ตอนที่ 138 : เส้นทาง‘ยักษา’
มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง…
พระผู้สร้างต้นกำเนิด…
ไคลน์เอนหลังพิงเก้าอี้พลางขบคิดตามคำพูดของเด็กหนุ่มชาวเงินพิสุทธิ์
มันไม่ประหลาดใจกับคำว่าพระผู้สร้างต้นกำเนิด เพราะตำนานของทุกศาสนาหลัก ไม่ว่าจะเป็นพระคัมภีร์วายุสลาตัน พระคัมภีร์รัตติกาล รวมถึงพระคัมภีร์ของโบสถ์อื่น ล้วนระบุตรงกันว่าพระผู้สร้างต้นกำเนิดคือตัวตนยิ่งใหญ่เหนือทั้งปวง
แม้กระทั่งชุมนุมแสงเหนือก็ยังเชื่อว่าพระผู้สร้างแท้จริง คือแก่นแท้ที่สืบทอดพลังจากพระผู้สร้างต้นกำเนิด
แต่นี่คือหนแรกที่ไคลน์เคยได้ยินวลี ‘มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง’
เพราะเทพธิดารัตติกาล เทพวายุสลาตัน หรือเทพแห่งจักรกลไอน้ำ ไม่เคยมีพระองค์ใดกล้าเรียกขานตนเองด้วยนามสูงส่งเช่นนั้น
หากเมืองเงินพิสุทธิ์อยู่บนดินแดนเทพทอดทิ้งจริง ย่อมต้องแปลว่า ดินแดนเทพทอดทิ้งตั้งอยู่สักแห่งบนโลกใบเดียวกับตน
‘มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง’ คงเป็นอีกหนึ่งนามสำหรับเรียกขานพระผู้สร้างต้นกำเนิด โดยใช้ในบทคาถาพิธีกรรมเผ่าพันธุ์มนุษย์สมัยอดีต
ขณะครุ่นคิด ไคลน์ชำเลืองเด็กหนุ่มผมน้ำตาลตรงหน้าเป็นระยะ สีอารมณ์ของอีกฝ่ายแฝงความเจ็บแปลบทุกข์ระทม
เมื่อเดอร์ริคตระหนักถึงสายตาจากเดอะฟูล มันรีบก้มหัวลงต่ำในลักษณะนอบน้อม
เด็กหนุ่มพยายามรวบรวมประวัติศาสตร์ของเมืองเงินพิสุทธิ์ซึ่งบุพการีเคยอบรมสั่งสอนตั้งแต่ยังเล็ก
“เมื่อถึงคราวตะวันดับ เมฆหมอกเหนือฟ้าครามถูกฉีกทำลาย พายุสายฟ้าเกรี้ยวกราดแผ่ปกคลุมผืนนภาและกลายเป็นผู้ปกครองใหม่ของดินแดนแห่งนี้ สัตว์ประหลาดจำนวนมหาศาลเริ่มผุดขึ้นจากความมืดมิดรอบตัว ฉากเหตุการณ์สุดสยดสยองแผ่ปกคลุมอาณาจักรเงินพิสุทธิ์ เมืองแล้วเมืองเล่าถูกทำลายด้วยเงื้อมมือฝูงสัตว์ประหลาดหิวโหย เผ่าพันธุ์มนุษย์ถึงคราวย่างกรายเข้าสู่ยุคมืดโดยแท้จริง”
“เหล่าอาวุโสของกรุงเงินพิสุทธิ์ซึ่งเป็นเมืองหลวงได้รวบรวมกองทัพผู้วิเศษเข้าต่อต้าน แม้ฝ่ายมนุษย์จะมีสมบัติวิเศษเพียงสองชิ้น แต่ก็มากพอสำหรับขัดขวางการรุกรานจากสัตว์ประหลาดในความมืด ขณะเดียวกัน สภาอาวุโสเริ่มจัดตั้งหน่วยลาดตระเวนและส่งออกไปปราบปรามสัตว์ประหลาดรอบเมืองอย่างต่อเนื่อง ขอบเขตลาดตระเวนเทียบเท่าระยะทางเดินเท้าไปกลับหนึ่งวันเต็ม พวกเรากระทำเช่นนี้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน แสงสว่างสุดท้ายของเผ่าพันธุ์มนุษย์เหลือรอดได้เพราะความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจ”
เป็นคำอธิบายที่พบได้ตามตำราประวัติศาสตร์ทั่วไป ยกย่องเชิดชูความยอดเยี่ยมของบรรพชนคนในชาติ และไม่เปิดเผยเรื่องราวเสื่อมเสีย
ไคลน์แสดงความเห็น
จากคำอธิบายของเด็กหนุ่มชาวเงินพิสุทธิ์ โลกที่พวกมันอาศัย ไม่มีส่วนใดเหมือนกับทวีปเหนือของตนเลยสักนิด
