ตอนที่ 230 : สอบปากคำ
ณ เขตราชินี ภายในบ้านแสนธรรมดา
ซิลและฟอร์สหาเก้าอี้นั่งแบบสุ่ม ก่อนจะเพ่งมองข้อความเต็มพรืดบนกระดานดำ
เฉกเช่นทุกคราว มิสเตอร์ A ในชุดคลุมยาวปกปิดศีรษะ นั่งสำรวจรอบห้องอย่างเงียบงันจากเก้าอี้นวมมุมสูง สายตาค่อนไปทางทระนงตนว่าเหนือกว่าใครภายในห้อง
“สูตรโอสถลำดับ 8 เจ้าพนักงาน สี่ร้อยห้าสิบปอนด์”
ซิลนั่งอ่านข้อความคุ้นเคยพลางถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย เธอกังวลมาตลอดว่าจะไม่มีคนขายสูตรโอสถหลังจากรวบรวมเงินครบตามจำนวน!
‘แบ่งกับฟอร์สได้คนละ สี่ร้อยปอนด์ เมื่อรวมกับเงินออมส่วนตัวอีก หนึ่งร้อยห้าสิบปอนด์…ยังพอเหลือใช้อยู่บ้าง แต่หลังจากนี้ต้องเก็บเงินอีกก้อนสำหรับซื้อวัตถุดิบหลัก จริงสิ ต้องหาชุมนุมอื่นเข้าร่วมด้วย เผื่อจะมีคนสนใจซื้อสูตรโอสถเจ้าพนักงาน’
ซิลเริ่มกระปรี้กระเปร่าหลังจากพบช่องทางทำเงินในอนาคต แต่ว่ากันตามตรง ถ้าไม่เพราะต้องการเงินเร่งด่วนสำหรับซื้อวัตถุดิบหลักมาปรุงโอสถ เธอก็ไม่อยากปล่อยสูตรโอสถผู้พิพากษาสักเท่าไร
ตามธรรมชาติแล้ว ผู้วิเศษต้องการให้เส้นทางของตนมีจำนวนคนน้อยเข้าไว้ โดยเฉพาะผู้วิเศษลำดับเดียวกัน เนื่องจากถ้ามีจำนวนผู้วิเศษมาก ราคาวัตถุดิบหลักก็ยิ่งแพงตามกฏอุปสงค์อุปทาน เป็นเช่นนี้ทุกลำดับทุกเส้นทาง
หลังจากไตร่ตรองถี่ถ้วน ซิลเริ่มเกิดอาการกระวนกระวายอีกครั้ง เนื่องจากเริ่มตระหนักว่าสูตรโอสถเจ้าพนักงานของเธออาจขายไม่ออกเป็นเวลานาน
สาเหตุเพราะเส้นทางผู้ตัดสินอยู่ในความควบคุมของเชื้อพระวงศ์และกองทัพโลเอ็น จึงถูกรัฐบาลกวาดล้างหนักหน่วงมากกว่าเส้นทางอื่น แทบไม่มีใครกล้าปล่อยข้อมูลโอสถให้เล็ดลอด นอกจากอดีตตระกูลขุนนางตกยาก
แค่ครอบครองลำดับ 9 ถึง 7 ให้ได้ก็นับว่ายากเต็มที และถึงจะมีสูตรผลิตในมือ แต่การรวบรวมวัตถุดิบหลักนั้นยากยิ่งกว่าการหาสูตรหลายเท่า เพราะส่วนใหญ่จะตกอยู่ในมือตระกูลออกัสตัสหมดแล้ว ส่งผลให้ผู้วิเศษเส้นทางผู้ตัดสินมีจำนวนเพียงหยิบมือ นอกจากจะสังกัดอยู่ในความดูแลของรัฐบาล
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดคือ ซิลแทรกซึมอยู่ในวงการใต้ดินของผู้วิเศษเมืองเบ็คลันด์มานานหลายปี แต่เธอไม่ก็ไม่เคยพบผู้ตัดสินคนอื่นนอกจากตัวเองมาก่อน
อาจเป็นเพราะคนเหล่านั้นปกปิดตัวตนได้ดีเยี่ยม หรือไม่ก็แปลว่า ปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบเป็นเรื่องจริง
ฟู่ว!
