ตอนที่ 120 : เรือนทำงาน
“มีปัจจัยพิเศษภายนอกเกี่ยวข้อง…”
สีนัยน์ตาไคลน์กลับเป็นน้ำตาลตามเดิมขณะหันกลับไปมองเลียวนาร์ด
อีกฝ่ายยิ้มตอบ
“ยอดเยี่ยมสมกับเป็นนักทำนายตัวจริง”
หมอนี่…พยายามบอกใบ้เราอีกแล้วหรือ?
ฟรายเปิดกระเป๋ากล่องและนำมีดเงินพร้อมกับอุปกรณ์อื่นเก็บใส่
“ศพบอกกับผมว่าหล่อนตายด้วยโรคหัวใจ คุณสามารถทำนายระบุรายละเอียดให้ชัดเจนกว่านี้ได้ไหม?”
ไคลน์พยักหน้าขึงขัง
“ผมสามารถผสานเทคนิคสื่อวิญญาณเข้ากับเทคนิคทำนายด้วยฝัน วิธีการนี้จะมอบข้อมูลอย่างละเอียด ได้แต่หวังว่าเศษเสี้ยวดวงวิญญาณของมาดามลอวิสจะช่วยบอกใบ้อะไรได้บ้าง”
ฟรายตอบกลับด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเย็นยะเยียบเช่นทุกครั้ง
“ตกลง…ลองดู”
ฟรายหลีกทางให้และยืนจ้องมองไคลน์ ก่อนจะเปล่งเสียงเจือปนความประหลาดใจเล็กๆ
“คุณเคยชินกับเรื่องพวกนี้ได้เร็วดี”
ฟรายมักอยู่ข้างไคลน์ในช่วงเวลาที่เขาพบศพเสมอ ไม่ว่าจะเป็นคดีมารดารีเอล·บีเบอร์ หรือแม้กระทั่งตัวตลกสวมสูท สภาพไคลน์ในสมัยก่อนน่าสมเพชจนฟรายนึกสงสาร
ฉันก็ไม่ได้อยากชินนักหรอก…
ไคลน์รำพันในใจพลางหยิบขวดน้ำค้างบริสุทธิ์ น้ำมันสกัด และผงสมุนไพรนานาชนิดออกมาวาง
แท่นบูชาสำหรับพิธีกรรมถูกจัดเตรียมอย่างคล่องแคล่วชำนาญ
พระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดารัตติกาลถูกเปล่งดังจากใจกลางกำแพงวิญญาณ ตามด้วยบทคาถาภาษาเฮอร์มิส
เพียงพริบตา คล้ายกับมีสายลมคล้ายพายุกำลังไหลเวียนภายในกำแพงวิญญาณ
บรรยากาศห้องพักเริ่มอึมครึมมืดสลัว
นัยน์ตาไคลน์แปรเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทไร้ก้นบึ้งขณะเปล่งประโยคทำนาย
“สาเหตุการตายของมาดามลอวิส”
“สาเหตุการตายของมาดามลอวิส”
…
ไคลน์ถูกส่งเข้าจิตความฝันในสภาพลำตัวกำลังยืนตรง มันเห็นดวงวิญญาณเลือนรางล่องลอยไม่ห่างจากร่างมาดามลอวิสมากนัก
ชายหนุ่มเหยียดมือออกไปสัมผัสกับดวงวิญญาณหญิงสาวซึ่งใกล้สลายเต็มที
ทันใดนั้น แสงสว่างจ้าบดบังการมองเห็นชายหนุ่มชั่วขณะ ฉากแล้วฉากเล่าของเรื่องราวจะถูกแสดงให้ไคลน์เห็นอย่างใกล้ชิด