หรือว่าจะเป็นลักษณะเฉพาะตัวของดินแดนเทพทอดทิ้ง
ไคลน์ครุ่นคิดโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
เดอร์ริคเว้นวรรคหายใจก่อนเล่าต่อ
“ในช่วงหลายสิบปีแรก มนุษย์ประสบภาวะขาดแคลนอาหารอย่างหนัก พืชผลไม่สามารถเจริญเติบโตเนื่องจากปราศจากแสงอาทิตย์ ด้านปศุสัตว์ก็ไปไม่รอดเช่นกัน ถูกสัตว์ประหลาดกัดกินราบคาบ ต้องดำรงชีวิตด้วยการบริโภคเนื้อสัตว์ประหลาดซึ่งมีไม่เพียงพอต่อความต้องการ จำนวนประชากรจึงลดลงอย่างรวดเร็วจนถึงระดับวิกฤติ”
“จนกระทั่งวันหนึ่ง พวกเราบังเอิญค้นพบ ‘หญ้าผิวดำ’ ซึ่งสามารถบริโภคและให้สารอาหารเพียงพอ พวกมันเติบโตได้ในสภาวะปลอดแสง จึงกลายเป็นแหล่งอาหารสำคัญของชาวเงินพิสุทธิ์นับแต่นั้น”
“กล่าวกันว่าหญ้าผิวดำคือความกรุณาสุดท้ายที่เทพเหลือทิ้งไว้ให้ก่อนจากไป พืชชนิดดังกล่าวช่วยให้ชาวเงินพิสุทธิ์ดำรงเผ่าพันธุ์มานานกว่า สองพันห้าร้อยแปดสิบสองปีในความมืดมิด”
“เมื่อปราศจากดวงอาทิตย์ พวกเราจึงต้องบันทึกวันเวลากันเองนับตั้งแต่อดีตกาล ขณะพายุสายฟ้าโหมกระหน่ำจะถูกเรียกกลางวัน และขณะพายุสงบ ความมืดมิดปกคลุมผืนฟ้า จะถูกเรียกกลางคืน เป็นระบบซับซ้อนวุ่นวาย ยากแก่การระบุวันเวลาได้แม่นยำ แต่ก็ไม่มีวิธีอื่นนอกจากนี้อีกแล้ว”
หรือก็คือ เป็นดินแดนตรงข้ามสามัญสำนึกโดยสิ้นเชิงสินะ
ไคลน์รู้สึกโชคดีที่มันไม่แจ้งเด็กหนุ่มไปว่า ตนจะดึงอีกฝ่ายขึ้นบนมิติสายหมอกวันพรุ่งนี้ แต่เลือกใช้คำว่าสองวันถัดไปแทน
เดอร์ริคหยุดทบทวนคำพูดสักพัก
“เมื่อมีอาหารเพียงพอ จำนวนประชากรจึงฟื้นฟูกลับมาในปริมาณเหมาะสม จำนวนผู้วิเศษเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว สภาอาวุโส หกคนของเมืองเงินพิสุทธิ์ตัดสินใจก่อตั้งหน่วยสำรวจขึ้น หน้าที่คือการออกสำรวจความมืดมิดในระยะทางไกลและวาดแผนที่”
“หน่วยสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์มีผลงานโดดเด่น พวกเราเริ่มค้นพบดินแดนดั้งเดิมของอาณาจักรเงินพิสุทธิ์ตามบันทึกประวัติศาสตร์ ค้นพบอาณาจักรข้างเคียงซึ่งเคยทำการค้าขาย แต่ทั้งหมดอยู่ในสภาพซากปรักหักพัง”
“หลายแห่งปรากฏร่องรอยการรวมตัวขัดขืนของเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างสุดความสามารถ แต่ท้ายที่สุด พวกเขาก็มิอาจต้านทานสิ่งน่าสะพรึงกลัวจากเงามืด”
สิ่งน่าสะพรึงกลัวจากเงามืด คงหมายถึงสัตว์ประหลาดที่เคยเอ่ยถึงก่อนหน้า
ไคลน์พยักหน้ารับ
“…อาณาจักรเงินพิสุทธิ์ในอดีตเคยถูกปกครองโดยราชายักษา พวกเราจึงถือครองเส้นทาง ‘ยักษา’ อย่างสมบูรณ์ แต่ปัจจุบันมักรู้จักกันในชื่อเส้นทาง ‘นักรบเทพโลหิต’ มากกว่า หน่วยสำรวจของพวกเรารื้อค้นซากปรักหักพังเมืองต่างๆ และพบสูตรผลิตโอสถเส้นทางผู้วิเศษอื่นอีกเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่มีเส้นทางใดสมบูรณ์”
เดอร์ริคพยายามอธิบายสถานการณ์ของเมืองเงินพิสุทธิ์เท่าที่นึกออก
มาแล้ว…ข้อมูลใหม่ของโอสถที่รอคอย!
