ตอนที่ 170 : นกหวีดทองแดง
ขณะไคลน์เดินผ่านห้องทำงานหัวหน้า มันชำเลืองเข้าไปและพบว่าดันน์·สมิทกำลังเอนหลังพิงเก้าอี้พลางสูบไปป์อันโปรดอย่างสบายใจ
ดันน์ชำเลืองมองตอบก่อนจะเปลี่ยนท่านั่ง
“…สีหน้าดีมาก ไม่เหมือนคนเพิ่งดื่มโอสถ”
“อาจเป็นข้อได้เปรียบของการย่อยโอสถจนหมดจดก่อนดื่มขวดใหม่ครับ”
ไคลน์ปิดประตูด้านหลังพร้อมกับเดินมานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามดันน์
ตนและหัวหน้าต่างตระหนักถึงเทคนิคสวมบทบาทแล้ว ดังนั้นคำสาบานต่อหน้าสมบัติเทพธิดาจึงอนุญาตให้สนทนากันได้ พวกเขาสามารถแลกเปลี่ยนทัศนคติและข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวได้อย่างอิสระ
แต่ก็ไม่มีใครต้องการพูดถึง เนื่องจากทั้งคู่ล้วนเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว สายตาชายหนุ่มเพียงประสานกับดันน์อย่างเงียบงัน
จนกระทั่งไคลน์ตัดสินใจถาม
“เจ้าคุณท่านไปแล้วหรือ?”
“ในฐานะอาวุโสใหญ่ ท่านมีงานอื่นอีกมากให้ต้องเร่งสะสาง”
ดันน์เว้นวรรคเล็กน้อย
“…แล้วก็ท่านนำคู่ดวงตาคริสตัลสีแดงจากซากศพลุงนีลล์ติดตัวไปด้วย”
“ทำไมกัน?”
ดันน์หยิบถ้วยกาแฟขึ้นมาจิบ ก่อนจะมอบคำตอบหลังจากนั่งเงียบงันสักพัก
“พวกเราไม่ควรโกหกตัวเอง ผู้คลุ้มคลั่งนั้นไม่ต่างอะไรกับสัตว์ประหลาด ผมเคยเล่าให้ฟังแล้วว่าบรรดาสัตว์วิเศษจะหลงเหลือวัตถุบางชนิดซึ่งอัดแน่นด้วยพลังวิญญาณเข้มข้นหลังจากเสียชีวิต”
“วัตถุหลงเหลือจากผู้คลุ้มคลั่งจะเกิดการอาละวาดรุนแรง ทางโบสถ์ตัวการจึงต้องนำไปปิดผนึก สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นบรรดาสมบัติวิเศษในการครอบครองของโบสถ์”
“นโยบายของเหยี่ยวราตรีคือ ต้องเก็บวัตถุหลงเหลือจากผู้คลุ้มคลั่งให้ห่างไกลจากเพื่อนร่วมทีมเก่า เพื่อจะได้ไม่เกิดการนึกถึงภายหลังจนสภาพจิตใจอ่อนไหว”
“สมเหตุสมผล” ไคลน์ผงกศีรษะหนักแน่น
ทันใดนั้น มันฉุกคิดได้ว่าหัวหน้าของตนตกหล่นบางประเด็น จึงรีบซักถามอย่างสงสัย
“แล้วถ้าผู้วิเศษทั่วไปเสียชีวิตโดยไม่ได้คลุ้มคลั่งล่ะครับ?”
ดันน์จ้องมองไคลน์ด้วยนัยน์ตาเทาลุ่มลึกประหนึ่งค่ำคืนฟ้าสงบ ก่อนจะถอนหายใจเบาและอธิบาย
“…คุณคงไม่อยากรู้แน่”
ชายหนุ่มพลันผงะ …ทันใดนั้นพลันตระหนักถึงความเป็นไปได้หนึ่ง
โดยทั่วไปแล้ว วัตถุดิบวิเศษสำหรับปรุงโอสถจะมาจากสัตว์วิเศษ …ส่วนผู้คลุ้มคลั่งจะหลงเหลือวัตถุดิบอาละวาดซึ่งจะกลายเป็นสมบัติวิเศษในภายหลัง
…เช่นนั้นแล้ว วัตถุดิบจากผู้วิเศษปรกติซึ่งไม่ได้คลุ้มคลั่ง คงไม่ได้ถูกนำไปปรุงเป็นส่วนผสมโอสถเหมือนกับสัตว์วิเศษหรอกใช่ไหม?