ภาพแรก สตรีผอมแห้งผิวหนังซีดเซียวในชุดเก่า มีรอยขาดหลายจุด หล่อนกำลังก้มหน้าประกอบกล่องไม้ขีดอย่างตั้งใจ
ทันใดนั้น เธอหยุดมือและเลื่อนไปจับตรงหน้าอกพร้อมกับแสดงสีหน้าปวดแปลบ
แต่ละเหตุการณ์ฉายอย่างไม่ปะติดปะต่อ
บ้างเป็นภาพเธอหันไปพูดคุยกับลูกสองคน
บ้างเป็นภาพเธอกำลังหายใจเหนื่อยหอบ
บ้างเป็นภาพใครบางคนเดินเข้ามาแตะบ่าจากด้านหลังขณะเธอกำลังซื้อขนมปังดำ
บ้างเป็นฉากโรคหัวใจกำเริบหนแล้วหนเล่า
จนกระทั่งถึงฉากที่เธอรู้สึกอ่อนล้าสุดขีดและบอกกับสามีว่าขอพักผ่อน ก่อนจะไม่ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกเลย
ไคลน์เพ่งมองทุกรายละเอียดอย่างตั้งใจเพื่อไม่ให้พลาดเบาะแสเพียงเล็กน้อย มันหวังจะเห็นข้อมูลซึ่งบ่งชี้ว่าความตายของหล่อนเกิดจากปัจจัยภายนอกลึกลับ
แต่เมื่อทุกสิ่งจบลง มันยังคงสับสนและไม่ได้รับคำบอกใบ้ใดเพิ่มเติม
มโนฝันแตกละเอียดคล้ายเศษกระจก จิตชายหนุ่มถูกส่งกลับโลกความเป็นจริงอีกหน
หลังจากทำลายกำแพงวิญญาณ ไคลน์หันไปทางเลียวนาร์ดและฟรายซึ่งกำลังรอคำตอบ
“ไม่มีสาเหตุของการป่วย ปรากฏเพียงฉากมาดามลอวิสแสดงอาการหัวใจกำเริบบ่อยครั้งในรอบสัปดาห์หลัง หากจะมีหนึ่งสิ่งที่ประหลาด…คงเป็นฝ่ามือของใครบางคนซึ่งเอื้อมมาแตะหลังเธอขณะกำลังยืนซื้อขนมปังดำ มือปริศนาค่อนข้างผอมเพรียว ผมสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเพศหญิง”
“ด้วยสภาพครอบครัวเช่นนี้ ผู้ป่วยไม่มีทางไปโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์แน่ ต่อให้คิวคนไข้ว่างโล่งแค่ไหนก็ตาม เวลาคือสิ่งสำคัญสำหรับพวกเขามาก การหยุดงานเพียงวันเดียวอาจทำให้ครอบครัวถึงคราวอดตาย”
เลียวนาร์ดถอนหายใจด้วยมาดสง่างามของนักกวี
ฟรายก็เช่นกัน มันพ่นลมหายใจแผ่วเบาขณะยืนจ้องมองร่างไร้วิญญาณบนเตียง
ก่อนไคลน์จะกล่าวสิ่งใด เลียวนาร์ดก้มหน้าใช้ความคิดพลางขยับปากพึมพำ
“คุณกำลังจะบอกว่า…ปัจจัยภายนอกเกิดขึ้นในจังหวะที่มาดามลอวิสถูกสัมผัสแผ่นหลังด้วยฝ่ามือสตรีปริศนาใช่ไหม?”