ไคลน์ยกมุมปากขึ้นอย่างมีความสุข มันเปลี่ยนท่านั่งเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายสัมผัสถึงอาการผิดปรกติ ภายในใจกำลังยินดีปรีดาสุดขีด
เมื่อเห็นเดอะฟูลไม่กล่าวสิ่งใด เดอร์ริคขบกรามแน่นด้วยสีหน้าประหม่า มันขมวดคิ้วเค้นความทรงจำเล่าต่อ
“เส้นทางยักษาประกอบด้วย ลำดับเก้า นักรบเหนือมนุษย์ ลำดับแปด กลาดิเอเตอร์ ลำดับเจ็ด เจ้าศาสตรา ลำดับหก อัศวินรุ่งอรุณ ลำดับห้า การ์เดียน และลำดับสี่ นักล่าปีศาจ มีเพียงสภาอาวุโสหกคนเท่านั้นที่ทราบชื่อของโอสถลำดับสูงกว่านี้”
ลำดับสี่ นักล่าปีศาจ…
ลำดับสี่!
ในที่สุดไคลน์ก็ได้ทราบชื่อของโอสถขั้นสูงเป็นหนแรก ชายหนุ่มกำลังมีความสุขล้นปรี่
แต่ขณะเดียวกัน นี่อาจเป็นชื่อเก่าซึ่งไม่เหมือนกับปัจจุบัน เฉกเช่นโอสถลูกเรือเคยถูกเรียกว่าผู้พิทักษ์ท้องทะเลมาก่อน
เดี๋ยวก่อน…
นักรบเหนือมนุษย์
กลาดิเอเตอร์
เจ้าศาสตรา
ทำไมตนถึงคุ้นหูนัก…หรือว่าจะเป็นเส้นทางผู้วิเศษของโบสถ์เทพสงคราม
ลำดับเก้า นักรบ
ลำดับแปด นักดวล
ลำดับเจ็ด เจ้าศาสตรา
เนื่องจากมีระดับเข้าถึงข้อมูลไม่มากพอ เอกสารลับเหยี่ยวราตรีฉบับที่ไคลน์ได้อ่านจึงสิ้นสุดเพียงลำดับเจ็ด
จากความคล้ายคลึงของชื่อโอสถ คงมองให้เป็นอย่างอื่นไม่อีก เส้นทางของโบสถ์เทพสงคราม คือเส้นทางเดียวกับราชายักษาจากสมัยอดีตกาล
ในบันทึกประวัติศาสตร์ เทพสงครามได้ปรากฏตัวบนโลกมนุษย์ในยุคสมัยที่สาม ช่วงเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติร้ายแรงพอดิบพอดี
ตามคำบอกเล่าของเด็กหนุ่ม อาณาจักรเงินพิสุทธิ์มีตัวตนมาตั้งแต่ยุคสมัยที่สองแล้ว และถูกปกครองโดยราชายักษา
หมายความว่า เทพสงครามสืบทอดพลังจากราชายักษาจนกลายเป็นเทพ?