เมื่อผุดความคิดเหล่านี้ ไคลน์พลันคลื่นไส้เหนือคำบรรยายจนแทบอาเจียน มันไม่สามารถนั่งเหยียดตัวตรง แม้กระทั่งสายตาก็เริ่มพร่ามัว
…น่ารังเกียจเกินไปแล้ว! แต่ทฤษฎีนี้กลับสมเหตุสมผลและมีความเป็นไปได้สูงสุด!
เมื่อตระหนักถึงความเน่าเฟะของโลกผู้วิเศษ ไคลน์เริ่มเข้าใจความหมายของวลี
‘เพื่อจะต่อสู้กับนรก อันดับแรกต้องอดทนการกัดกร่อนจากนรกให้ได้’
รวมถึง
‘พวกเราคือผู้พิทักษ์ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งมีชีวิตน่าสงสาร ต้องคอยรับมือภัยคุกคามและความบ้าคลั่งของโลกตลอดเวลา’
หรือนี่จะเป็นหนึ่งในสาเหตุทำให้โบสถ์รัตติกาลต้องปิดบังความจริงเกี่ยวกับเทคนิคสวมบทบาท?
…พวกมันมองบุคลากรระดับล่างเป็นแค่อะไหล่ทางวัตถุดิบวิเศษหรืออย่างไร?
…ไม่น่าใช่ หากเป็นความจริง เหยี่ยวราตรีระดับเบื้องบนคงไม่ยอมรับเรื่องน่าขยะแขยงแบบนี้แน่ ผู้คนจำนวนมากคงตัดสินใจหันหลังให้โบสถ์เมื่อทราบความจริงดังกล่าว
สีหน้าชายหนุ่มแปรผันตลอดเวลาภายในช่วงไม่กี่วินาที
เมื่อเห็นท่าทีตอบสนองของไคลน์ ดันน์อมยิ้มพร้อมกับกล่าวด้วยดวงตาส่องประกายเจือจาง
“…ลองคิดในมุมอื่นดูสิ อย่างน้อยพวกพ้องก็ยังอยู่กับเราตลอดไป ทุกคนกำลังเฝ้ามองเราในรูปแบบแตกต่างจากปรกติ”
หลังสิ้นเสียง ดันน์ก้มศีรษะลงพลางหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาจ่อปาก บรรยากาศห้องเงียบงันราวยี่สิบวินาที ก่อนดันน์จะเริ่มอธิบายต่อ
“ไม่ต้องกังวล จากสถานการณ์ปัจจุบัน ทางโบสถ์รัตติกาลยังสามารถรวบรวมวัตถุดิบวิเศษได้ด้วยวิธีการปรกติ ดังนั้นเรื่องราวจึงได้ไม่ร้ายแรงตามความเข้าใจของคุณ …เอาล่ะ ตามกฎคุณจะได้รับวันหยุดเพิ่มหลังจากเลื่อนลำดับ อยากไปฝึกกับกาเวนช่วงบ่ายไหม? แต่ถ้าจะลาพักก็ต้องหาทางแจ้งให้เขาทราบ”
ไคลน์พยักหน้ารับ มันสูดลมหายใจเข้าปอดพลางเหยียดหลังตั้งตรง
“…หัวหน้า ผมเรียนศาสตร์เร้นลับจนจบหลักสูตรแล้ว อยากใช้เวลาช่วงเช้าเรียนเกี่ยวกับเทคนิคพิเศษเพิ่มเติม เช่นการสะกดรอยและเฝ้าจับตาเป้าหมาย”
มันเว้นวรรคหนึ่งลมหายใจก่อนเสริมด้วยสีหน้าขึงขัง
“ผมอยากเป็นเหยี่ยวราตรีเต็มตัวโดยเร็ว”
ดันน์จ้องมองตาไม่กะพริบ จากนั้นก็ผ่อนลมหายใจแผ่วเบา
“จิตใจของคุณเข้มแข็งเหนือความคาดหมายมาก …จัดให้ตามคำขอ”
“ขอบคุณครับหัวหน้า!”
ชายหนุ่มลุกขึ้นพร้อมกับวาดสัญลักษณ์จันทร์แดงกลางหน้าอก
…
หลังออกจากสำนักงานหนามทมิฬ ชายหนุ่มมิได้ตรงกลับบ้านเพื่อพักผ่อน แต่เลือกโดยสารรถม้าส่วนตัวไปยังบ้านอะซิก
กริ๊ง กริ๊ง
ขณะกระดิ่งดังเสียงใสกังวาน อะซิกในเชิ้ตขาวกั๊กดำรีบเดินออกมาเปิดประตู
มุมกระเป๋าเสื้อมีโซ่ทองห้อยคล้องกับลำคอ
“วันนี้คุณไม่ต้องทำงานหรือ?”