ไคลน์พยักหน้า
“ถูกต้อง แต่นั่นเป็นเพียงข้อสันนิษฐานของผม ศาสตร์ทำนายไม่เคยระบุผลลัพธ์เป็นถ้อยคำชัดเจนอยู่แล้ว ต้องผ่านการตีความ”
เมื่อการพูดคุยจบลง เลียวนาร์ดหลีกทางให้ฟรายกลับไปชันสูตรศพต่อ
ผู้เก็บซากศพนำเครื่องมืออีกหลายชนิดออกจากกระเป๋ากล่องและใช้ทุกเทคนิควิธีเพื่อรวบรวมข้อมูล
หลังจากฟรายเสร็จงานของตัวเอง มันเก็บเครื่องมือทั้งหมดกลับเข้ากระเป๋าและหันมาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“สาเหตุการตายเกิดจากโรคหัวใจตามธรรมชาติ นี่คือความจริงที่เกิดขึ้นแน่นอน”
เลียวนาร์ดเดินวนเวียนในห้องเมื่อได้ยินข้อสรุปที่ไม่เหมือนกันจากปากผู้เก็บซากศพและนักทำนาย มันขมวดคิ้วบูดบึ้งก่อนตัดสินใจลงความเห็น
“สำหรับคดีนี้พักไว้ก่อน พวกเรารีบไปตรวจสอบคดีจุดไฟเผาเรือนทำงานในเขตตะวันตกกันเถอะ อาจได้เบาะแสเพิ่มเติมซึ่งสามารถเชื่อมโยงสองคดีเข้าด้วยกัน”
“ตกลง…หวังว่าจะเป็นแบบนั้น”
ไคลน์เห็นด้วย แต่สีหน้าของมันยังสับสน
ฟรายถือกระเป๋ากล่องพร้อมกับเดินไปทางประตู โดยระมัดระวังไม่ให้เหยียบผ้าหมหรือเสื่อสกปรกใจกลางห้อง
เลียวนาร์ดเปิดประตูและเดินออกไปเป็นคนแรก มันพูดกับมิสเตอร์ลอวิส
“เสร็จแล้วครับ เชิญกลับเข้าไปได้”
ไคลน์เสริมหลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง
“อย่าเพิ่งรีบฝังศพหล่อน ทิ้งไว้อีกสักวัน เผื่อพวกเราต้องกลับมาตรวจสอบซ้ำ”
“ข…เข้าใจแล้วครับ”
ลอวิสก้มหัวตอบอย่างลนลาน ก่อนจะอธิบายเพิ่มเติมด้วยอากัปกิริยาเหม่อลอย
“อ…อันที่จริงผมไม่มีเงินพอจะฝังศพเธออยู่แล้ว ต้องใช้เวลาเก็บเงินอีกหลายวัน โชคดีว่าอากาศภายในห้องค่อนข้างเย็น”
ไคลน์ถามกลับด้วยสีหน้าสุดตะลึง
“คุณคิดจะเก็บศพไว้ในห้องอีกหลายวันเลยหรือ?”
ลอวิสยิ้มแห้ง
“ครับ…อากาศเริ่มเย็นขึ้นในช่วงหลัง ผมสามารถย้ายร่างเธอไว้บนโต๊ะอาหารในตอนนอน และย้ายกลับมาไว้บนเตียงในตอนทานข้าว…”
ก่อนไคลน์จะได้กล่าวสิ่งใด ฟรายพูดแทรก
“ผมทิ้งเงินค่าฝังไว้ข้างศพภรรยาคุณแล้ว”
เมื่อประโยคสุดเย็นยะเยียบจบลง ฟรายเดินจากไปโดยทิ้งให้มิสเตอร์ลอวิสยืนนิ่งด้วยสีหน้ากึ่งตะลึงกึ่งซาบซึ้ง
ไคลน์รีบเดินตามหลังโดยภายในหัวกำลังขบคิดบางสิ่ง
แล้วถ้าอากาศไม่หนาว…ลอวิสคิดจะทำอย่างไรกับศพภรรยา?