เป็นมนุษย์ที่สืบทอดพลังโอสถ หรือเป็นเผ่าพันธุ์คนยักษ์เก่าแก่ตั้งแต่แรกกันแน่
ไคลน์พยายามวิเคราะห์ด้วยมาดสุขุม
เดอร์ริคเล่าต่อ
“นับตั้งแต่ผ่านช่วงเวลายากลำบากมาได้ เมืองเงินพิสุทธิ์จึงถูกปกครองโดยสภาอาวุโสจำนวนหกคนเสมอ อาวุโสตำแหน่งสูงสุดจะถูกเรียกว่า ‘ท่านผู้นำ’ ส่วนห้าคนรองลงมาล้วนมีบรรดาศักดิ์เท่าเทียม ปัจจุบัน หกสภาอาวุโสประกอบด้วยนักล่าปีศาจสามคน การ์เดียนสองคน และคนเลี้ยงแกะหนึ่งคน”
เมืองเงินพิสุทธิ์มีผู้วิเศษขั้นสูงมากถึงสามคนเชียวหรือ
ลำพังสามคนดังกล่าวสามารถทำลายชุมนุมไพ่ทาโรต์ได้นับพันนับหมื่นหน ไคลน์ตระหนักว่าตนประมาทเกินไป ถึงคิดใช้พลังมิติสายหมอกกับเด็กหนุ่มผมน้ำตาลใต้จมูกเหล่าผู้วิเศษขั้นสูง
โชคดีว่าเด็กคนนี้เป็นเพียงสามัญชน ยังไม่ได้ดื่มโอสถลำดับเก้า ไม่มีค่าพอจะให้อาวุโสจับตามอง
ไคลน์เริ่มผ่อนคลาย
คนเลี้ยงแกะสินะ ไม่คุ้นหูสักเท่าไร คงเป็นเส้นทางอื่นซึ่งไม่สมบูรณ์กระมัง
เดี๋ยวก่อน…ลักษณะสอดคล้องกับเส้นทางที่ชุมนุมแสงเหนือครอบครอง
หากจำไม่ผิด ซีริสเคยเขียนจดหมายถึงมิสเตอร์ Z โดยเรียกสาวกของชุมนุมแสงเหนือว่า ‘ลูกแกะของพระองค์’
ไคลน์ตัดสินใจไต่ถามเสียงสุขุม
“คนเลี้ยงแกะ?”
“ใช่ขอรับ คนเลี้ยงแกะอยู่ในอีกหนึ่งเส้นทางไม่สมบูรณ์ซึ่งหน่วยสำรวจค้นพบจากซากปรักหักพังของเมืองอื่น เมืองเงินพิสุทธิ์ครอบครองเส้นทางดังกล่าวถึงเพียงลำดับห้า อย่างไรก็ตาม แม้จะลำดับต่ำกว่าอาวุโสนักล่าปีศาจทั้งสาม แต่อาวุโสโลเฟียร์กลับแข็งแกร่งจนน่าสะพรึงกลัว เธอมีนิสัยและบุคลิกค่อนข้างประหลาด ในอดีตเคยจัดการวิญญาณร้ายลำดับสูงตามลำพังโดยไร้รอยขีดข่วน ด้วยเหตุนี้ เมื่อตำแหน่งอาวุโสว่างลง ท่านโลเฟียร์จึงถูกแต่งตั้งเป็นกรณีพิเศษ”
เดอร์ริคเล่าด้วยน้ำเสียงเจือหวาดกลัว
ไคลน์นั่งครุ่นคิด มันอมยิ้มอย่างมีเลศนัยพลางซักถามต่อ
“แล้วลำดับก่อนหน้าคนเลี้ยงแกะประกอบด้วยโอสถใดบ้าง เรารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาอย่างบอกไม่ถูก เจ้าคงทราบดี ชื่อของโอสถในอดีตกาลและปัจจุบันจะแตกต่างกันเล็กน้อย”
“ไม่ขอรับ สำหรับเมืองเงินพิสุทธิ์ พวกเราไม่เคยเปลี่ยนชื่อเรียกโอสถ”
เดอร์ริคปฏิเสธก่อนก้มหน้าอธิบายต่อ
“ลำดับเก้า ผู้วิงวอนความลับ…”
นั่นไง!
ไคลน์แอบฉีกยิ้มกว้างเมื่อข้อสันนิษฐานของตนถูกต้อง เส้นทางดังกล่าวเป็นของชุมนุมแสงเหนือ!
