Skip to content
Home » Blog » Lord of the Mysteries 119

Lord of the Mysteries 119

ตอนที่ 119 : ถนนสายล่างที่แท้จริง

เมืองทิงเก็น บ้านเลขที่ 2 ถนนดารารัตนร์

หลังจากไคลน์ทิ้งโน้ตเสร็จ มันเดินออกจากบ้านมาพบกับเลียวนาร์ดซึ่งกำลังยืนรอ

เส้นผมสีดำของนักกวีจอมปลอมเคยสั้นติดหนังหัว แต่ผ่านไปหลายเดือนเริ่มยาวและยุ่งเหยิงเนื่องจากขาดการดูแลตกแต่ง

กระนั้น ผมหยักศกเล็กๆ ของมันดันกลมกลืนกับภาพลักษณ์นักกวีขี้เซานัยน์ตาเขียวมรกตอย่างลงตัว

นี่คือตัวอย่างของคำว่า…

ถ้าเบ้าหน้าดี จะไว้ทรงอะไรก็ไม่มีปัญหา

ไคลน์รำพันก่อนชี้นิ้วไปทางถนนกางเขนเหล็กซึ่งอยู่ติดกัน

“ฟรายกำลังรอเราที่นั่นหรือ?”

“ถูกต้อง”

เลียวนาร์ดก้มจัดระเบียบเสื้อเชิ้ตซึ่งถูกปล่อยชายไว้นอกกางเกง

“ได้เบาะแสอะไรจากเอกสารบ้างไหม?”

ไคลน์กำลังเดินบนถนนด้วยไม้ค้ำเลี่ยมเงินในมือซ้าย มันหันมาตอบเลียวนาร์ด

“ไม่เลย ผมมองไม่เห็นความสัมพันธ์ด้านเวลา สถานที่เกิดคดี หรือสาเหตุการตาย คุณเองก็คงทราบใช่ไหม หากจะประกอบพิธีกรรมที่เกี่ยวพันกับเทพนอกรีต ต้องเลือกช่วงเวลาและสถานที่ให้เหมาะสมกับพลังของเทพตนดังกล่าว”

เลียวนาร์ดใช้ข้อมือของมันสัมผัสกับปืนลูกโม่สั่งทำซึ่งถูกซ่อนไว้ด้านในเสื้อเชิ้ต

“ไม่เสมอไป จากประสบการณ์ของผม เทพนอกรีตบางตนพึงพอใจได้ง่ายมาก ขอเพียงมันชื่นชอบในเนื้อหาของพิธีกรรม แล้วก็…อาจมีหลายคดีซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติปะปนอยู่ เป็นเพียงความตายตามธรรมชาติของชาวเมือง แต่บังเอิญเกิดขึ้นระหว่างความผิดปรกติพอดี พวกเราต้องรีบคัดกรองคดีเหล่านั้นออกไปโดยเร็ว”

ไคลน์หันไปตอบ

“นั่นคือสาเหตุหลักที่หัวหน้าส่งพวกเราไปตรวจสอบจุดเกิดเหตุ ต้องพยายามตัดคดีไม่เกี่ยวข้องทิ้ง…เลียวนาร์ด ผมสงสัยมานานแล้ว พฤติกรรมของคุณคล้ายกับเชี่ยวชาญคดีเหนือธรรมชาติอย่างมาก…ทั้งที่ความเป็นจริง คุณเพิ่งสังกัดหน่วยเหยี่ยวราตรีได้เพียงสี่ปี ตามค่าเฉลี่ย ภายในหนึ่งเดือนจะเกิดคดีเหนือธรรมชาติขึ้นสองครั้ง โดยเกินกว่าครึ่งเป็นคดีพื้นฐานซึ่งไม่ยุ่งยากซับซ้อน…แล้วคุณสั่งสมประสบการณ์จากที่ใด…?”