โยนศพลงแม่น้ำทัสซอคหรือไม่ก็แม่น้ำโฮอี้อย่างนั้นหรือ? เลือกวันลมแรงแล้วลงมือตอนกลางคืนซึ่งไม่มีใครเห็น…
ไคลน์ทราบดี กฎหมายการฝังศพถูกบัญญัติขึ้นนับพันปีแล้ว นับตั้งแต่เริ่มต้นยุคสมัยปัจจุบัน
ผู้ผลักดันกฎหมายไม่ใช่ใครอื่นนอกจากโบสถ์หลักและเหล่าราชวงศ์ พวกมันไม่ต้องการให้เกิดพรายน้ำ ซอมบี้ หรือผีสางซึ่งมีดวงวิญญาณอาฆาตออกอาละวาด
ทางอาณาจักรจะมอบดินแดนส่วนหนึ่งให้โบสถ์นำไปจัดสรรสร้างสุสาน ส่วนทางโบสถ์จะเก็บค่าบริการขั้นต่ำสุดสำหรับจ้างคนลาดตระเวนหรือซ่อมแซมหากเกิดความเสียหาย
อย่างไรก็ตาม ครอบครัวยากจนจำนวนไม่น้อยก็ยังมีเงินไม่พอสำหรับจ่ายค่าทำศพ
…
หลังจากเดินทางออกจากบ้านเลขที่ 134 ถนนกางเขนเหล็ก เหยี่ยวราตรีทั้งสามและบิช·เมาท์บัตเท่นถึงคราวแยกทาง
เพียงพริบตา พวกมันมาถึงเรือนทำงานในเขตตะวันตกซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุของอีกหนึ่งคดี
ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ ไคลน์ก็ยิ่งเห็นคิวต่อแถวของผู้คนเรียงรายยาวเหยียด เป็นภาพซึ่งพบเห็นได้ไม่ยากในโลกเก่า ยามที่มีร้านใหม่เปิดตัวและประชาชนฮือฮาต่อคิวลิ้มลอง
“ราวหนึ่งร้อย…ไม่สิ สองร้อยเห็นจะได้”
ไคลน์พึมพำด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
ภาพตรงหน้าคือแถวเข้าคิวของชาวเมืองยากจนในชุดเก่าและค่อนข้างสกปรก แต่ยังดีกว่าชุดจากสลัมถนนสายล่างเล็กน้อย
สีหน้าของคนต่อแถวกำลังอึมครึม จำนวนไม่น้อยเหลือบมองประตูทางเข้าเรือนทำงานเป็นระยะด้วยท่าทางกระสับกระส่าย
ฟรายชะลอฝีเท้าและเปล่งเสียงเย็นชา
“เรือนทำงานหนึ่งแห่งจะรองรับแรงงานต่อวันได้จำกัด พวกเขาจะถูกเรียกตัวตามลำดับคิว แน่นอนว่ามีการคัดเลือกคุณสมบัติพื้นฐาน ใครไม่ผ่านจะถูกไล่กลับทันที”
“ภาวะเศรษฐีกิจตกต่ำในช่วงหลังส่งผลกับเรือนทำงานอย่างมาก…”
เลียวนาร์ดถอนหายใจยาว
“แล้วคนที่ไม่ได้คิวจะเป็นอย่างไรต่อไป?”
ไคลน์ถามด้วยความใคร่รู้
“ไปเสี่ยงดวงกับเรือนทำงานอื่นข้างหน้า แต่ละเรือนทำงานจะมีเวลาเปิดรับคิวไม่ตรงกัน อย่างไรก็ตาม สภาพของทุกแห่งไม่แตกต่างมากนัก แถวเข้าคิวยาวเหยียด บางคนมารอหน้าเรือนทำงานตั้งแต่บ่ายสอง”
ฟรายเว้นวรรค
“หากใครพลาดงานบ่อยครั้งเข้า เรี่ยวแรงก็จะยิ่งถดถอยและเริ่มถูกปฏิเสธงาน เมื่อถึงตอนนั้น ชะตากรรมคงหลีกหนีไม่พ้นความตายอย่างน่าอนาถ แต่ก็มีบางคนไม่ยอมรับชีวิตน่าสมเพช พวกเขาตัดสินใจละทิ้งความดีและเข้าสู่เส้นทางด้านมืดซึ่งขัดต่อกฎหมาย”
ไคลน์เงียบงันเนื่องจากพูดอะไรไม่ออก
มันถอนหายใจห่อเหี่ยว
“หนังสือพิมพ์ไม่เคยเขียนเรื่องพวกนี้ไว้เลย…มิสเตอร์ฟราย ผมดีใจนะที่ได้ยินคุณอธิบายยาวกว่าปรกติ หาข้อมูลจากไหน?”