“ลำดับแปด ผู้กระซิบ ลำดับเจ็ด บาทหลวง ลำดับหก นักบวชกุหลาบ ลำดับห้า คนเลี้ยงแกะ”
เดอร์ริคพรั่งพรูข้อมูลโดยไม่หวงแหน
ผู้กระซิบ.ผู้สดับ.จะบอกว่าเหมือนคงไม่ถูกต้องเสียทีเดียว แต่ก็ไม่หนีกันมาก
ในที่สุดตนก็มีข้อมูลมากกว่าเอกสารลับของเหยี่ยวราตรีสักที ชายหนุ่มกำลังอารมณ์ดีสุดขีด มันโบกมือส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายเล่าต่อ
เดอร์ริคอธิบายเหตุการณ์ของเมืองเงินพิสุทธิ์ในความทรงจำ จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง มันกล่าวตัดพ้อด้วยสีหน้าเจ็บปวด
“พวกเราชาวเงินพิสุทธิ์ต้องแบกรับคำสาปอันน่าหดหู่ ไม่ว่าจะเป็นผู้วิเศษหรือสามัญชน หลังจากเสียชีวิตลง ดวงวิญญาณจะแปรเปลี่ยนเป็นวิญญาณร้ายทรงพลัง ทำลายทุกสิ่งไม่เลือกหน้า รับมือได้ยาก ในอดีตเคยมีเหตุการณ์วิญญาณร้ายอาละวาดจนเมืองเงินพิสุทธิ์เกือบถูกทำลาย หนทางเดียวในการยับยั้งวิญญาณร้ายคือต้องถูกฆ่าด้วยฝีมือคนในครอบครัว”
“นับเป็นเรื่องน่าเศร้า เราหวังว่าเจ้าจะเติบโตกลายเป็นบุคคลแข็งแกร่ง ช่วยปัดเป่าคำสาปไปจากเมืองสำเร็จ”
ไคลน์ เดอะฟูล ทำได้เพียงปลอบประโลมอีกฝ่ายโดยไม่ยื่นมือเข้าไปแทรกแซง
“ด้วยเหตุนี้ ผมจึงเลือกเดินบนเส้นทางสุริยัน ผมปรารถนาจะเป็นดวงอาทิตย์ ต้องการมอบแสงสว่างให้กับผืนดินเงินพิสุทธิ์แสนมืดมิดและสิ้นหวัง จะได้ไม่มีใครต้องทุกทรมานเพราะคำสาปอีก”
เดอร์ริคสาบานด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
ไคลน์ผงกศีรษะ
“เจ้ายังมีโอกาส แล้วอย่าลืม ภายในสองวันข้างหน้า เราจะดึงเจ้ากลับมาบนมิติสายหมอกแห่งนี้อีกครั้ง พยายามอยู่ห่างจากผู้อื่นเข้าไว้”
“ขอรับ”
เดอร์ริคขานรับอย่างว่าง่าย
“แต่ก่อนอื่น เจ้าต้องเลือกฉายา”
ไคลน์ฉีกยิ้มพลางเสกไพ่ทาโรต์สำหรับหนึ่งบนโต๊ะทองแดงตรงหน้าเด็กหนุ่ม
มันมั่นใจว่าเด็กคนนี้คงไม่เคยเห็นไพ่ทาโรต์มาก่อน จึงมอบคำแนะนำอย่างคร่าว
“เลือกหนึ่งใบเพื่อแทนฉายาของเจ้า ใบใดก็ได้ยกเว้นเดอะฟูล แฮงแมน และจัสติส”
เดอร์ริคเดินสองก้าวไปหยุดยืนหน้าโต๊ะทองแดง มันคลี่กองไพ่และกวาดสายตามองราวสองสามวินาที
ทันใดนั้น
“ดวงอาทิตย์…ผมเลือกเดอะซัน!”
“จงอย่าลืมเด็ดขาด ตัวเลือกของเจ้าในวันนี้จะติดตัวไปชั่วชีวิต”
ไคลน์กล่าวด้วยมาดนักต้มตุ๋น
ถัดมา มันโบกมือเพื่อตัดความสัมพันธ์กับดาวแดงด้วยกิริยามารยาทสง่างาม ชายหนุ่มนั่งมองร่างมายาของอีกฝ่ายค่อยๆ เจือจางจนเลือนหายโดยสมบูรณ์
……………………