อะซิกซักถามอย่างงุนงงขณะแหงนมองดวงอาทิตย์ด้านบนซึ่งยังไต่ขึ้นไปไม่ถึงจุดสูงสุดของวัน
“ผมได้รับวันหยุดพิเศษด้วยเหตุผลบางประการ”
ไคลน์อธิบายคลุมเครือ
อะซิกจ้องมองชายหนุ่มพลางผงกศีรษะคล้ายกับตระหนักถึงบางสิ่ง ก่อนจะหลบทางให้ไคลน์เดินเข้าไปในบ้าน
ณ โถงด้านหน้า ไคลน์วางไม้เท้าพร้อมกับถอดหมวกแขวน จากนั้นก็เดินตามอาจารย์ผิวแทนเข้าไปในห้องนั่งเล่น
ถือเป็นห้องบรรยากาศหรูหรา อุปกรณ์ตกแต่งครบครัน มีพร้อมตั้งเตาผิง เก้าอี้โยก โซฟาหนานุ่ม รวมถึงโต๊ะกาแฟ ไคลน์เลือกเดินไปนั่งเก้าอี้ตัวถนัดของตน
อะซิกนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามพร้อมกับชี้ไปยังซิการ์บนโต๊ะกาแฟ
“สักตัวไหม?”
“ไม่ครับ” ไคลน์ส่ายหัวหนักแน่น
อะซิกไม่พยายามเกลี้ยกล่อม มันหยิบไม้ขีดไฟขึ้นมาจุดซิการ์หนึ่งตัว ปากพึมพำถามชายหนุ่มตามมารยาท
“คดีหมู่บ้านมอร์สเป็นอย่างไรบ้าง”
“ผมต้องขอบคุณมาก” ไคลน์อมยิ้มจริงใจ
ขณะเดียวกันก็แอบเหน็บแนม
…มิสเตอร์อะซิก ตัวคุณก่อนสูญเสียความทรงจำต้องมั่งคั่งมากเพียงใด ไม่มีอาจารย์มหาวิทยาลัยหน้าไหนสูบซิการ์เล่นสบายใจเฉิบแบบนี้หรอกนะครับ
ขณะอะซิกยกซิการ์ชนริมฝีปาก ไคลน์ตัดสินใจซักถาม
“มิสเตอร์อะซิก ผมมีเรื่องสงสัย”
“ว่ามา” มันส่งเสียงตอบขณะก้มหน้า
ไคลน์เว้นวรรคพลางเรียบเรียงคำพูดในหัว
“เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งบังเอิญเกิดประสบภาวะคลุ้มคลั่ง ผมอยากทราบว่าดวงวิญญาณของเขาถูกปนเปื้อนหรือไม่”
มันไม่มั่นใจว่าอะซิกรู้จักวลี ‘คลุ้มคลั่ง’ ไหม จึงเตรียมคำตอบไว้ในใจล่วงหน้า
อะซิกเงยหน้ามองไคลน์พร้อมกับผงกหัว
“ไม่ต้องสงสัยเลย ในสถานการณ์ทำนองนี้ คุณต้องระวังตัวให้มากเป็นพิเศษ หากบุคคลใดคลุ้มคลั่งเนื่องจากถูกเทพนอกรีตหรือปีศาจล่อลวง ต้องพยายามหลีกเลี่ยงการประกอบพิธีกรรมสื่อวิญญาณ หากไม่แล้ว ตัวคุณเองก็จะเป็นอันตรายไม่ต่างกัน”
“ขอบคุณครับ” ไคลน์ถอนหายใจผิดหวัง
ขณะเกิดเหตุในบ้านของนีลล์ ไคลน์ไม่ได้นึกถึงพิธีกรรมสื่อวิญญาณสักนิด แถมดันน์ยังไม่ยอมทักท้วง จึงพลาดโอกาสพูดคุยกับนีลล์เป็นหนสุดท้าย
…ตอนนี้ทราบแล้วว่า หัวหน้าไม่ได้ลืม เพียงแต่จงใจหลีกเลี่ยงพูดถึง
ไคลน์รำพัน
มันไม่ได้เตรียมบทสนทนากับอะซิกไว้ล่วงหน้า ประเด็นพูดคุยแรกจึงเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเอง
“มิสเตอร์อะซิก ขณะอยู่ในหมู่บ้านมอร์ส ผมทดลองทำนายหาสาเหตุความผิดปรกติ แล้วก็ได้เห็นนิมิตของพีระมิดสีดำในสภาพกลับหัวฝังดิน จากการสอบถามเพื่อนร่วมทีม เขาบอกว่านั่นคือสัญลักษณ์ของ ‘เทพมรณา’ มีเพียงลูกหลานเทพมรณาเท่านั้นจะได้รับเกียรตินี้”
