่ถอยไปนับสิบหลา สถานที่ที่เขาเคยยืนอยู่พลันพังทลายลงในเสี้ยววินาทีขณะที่จ้าวสัตว์ปีศาจได้เห่าหอนอย่างเศร้าสร้อยก่อนสิ้นชีพ
เฮือก
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไปอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเห็นภาพนั้น
ร่างของปักษาสีดำใต้ร่างในชุดคลุมนั้นแข็งแกร่งกว่าสุนัขสีดำนั่นอย่างน้อยสองเท่า แน่นอนว่าเขาทำได้เพียงมองเห็น ไม่อาจได้ยินในสิ่งที่ทั้งหมดพูดคุยได้
ในขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน สีหน้าของเจ้าเมืองกว่านจวินได้หมองหม่นลงเรื่อยๆ
“ชิชิชิ การละเล่นในวันนี้จบลงเพียงเท่านี้…”
ในที่สุด ร่างในชุดคลุมพร้อมด้วยดวงตาสีฟ้าน้ำแข็งได้กวาดมองไปยังร่างของเป่ยโม่ยที่เกือบตามมาทันและหายไปบนท้องฟ้า
เมื่อเป่ยโม่ยไปถึง ร่างลึกลับใต้ผ้าคลุมเช่นเดียวกับปักษายักษ์สีดำก็ได้กลายเป็นเพียงจุดสีดำบนท้องฟ้าแล้ว
“อาจารย์ เกิดอันใดขึ้นกัน? เขาคือผู้ใด?” เป่ยโม่ยเอ่ยถามอย่างสงสัยขณะที่เขามองตามร่างที่เลือนหายไป
เจ้าเมืองกว่านจวินเงียบงันไปชั่วครู่ก่อนจะพ่นลมหายใจออก
“อันตรายได้ปรากฏขึ้นต่อสิบสามอาณาจักรแห่งป่าเมฆาคล้อยแล้ว… ทว่านี่ก็ยังนับเป็นโอกาสสำหรับเจ้า…”
ขณะที่เขาเอ่ยเช่นนั้น เขาก็ได้มองไปยังศิษย์เบื้องหน้าด้วยความคาดหวัง
โอกาส?
จ้าวเฟิง หยางชิงชั่น เฟิงฮันเยว่ และจ้าวหยูเฟ่ยได้มาถึง