ไคลน์สัมผัสได้ เลียวนาร์ด·มิเชลคือเหยี่ยวราตรีซึ่งมีพฤติกรรมผิดแผก ไม่เพียงแสดงท่าทีสงสัยตนบ่อยครั้ง แต่ยังเป็นบุรุษอารมณ์แปรปรวนตลอดเวลา ทั้งเงียบขรึม ฉุนเฉียว ขี้เล่น หรือกระทั่งขึงขังจริงจัง

แต่ละครั้งอารมณ์สุดโต่งจนผิดวิสัย

“หรือว่าคุณเองก็เคยเกิดเหตุการณ์ผิดปรกติกับร่างกายเหมือนกัน? เหตุการณ์ซึ่งทำให้คุณเชื่อว่าตนคือพระเอกของโลก…”

ไคลน์คาดเดาเรื่อยเปื่อยตามบทภาพยนตร์ นิยาย หรือละครที่เคยดูในสมัยยังเด็ก

เมื่อได้ยินดังนั้น เลียวนาร์ดยิ้มและอธิบาย

“เป็นเพราะคุณเพิ่งเข้าร่วมเหยี่ยวราตรีได้ไม่นานต่างหาก ประสบการณ์ยังอ่อนหัด วิหารศักดิ์สิทธิ์จะคอยสรุปข้อมูลคดีเหนือธรรมชาติทั้งหมดของเหยี่ยวราตรีจากทุกมุขมณฑล และกระจายส่งให้สมาชิกเหยี่ยวราตรีอ่านทุกครึ่งปี นอกจากเอกสารวิชาเร้นลับแล้ว มุขมณฑลเขตทิงเก็นยังมีเอกสารรวมคดีเหนือธรรมชาติเก็บไว้เป็นจำนวนมากหลังบานประตูยานิส คุณสามารถทำเรื่องกับหัวหน้าเพื่อขอเข้าไปอ่านได้”

ไคลน์ผงกศีรษะด้วยใบหน้าบรรลุสัจธรรม

“หัวหน้าไม่เคยบอกผมเลย…”

และมันไม่เคยมีเหตุให้ต้องเข้าไปด้านในประตูยานิสด้วยตัวเองมาก่อน

เลียวนาร์ดยิ้ม

“ผมคิดว่าคุณควรชินชากับพฤติกรรมของหัวหน้าได้แล้ว ไม่ต้องรอให้เขาคอยเตือนหรือบอกเล่าสิ่งใดก่อน…”

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เลียวนาร์ดเสริมอย่างมีเลศนัย

“หากวันใดหัวหน้าสามารถจดจำเรื่องราวได้ทั้งหมด วันนั้นต่างหากที่พวกเราควรระวังตัวมากเป็นพิเศษ”

นั่นคือสัญญาณการคลุ้มคลั่งหรือ?

ไคลน์พยักหน้าเบาๆ

“ผมสงสัยมานานแล้ว อาการขี้ลืมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของหัวหน้า หรือเส้นทางผู้ไร้หลับล้วนประสบเหมือนกันหมด?”

ในทางการแพทย์ หากสูดดมกลิ่นน้ำมันรัตติกาลเข้าไปเป็นจำนวนมาก บุคคลดังกล่าวอาจประสบปัญหาความจำเสื่อม

“กล่าวให้ถูกคือ นั่นเป็นอาการปรกติของลำดับ ‘ฝันร้าย’ พวกเขามองเห็นความฝันเสมือนความจริง ยิ่งนานวันก็ยิ่งแยกได้ยากว่าสิ่งใดฝัน และสิ่งใดจริง ความทรงจำผสมกลมกลืนจนเริ่มสับสน สมองเต็มไปด้วยความทรงจำขยะซึ่งไม่ใช่เรื่องจริง…”

ขณะเลียวนาร์ดกำลังจะเล่าต่อ มันชะงักคำพูดเมื่อเดินมาถึงถนนกางเขนเหล็กและเห็น ‘ผู้เก็บซากศพ’ ฟราย กำลังยืนรอภายในสถานีรถม้าสาธารณะ