“ผมเคยเป็นบาทหลวงในเรือนทำงานของโบสถ์รัตติกาลมาก่อน”
ฟรายเล่าด้วยท่าทีเย็นชา
เมื่อสามหนุ่มเคลื่อนตัวมาถึงหน้าประตูเรือนทำงานประจำเขตตะวันตก พวกมันแสดงบัตรกรมตำรวจให้พนักงานเฝ้าประตู จากนั้นก็ถูกพาตัวเข้าไปด้านในด้วยดี
เรือนทำงานถูกดัดแปลงจากโครงสร้างวิหารเก่า เสื่อจำนวนมากถูกปูวางชิดติดกันภายในห้องประกอบพิธีมิสซา แถมยังมีเปลญวนห้อยแขวนเป็นระยะ กลิ่นเหม็นฉุนของเหงื่อและรองเท้าตลบอบอวลถ้วนทั่ว
ภายในโถงใหญ่ ผู้คนยากจนจำนวนมากกำลังรวมตัวทำกิจกรรม บ้างทุบค้อนไม่พักเพื่อป่นหินให้แตก บ้างนั่งแกะเชือกป่านเก่า ไม่มีใครว่างงานแม้แต่คนเดียว
“อาณาจักรไม่ต้องการให้ชาวเมืองพึ่งพาเรือนทำงานจนเกินไป ไม่อย่างนั้น หากพวกเขาผิดหวัง มีโอกาสสูงที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มอันธพาลนอกกฎหมาย ด้วยเหตุนี้ กฎหมายคนจนจึงถูกบัญญัติขึ้นในปี1336 โดยบังคับมิให้คนจนอาศัยกินนอนในเรือนทำงานเกินห้าวันติดต่อ หากครบกำหนดต้องถูกขับไล่และเปิดโอกาสให้ผู้อื่น ภายในห้าวันของการพักอาศัย พวกเขาต้องทำงานจิปาถะทุกชนิด จำพวกทุบหินและแกะเชือกป่านเก่า ลักษณะงานคล้ายคลึงกับนักโทษของเรือนจำ”
ฟรายอธิบายให้ไคลน์และเลียวนาร์ดฟังอย่างคร่าวโดยไม่ใส่อารมณ์ร่วมมากนัก
เลียวนาร์ดเปิดปาก ไม่มีใครทราบว่าทีเล่นหรือทีจริง
“มีกฎหมายไปก็เท่านั้น หลังจากคนเหล่านี้ถูกขับไล่จากเรือนทำงานแห่งหนึ่ง พวกมันก็จะเข้าไปต่อคิวเรือนทำงานแห่งอื่นอยู่ดี หากไม่ได้ก็ทำเช่นนี้เรื่อยๆ จนกว่าจะได้ หรือท้ายที่สุดก็อดตาย…สำหรับใครบางคน พวกคนจนน่ารังเกียจยิ่งกว่าอาชญากรเสียอีก”
“…แกะเชือกป่านเก่า”
ไคลน์ทำเพียงพึมพำ มันไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดหรือแสดงความเห็นอะไรออกไป
“เส้นใยจากเชือกป่านเก่าคือวัสดุชั้นเลิศสำหรับอุดร่องแผ่นไม้บนลำเรือ”
ฟรายชะงักฝีเท้าเมื่อพบรอยไหม้บนพื้น
ไม่กี่นาทีถัดมา ผู้คุมเรือนทำงานและบาทหลวงเดินมาถึงจุดเกิดเหตุซึ่งสามเหยี่ยวราตรีกำลังก้มหน้าตรวจสอบ
ทั้งสองคือบุรุษในวัยราวสี่สิบ
“ซาลัสเริ่มจุดไฟตรงนี้ แต่ผลลัพธ์คือความตายของเขาคนเดียวใช่ไหม?”