ขณะอะซิกวางไม้ขีดไฟลงเพื่อหยิบเครื่องตัดซิการ์ มันชะงักงันนานหลายวินาทีโดยไม่ยอมขยับตัว
…จนกระทั่ง อาจารย์ผิวแทนเอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยสีหน้าดำมืดผิดปรกติ จากนั้นก็กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ผมรู้สึกคุ้นเคยมาก แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าเกี่ยวข้องกันอย่างไร”
“น่าเสียดายนะครับ” ไคลน์ถอนหายใจ
มันคิดว่าผลการทำนายของตนจะช่วยเปิดเผยเบาะแสในอดีตของมิสเตอร์อะซิกได้บ้าง
อะซิกตัดฝาซิการ์พลางอมยิ้มขื่นขม
“หากย้อนนึกถึงความทรงจำเก่าได้ง่ายขนาดนั้น ตัวผมในอดีตคงหลุดพ้นจากคำสาปได้นานแล้ว …แต่ก็ขอบคุณสำหรับความพยายาม ทุกข้อมูลของคุณมีค่ากับผมมาก”
มันเว้นวรรคก่อนเสริม
“…จริงสิ ผมมีแผนจะไปจากทิงเก็นในอนาคตอันใกล้”
“ทำไมกัน?” ไคลน์ถามด้วยสีหน้าฉงน
…พวกเราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือ ว่าจะร่วมมือกันตามล่าตัวบุคคลลึกลับบ้านปล่องไฟแดงซึ่งบิดเบือนโชคชะตาของผม และยังขโมยกะโหลกศีรษะของบุตรชายคุณ
อะซิกถือซิการ์โบกไปมาพลางถอนหายใจ
“เป้าหมายคงตระหนักได้ว่าผมกำลังแกะรอยมันอยู่ ในช่วงระยะหลัง ผมแทบไม่พบเบาะแสเพิ่มเติมเลย ราวกับอีกฝ่ายพยายามปิดบังมิดชิด …ด้วยเหตุนี้ การเดินทางไปยังเบ็คลันด์คงเหมาะสมกว่า นอกจากจะสืบหาอดีตของตัวเอง การขาดหายไปของผมอาจทำให้มันลดระดับความระแวงลง”
…นั่นสินะ มิสเตอร์อะซิกตื่นขึ้นมาในกรุงเบ็คลันด์ น่าเสียดาย เขาคงช่วยเราหาบุคคลลึกลับบ้านปล่องไฟแดงไม่ได้แล้ว
ไคลน์ผงกศีรษะแผ่วเบาโดยไม่ปิดบังสีหน้า
“ผมจะตามสืบต่อไปอีกสักพัก หากเป้าหมายเปิดเผยตัวตนและเริ่มลงมือ จะรีบแจ้งให้คุณทราบทันที”
ไคลน์เชื่อว่า ในเมื่ออะซิกเกี่ยวพันกับเทพมรณา หรืออาจเป็นลูกหลานของเทพมรณา ชายคนนี้คงมีพลังของเส้นทางผู้เก็บซากศพ ถ้าเช่นนั้นก็ต้องมี ‘วิญญาณรับใช้’ ไว้คอยส่งข่าวสารเหมือนกับมาดามดาลีย์
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ หากอะซิกมีวิญญาณรับใช้จริง ก็จะเป็นเครื่องยืนยันว่ามันคือลูกหลานของเทพมรณา
อะซิกอัดซิการ์เข้าปอดพลางนั่งครุ่นคิดราวยี่สิบวินาที จากนั้นก็ล้วงหยิบสิ่งหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อซ้าย
…นกหวีดทองแดงลวดลายซับซ้อน ลักษณะค่อนข้างเก่า สลักอักขระลึกลับซึ่งแผ่พลังวิญญาณประหลาดตลอดเวลา
“สิ่งนี้ได้ติดตัวผมมาด้วยขณะลืมตาตื่นขึ้นในกรุงเบ็คลันด์ เมื่อคุณเป่าสุดแรง ผู้ส่งสารของผมจะปรากฏตัว”
อะซิกถือนกหวีดทองแดงพร้อมกับอธิบายโดยละเอียด
…ยังคงใช้ได้ดีแม้จะผ่านมานานหลายปี?