ฟรายสวมชุดกันลมสีดำและถือกล่องกระเป๋าสีเดียวกันไว้ในมือ ด้วยผิวหนังแสนขาวซีด หากไม่รู้จักกัน ไคลน์คงคิดว่าชายคนนี้คงใกล้หมดสติเต็มที

ออร่าเย็นยะเยียบรอบกายส่งผลให้ชาวเมืองทั่วไปภายในสถานีต่างรักษาระยะห่าง

หลังจากก้มหัวทักทายกันพอเป็นพิธี คณะเหยียวราตรีทั้งสามคนเดินผ่านร้านขนมปังสลินและเลี้ยวเช้าซอยถนนสายล่าง

พวกมันเผชิญเสียงเอะอะวุ่นวายทันที

พ่อค้าขายซุปหอยนางรม ปลาทะเล รวมถึงเบียร์ขิง ต่างเดินตะโกนโหวกเหวกบนท้องถนนเพื่อเรียกความสนใจจากลูกค้า ส่งผลให้ผู้คนเดินผ่านไปมาต้องชะลอความเร็วอย่างไม่มีทางเลือก

เพิ่งเลยห้าโมงเย็นได้ไม่นาน คนทำงานบางกลุ่มเริ่มเดินทางกลับถนนกางเขนเหล็ก ความแออัดเนืองแน่นจะเป็นเรื่องปรกติของทุกวัน

เด็กเล็กบางคนลอบแฝงตัวในกลุ่มผู้คนพลางเหลียวซ้ายแลขวา พวกมันมองหาเหยื่อที่เหม่อลอยหรือไม่ระมัดระวังตัวเองปล่อยให้ทรัพย์สินถูกฉกชิงไปง่ายดาย

ไคลน์แวะเวียนมาที่นี่บ่อยครั้ง เนื่องจากมีอาหารราคาประหยัดวางขาย แถมเมื่อก่อนเคยพักอาศัยบนถนนเส้นนี้ จึงตัดสินใจหันไปออกปากเตือนพวกพ้อง

“ระวังหัวขโมยด้วย”

เลียวนาร์ดยิ้ม

“พวกมันต่างหากที่ต้องระวัง”

นักกวีเก๊ดึงชายเสื้อเชิ้ตขึ้นจนเผยให้เห็นซองปืนเหน็บเอวและลูกโม่แวววาวรุ่นสั่งทำพิเศษ

ทันใดนั้น ทุกสายตาซึ่งกำลังจดจ้องมีอันต้องเบือนไปทางอื่น ถนนโล่งขึ้นเล็กน้อย ผู้คนด้านหน้าจึงเร่งความเร็วแทรกตัว

ไคลน์ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้าวขายาวเพื่อไล่ตามเลียวนาร์ดและฟรายให้ทัน ขณะเดียวกันก็พยายามก้มหน้าหลบเผื่ออาจเดินสวนกับคนรู้จัก

เบ็นสันและเมลิสซ่ายังคงมีสายพันธ์กับเพื่อนบ้านเก่าบนถนนเส้นนี้ และเหนือสิ่งอื่นใด ครอบครัวของตนย้ายไปอยู่ไม่ไกลจากเดิมมากนัก

ทั้งสามเดินผ่านจุดเนืองแน่นจนเข้าสู่ถนนสายล่างตอนปลาย หรืออีกชื่อหนึ่งคือ

ถนนสายล่างที่แท้จริง

ในทันทีทันใด บรรยากาศสองข้างทางพลันอึมครึมหม่นหมอง ผู้คนต่างสวมชุดเก่าโทรมและขาดวิ่น สกปรกหมักหมมคล้ายกับไม่เคยถูกซักมาก่อนสักครั้ง

ชาวบ้านที่นี่ต่างเลี่ยงไม่เข้าใกล้กลุ่มคนมีอันจะกินซึ่งส่วมใส่เสื้อผ้าราคาแพง

อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเพียงฉากหน้า ภายในใจแอบเหลือบมองด้วยสายตาหิวกระหาย ราวกับพญาเหยี่ยวรอโฉบเหยื่อเมื่อสบโอกาส