เลียวนาร์ดถามพร้อมกับชี้นิ้วไปยังรอยไหม้บนพื้นซึ่งมีซากขี้เถ้าเกาะติด
ผู้ดูแลเรือนทำงาน หน้าผากเถิกกว้างตามช่วงวัยซึ่งเริ่มชรา มันใช้นัยน์ตาสีฟ้าจ้องมองยังจุดที่ปลายนิ้วเลียวนาร์ดชี้ไป ก่อนจะผงกศีรษะยอมรับ
“ถูกต้อง”
“แล้วก่อนหน้านั้น ซาลัสมีพฤติกรรมแปลกประหลาดบ้างไหม?”
ไคลน์ถาม
ผู้ดูแลครุ่นคิดสักพัก
“จากคำบอกเล่าของผู้ที่นอนข้างซาลัสเป็นประจำ ซาลัสมักพึมพำบ่อยครั้งว่า ‘พระองค์ทอดทิ้งเรา’ ‘โลกใบนี้โสมมเกินไป’ และ ‘เราไม่เหลืออะไรอีกแล้ว’ จำพวกนี้บ่อยครั้งมาก ห้วงอารมณ์ซาลัสอัดแน่นด้วยความเคียดแค้นและสิ้นหวัง แต่ไม่มีใครคิดว่าเขาจะกล้าทุบตะเกียงน้ำมันก๊าดและจุดไฟเผาห้องขณะทุกคนกำลังนอนหลับ โชคดีว่ามีคนตื่นมาเห็นเข้าพอดีและหยุดการลุกลามได้ทัน”
ไคลน์และเลียวนาร์ดสอบปากคำสองสามบุคคลซึ่งนอนข้างซาลัสในคืนดังกล่าว รวมถึงวีรบุรุษที่ช่วยดับไฟไว้อย่างฉิวเฉียด แต่ข้อมูลจากปากคนเหล่านี้กลับไม่ช่วยให้พบเบาะแสน่าสงสัย
แน่นอน เหล่าเหยี่ยวราตรีใช้ทั้งเนตรวิญญาณ พลังทำนาย และวิธีอื่นในการยืนยันว่าคนงานไม่ได้โกหก
“คล้ายกับซาลัสวางแผนทำลายตัวเองไปพร้อมกับคนหมู่มากนานแล้ว เป็นอีกหนึ่งคดีที่พบได้บ่อยในเขตคนจน”
เลียวนาร์ดรอให้บาทหลวงและผู้ดูแลกลับไปก่อนค่อยหันมาพูดกับไคลน์
ชายหนุ่มก้มหน้าครุ่นคิด
“ผลการทำนายของผมยังเหมือนเดิม มีพลังลึกลับภายนอกชักนำให้เขาก่อเหตุ”
“ผมว่าพวกเราข้ามคดีซาลัสเผาตัวเองไปก่อน ที่นี่ไม่มีศพให้ตรวจสอบเหมือนคดีแรก”
เลียวนาร์ดเสนอแนะ
ทันใดนั้น ฟรายพูดแทรก
“ผมเห็นต่าง คดีนี้มีโอกาสเป็นไปได้ในทิศทางอื่นอยู่ ตัวอย่างเช่น ซาลัสถูกใครบางคนกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกเคียดแค้นรุนแรง…โดยที่ผู้วิเศษตัวการไม่หลงเหลือร่องรอยทิ้งไว้ให้ตรวจสอบ”
ดวงตาไคลน์พลันลุกวาว
“เป็นไปได้…เหมือนกับคดีก่อนหน้า…ผู้วิเศษเส้นทางนักกระตุ้นลงมือก่อเหตุนองเลือดบนเรืออัลฟาฟ่า!”
นักกระตุ้น·ทริส!
แต่นั่นจะไม่สอดคล้องกับข้อมูลที่ตนได้รับจากคดีมาดามลอวิส…
ทริสไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย
ไคลน์ทำได้เพียงขมวดคิ้วสับสน
……………………