สมบัติวิเศษงั้นหรือ?
ไคลน์ประหลาดใจเล็กน้อย แต่ขณะเดียวกันก็โล่งใจเมื่อทราบว่าอะซิกมีส่วนเกี่ยวข้องกับเทพมรณาจริง
อะซิกชำเลืองมองไคลน์ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อแสดงการใช้นกหวีดเป็นตัวอย่าง
แก้มของมันบวมพอง จากนั้นก็พ่นลมหายใจออกสุดแรง
…เงียบสงัด
แต่ไคลน์พลันตระหนักถึงบรรยากาศเย็นยะเยียบเฉียบพลัน มวลอากาศรอบตัวเริ่มติดขัด ชวนให้อึดอัดพะอืดพะอม
มันรีบกระทบกรามซ้ายสองหนเพื่อเปิดเนตรวิญญาณสำรวจ แล้วก็ได้พบภาพกระดูกมายาสีขาวจำนวนมากถูกโยนลงพื้นทีละท่อนจนสุมกลายเป็นกองภูเขากระดูก
ถัดมาไม่กี่วินาที สัตว์ประหลาดมายาได้ปรากฏตัวท่ามกลางห้องนั่งเล่นบ้านอะซิก
ร่างของ ‘ผู้ส่งสาร’ ทำจากกระดูกสีขาวโพลนสูงกว่าสี่เมตร เบ้าตามีเปลวเพลิงสีดำสนิทลุกโชนตลอดเวลา กำลังยืนค้ำหัวไคลน์ซึ่งมีส่วนสูงยังไม่ถึง 1.75 เมตรดี
ขณะแหงนหน้ามองศีรษะของสัตว์ประหลาดกระดูกซึ่งเกือบแตะถึงเพดาน ไคลน์เริ่มตั้งคำถามในใจ
…มิสเตอร์อะซิก ผู้ส่งสารของคุณ
…ไม่ตัวใหญ่ไปหน่อยหรือ?
อย่างไรก็ตาม อะซิกมิได้คิดแบบเดียวกัน มันอมยิ้มอย่างภาคภูมิใจและอธิบายต่อ
“หลังจากคุณมอบจดหมายให้เขา ต้องเป่านกหวีดซ้ำอีกครั้งเพื่อสิ้นสุดการอัญเชิญ จากนั้นเขาจะรีบนำจดหมายมาส่งถึงมือผมด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ …อย่างลับๆ”
ถัดมา อะซิกตวัดข้อมือเพื่อขว้างนกหวีดทองแดงโบราณข้ามห้องมาให้ไคลน์
ชายหนุ่มใช้มือขวาคว้าไว้อย่างแม่นยำ พร้อมกับตระหนักถึงความเย็นเฉียบของผิวโลหะได้ทันที แต่เป็นความเย็นในลักษณะอ่อนโยน มิได้บาดทำร้ายผิวหนัง
…ขอบคุณโอสถตัวตลก ไคลน์สูดลมหายใจผ่อนคลายก่อนจะเป่านกหวีดสุดปอด
ผู้ส่งสารกระดูกมายาร่างใหญ่เริ่มจมลงไปใต้พื้นบ้านอย่างเงียบงัน จากนั้นก็หายตัวไปโดยสมบูรณ์
…
แม่น้ำทัสซอคไหลพาดผ่านใจกลางกรุงเบ็คลันด์รวมถึงท่าเรือโดยรอบ
อัลเจอร์·วิลสันในชุดคลุมนักบวชแห่งโบสถ์วายุสลาตัน มันย่างกรายลงจากห้องโดยสารเรือด้วยมาดสุขุม
แฮงแมนแห่งชุมนุมไพ่ทาโรต์กวาดสายตามองผู้คนเดินขวักไขว่รอบท่าเรือ ส่วนใหญ่เป็นแรงงานร่างกายกำยำ แต่ละคนล้วนเหงื่อไคลเปียกชุ่มเนื่องจากแสงแดดอันร้อนระอุ บรรยากาศรอบตัวมีเสียงอึกทึกเล็กน้อย
“ไม่ได้เจอกันนาน …เบ็คลันด์”
อัลเจอร์พึมพำ
……………………