แต่ปืนตรงเอวของเลียวนาร์ดช่วยปัดเป่าทุกภัยคุกคามให้ไม่เกิดขึ้น

“เริ่มสืบจากคดีเมื่อวานก่อนก็แล้วกัน ผู้ตายคือมาดามลอวิส ดำรงชีพด้วยการขายกล่องไม้ขีดไฟ”

เลียวนาร์ดยืนอ่านโน้ตพลางชี้นิ้ว

“บ้านเลขที่ 134…ชั้นหนึ่ง”

ขณะสามเหยี่ยวราตรีเดินตรงไปทางอาคาร เด็กเล็กซึ่งเคยวิ่งเล่นซนบนถนนต่างหนีหลบมุมด้วยสีหน้าหวาดกลัวปนสงสัย

“ดูแขนขาพวกเขาสิ เล็กยิ่งกว่าไม้ขีด”

เลียวนาร์ดส่ายศีรษะก่อนเดินเข้าไปในอาคารบ้านเลขที่ 134 เป็นคนแรก

สายลมเหม็นหืนโชยปะทะจมูกไคลน์ในพริบตา มันสัมผัสถึงกลิ่นจางๆ ของฉี่ เหงื่อ เชื้อรา รวมถึงกลิ่นถ่านไหม้

ชายหนุ่มจำใจต้องใช้มือปิดจมูกอย่างไม่มีทางเลือก ก่อนจะเหลือบเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ‘บิช·เมาท์บัตเท่น’ ยืนรอด้านใน

เมาท์บัตเท่นหนวดเหลืองอมน้ำตาลชำเลืองมองดาวสารวัตรบนบ่าเลียวนาร์ดด้วยสีหน้าริษยา

“ผมบอกให้ลอวิสรออยู่ในห้องแล้วครับ”

เมาท์บัตเท่นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่าอันเป็นเอกลักษณ์

มันจดจำไคลน์ไม่ได้ ร่างกายชายหนุ่มกำยำขึ้นจากเดิมมาก บุคลิกดูภูมิฐาน แทบไม่หลงเหลือบรรยากาศรอบตัวเก่าๆ

แต่ส่วนหนึ่งเพราะเมาท์บัตเท่นมิได้ใส่ใจ สิ่งเดียวในหัวคือ ตนควรทำอย่างไรจึงจะได้รับความชื่นชอบจากนายตำรวจทั้งสาม

เมาท์บัตเท่นนำทางเลียวนาร์ดตรงไปยังห้องพักตระกูลลอวิสบนชั้นหนึ่ง

หอพักที่นี่มีโครงสร้างเรียบง่าย ด้านในสุดของห้องเป็นเตียงสองชั้นสภาพย่ำแย่ ติดกับเตียงเป็นโต๊ะไม้ บนโต๊ะมีกระปุกกาวและกระดาษแข็ง ตรงมุมห้องมีลังไม้ขีดวางกองเรียงรายระเกะระกะ

ตู้หนึ่งเดียวภายในห้องคือตู้กับข้าวเก่าแก่ ทำหน้าที่บรรจุเครื่องครัวและเสื้อผ้าไว้ด้วยกัน

นับจากประตูห้อง ซ้ายและขวามือประกอบด้วยอ่างล้างหน้า เตาแก๊ส ถ่านหินและเศษไม้อีกจำนวนหนึ่ง กึ่งกลางห้องเป็นเสื่อสกปรกสองผืนใหญ่

ชายคนหนึ่งกำลังหลับบนเสื่อโดยห่มเศษผ้าขาดวิ่นช่วยดับหนาว เกะกะขวางทางแทบไม่เหลือพื้นที่ให้เดินผ่านเข้าออก

ร่างของสุภาพสตรีลอวิสถูกวางไว้บนเตียงชั้นล่าง ตัวแข็งทื่อและเย็นเฉียบ ปราศจากสัญญาณชีพโดยสิ้นเชิง

ข้างศพหล่อนเป็นชายวัยสามสิบ เส้นผมมันเยิ้ม บรรยากาศรอบตัวหดหู่สุดขีด แววตาหม่นหมองปราศจากประกายใส

“ลอวิส! นายตำรวจทั้งสามต้องการชันสูตรศพและซักถามแกเล็กน้อย!”

บิช·เมาท์บัตเท่นตะโกนสุดเสียงโดยไม่แยแสบุคคลบนเสื่อซึ่งกำลังนอนหลับ

บุรุษห่อเหี่ยวข้างเตียงรีบลุกขึ้นพลางขมวดคิ้วถาม

“ตำรวจเคยตรวจสอบศพและถามผมไปแล้วไม่ใช่หรือ?”

ชายหดหู่ส่วมเครื่องแบบทำงานสีฟ้าอมเทา ร่องรอยปะชุนซ่อมแซมปรากฏหลายจุด

“บอกให้ทำก็ทำ! จะถามอะไรนักหนา!?”

เมาท์บัตเท่นคำรามข่มขวัญอีกฝ่าย ก่อนจะหันกลับมาพูดกับเลียวนาร์ดด้วยน้ำเสียงนอบน้อม

“ท่านครับ หมอนั่นคือลอวิส สามีของมาดามลอวิสซึ่งนอนไร้วิญญาณอยู่บนเตียง จากการตรวจสอบเบื้องต้นของเรา หล่อนเสียชีวิตเนื่องจากล้มป่วยกะทันหัน”

ไคลน์พยายามเขย่งเท้าเพื่อมองให้เห็นสภาพศพชัดเจน ด้านผู้เก็บซากศพ ฟราย มันไม่กล่าวสิ่งใด สีหน้ายังคงเย็นชาไร้อารมณ์

ฟรายเดินเข้าไปตบบ่ามิสเตอร์ลอวิสอย่างอ่อนโยนก่อนจะส่งสัญญาณขอทางเข้าไปตรวจสอบศพอย่างละเอียด

ไคลน์จ้องมองไปยังชายปริศนาซึ่งกำลังนอนหลับบนเสื่อสกปรก

“เขาคือ?”

“ผ…ผู้เช่าของผมเอง”

มิสเตอร์ลอวิสลูบหน้าผากพลางตอบกระอักกระอ่วน

“ห้องนี้มีค่าเช่าสัปดาห์ละ สามซูล สิบเพนนี ตัวผมเป็นแค่คนงานท่าเรือ ส่วนภรรยาประกอบกล่องไม้ขีดขาย รายได้ของเธอจะตกราว สองเพนนีกับอีก ¼ เพนนีต่อหนึ่งลังไม้ขีดที่ประกอบเสร็จ น…หนึ่งลังมี หนึ่งร้อยสามสิบกล่อง แถมพวกเรามีลูกต้องเลี้ยงดู…ผมจึงให้เช่าที่ว่างภายในห้อง โดยคิดราคาสัปดาห์ละ หนึ่งซูลต่อพื้นที่ขนาดเทียบเท่าเสื่อหนึ่งผืน ยังมีผู้เช่าอีกหนึ่งคน เขาทำงานเป็นคนยกของภายในโรงละคร โดยจะไม่กลับถึงห้องก่อนสี่ทุ่มเด็ดขาด จึงขายสิทธิ์เช่าเสื่อตอนกลางวันให้กับชายที่กำลังนอนอยู่…เขาเองก็เป็นพนักงานโรงละครเช่นกัน แต่เข้าเวรช่วงดึก หมอนี่จ่ายค่าเช่าเสื่อเพียงสัปดาห์ละหกเพนนีเท่านั้น”

ขณะฟังอีกฝ่ายอธิบายด้วยท่าทางตะกุกตะกัก ไคลน์ชำเลืองมองลังไม้ขีดตรงมุมห้อง

ลังใหญ่บรรจุไม้ขีด หนึ่งร้อยสามสิบกล่อง แต่ละกล่องขายได้เพียง 2.25 เพนนีเท่านั้นเองหรือ?

ซื้อขนมปังดำห่วยๆ ยังไม่ได้ด้วยซ้ำ…

แล้วหล่อนประกอบได้กี่ลังในหนึ่งวัน?

เลียวนาร์ดชำเลืองมองรอบห้องหนึ่งหนพลางส่งเสียงซักถาม

“ก่อนตาย ภรรยาของคุณมีท่าทีผิดปรกติบ้างไหม?”

ลอวิสเคยถูกถามเช่นนี้มาแล้ว มันรีบชี้นิ้วไปบนหน้าอกซ้ายของตัวเอง

“เมื่อสัปดาห์ก่อน หรืออาจนานกว่านั้นเล็กน้อย เธอกล่าวว่ารู้สึกแน่นตรงบริเวณนี้และหายใจไม่ทันบ่อยครั้ง”

โรคหัวใจ? ตายตามธรรมชาติ?

ไคลน์ถามขัด

“คุณเห็นเธอตายกับตาไหม?”

ลอวิสพยายามเรียกความทรงจำ

“หล่อนจะเลิกงานตอนพระอาทิตย์ตกดินของทุกวัน เนื่องจากค่าเทียนและแก๊สสูงกว่ากำไรจากกล่องไม้ขีด…วันที่เกิดเหตุ เธอบอกกับผมว่าเหนื่อยมากและขอนอนพักผ่อน กำชับให้ผมช่วยดูแลลูกแทน พอรู้ตัวอีกที เธอก็ไม่หายใจแล้ว…”

ลอวิสมิอาจเก็บซ่อนสีหน้าแสนเจ็บปวดขณะเล่าเหตุการณ์

ไคลน์และเลียวนาร์ดยังคงสอบถามลอวิสต่อเนื่อง แต่พวกมันกลับไม่พบความผิดปรกติในสาเหตุการตายแม้แต่จุดเดียว

หลังจากมองหน้ากันสักพัก เลียวนาร์ดหันไปบอกกับสามีของผู้ตาย

“มิสเตอร์ลอวิส คุณช่วยออกไปนอกห้องสักครู่ได้ไหม ทางเราจะชันสูตรศพภรรยาคุณ เชื่อผมเถอะ คุณไม่ต้องการเห็นภาพดังกล่าวแน่นอน”

“ข…เข้าใจแล้วครับ”

ลอวิสตอบด้วยใบหน้าขาวซีด

บิช·เมาท์บัตเท่นเดินเข้าไปเตะชายที่กำลังหลับบนเสื่อเต็มแรงจนอีกฝ่ายสะดุ้งตื่น จากนั้นก็ไล่ตะเพิดออกไปนอกห้องชั่วขณะ

“ได้อะไรไหม?”

เลียวนาร์ดถามฟราย

“เธอหัวใจวายตาย”

ฟรายตอบอย่างมั่นใจพร้อมกับหดมือกลับ

ไคลน์รีบหยิบเหรียญครึ่งเพนนีออกมาเตรียมทำนายอย่างคร่าว

“มาดามลอวิสหัวใจวายตายจากสาเหตุธรรมชาติ…ดีไหม?”

ไม่ได้ ประโยคกว้างเกินไป อาจส่งผลให้คำทำนายคลุมเครือและนำไปสู่การตีความผิด

หืม…

“มีพลังลักลึบชักนำให้มาดามลอวิสถึงแก่ความตาย”

ตกลง เอาอันนี้แหละ

ชายหนุ่มคิดไวทำไว รีบเดินไปยืนข้างศพมาดามลอวิสและหลับตาลง

หลังจากท่องประโยคครบเจ็ดครั้ง มันดีดเหรียญครึ่งเพนนีขึ้นไปกลางอากาศ นัยน์ตาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท

โลหะทองแดงลักษณะกลมแบนกำลังหมุนแหวกอากาศจนเกิดเสียงลมกังวาน

แปะ…!

เหรียญตกลงบนกึ่งกลางฝ่ามือไคลน์

พระบรมฉายาลักษณ์ของกษัตริย์หงายขึ้น

หมายความว่า มีพลังอำนาจลึกลับชักนำให้มาดามลอวิสถึงแก่ความตาย!

……………………

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!