‘เมื่อเทียบกับฟอร์สแล้ว ทางเรายังโชคดีกว่ามาก เพราะข้อมูลของเส้นทางผู้ฝึกหัดไม่เคยปรากฏผ่านหูผ่านตาแม้แต่ครั้งเดียว ช่างหายากอะไรเช่นนี้’
เมื่อเห็นผู้ช่วยมิสเตอร์ A กำลังเข้ามาใกล้ ซิลรีบก้มหน้าเขียนความประสงค์ต้องการซื้อสูตรผลิตโอสถเจ้าพนักงานทันที
ถัดมาไม่นาน เธอถูกนำตัวไปยังห้องอ่านหนังสือบนชั้นหนึ่งของบ้าน แต่ก่อนจะย่างกรายเข้าไป สตรีร่างเล็กดึงผ้าคลุมหัวขึ้นมาปกปิดศีรษะจนมิดชิด
ฝ่ายผู้ขายในห้องอ่านหนังสือก็แต่งตัวไม่แตกต่าง ทั้งสองมองไม่เห็นใบหน้ากันและกัน
“สูตรโอสถเจ้าพนักงานอยู่นี่ แล้วเงินอยู่ไหน”
ผู้ขายส่งเสียงแหบพร่าซักถามพลางคว่ำกระดาษแผ่นหนึ่งวางบนโต๊ะ
ซิลหยิบธนบัตรปึกหนึ่งออกมาและยื่นให้อีกฝ่าย เธอนับเงินจำนวนนี้อยู่นานมากระหว่างรอให้ถูกเรียกตัว เพื่อไม่ให้ขาดหรือเกินแม้แต่เพนนีเดียว
หลังจากนับเงินและตรวจสอบความถูกต้องของธนบัตรจนแน่ใจ ฝ่ายขายยอมปล่อยมือจากแผ่นกระดาษ
ซิลเดินเข้าไปหยิบทันที สายตารีบมองหาวัตถุดิบหลัก ส่วนประกอบสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดของโอสถทุกชนิด
“ดวงตาของตัวอ่อนปีศาจหวาดกลัวหนึ่งคู่ อุ้งเท้าขวาของหมีประจัญบานสีเงิน”
‘เรารู้จักพวกมัน แต่ไม่เคยเห็นใครขายสักครั้งเดียว…’
ซิลถอนหายใจผิดหวังพลางเดินออกจากห้องหนังสือ เมื่อกลับเข้ามาในห้องรับแขก เธอดึงผ้าคลุมหัวลงและทิ้งตัวนั่งข้างฟอร์ส
หลังจากจุดประสงค์แรกลุล่วง สตรีร่างเล็กเริ่มหวาดกลัวตัวตนลึกลับเจ้าของนามเต็มยาวเหยียด เธอกังวลว่าวิญญาณร้ายของอีกฝ่ายยังคงตามหลอกหลอน
‘สิบ… ยี่สิบ…ไม่สิ ต้องสามสิบ! สามสิบปอนด์สำหรับจ้างคนประกอบพิธีกรรมปัดเป่าวิญญาณร้าย!’
ซิลตัดสินใจหนักแน่น หลังจากหันไปกระซิบกับเพื่อนสนิทด้านข้าง สตรีร่างเล็กยกมือโบกเรียกผู้ช่วยของมิสเตอร์ A
เมื่อจบช่วงพูดคุยอิสระ ซิลเห็นคำร้องของเธอปรากฏเพิ่มบนกระดาษดำแผ่นใหญ่
“สงสัยว่าจะถูกวิญญาณร้ายครอบงำ จึงต้องการจ้างสหายผู้ชำนาญพิธีกรรมปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายในราคา สามสิบปอนด์”
รอเพียงไม่นาน ผู้ช่วยของมิสเตอร์ A ได้เดินเข้ามาหาและนำทางสองสาวไปยังห้องนั่งเล่นบนชั้นหนึ่ง ด้านในมีชายสวมหน้ากากสีขาวรออยู่ก่อนแล้ว
เมื่อเห็นผู้มาเยือนทั้งสองสวมชุดคลุมยาวตัวโคร่งปกปิดเพศและใบหน้า ชายหน้ากากขาวคิกคักเสียงค่อย
“ผมขอแนะนำตัวเองก่อน พวกคุณจะได้ไม่เคลือบแคลงในฝีมือ”
“ไม่…ไม่จำเป็น พวกเราเชื่อมิสเตอร์ A”
ซิลในชุดปกปิดตัวตนชิงพูดตัดหน้าฟอร์ส สตรีร่างเล็กจงใจบีบเสียงให้ทุ้มต่ำเพื่อปกปิดน้ำเสียงอ่อนหวานเหมือนเด็กสาว
ชายสวมหน้ากากขาวผายมือพลางหัวเราะ
“แต่ผมทำจนติดเป็นนิสัยไปแล้ว ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ผมคือสาวกแห่งสุริยัน พวกคุณคงทราบดี สาวกของสุริยันมิใช่ตัวตนธรรมดาในเบ็คลันด์ หรือแม้แต่ภายในอาณาจักรโลเอ็น ผมสามารถเป็นตัวของตัวเองได้เฉพาะเวลาเช่นนี้เท่านั้น”
เนื่องจากความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างโบสถ์วายุสลาตันและโบสถ์สุริยันเจิดจรัส ฝ่ายหลังจึงไม่ได้รับสิทธิ์ให้ก่อตั้งศาสนาภายในราชอาณาจักรโลเอ็น
“สาวกแห่งสุริยัน?”
ฟอร์สสลัดท่าทางเฉื่อยชาทิ้ง
“ดิฉันไม่เคยเห็นสาวกแห่งสุริยันตัวเป็นๆ เลยสักครั้ง…จริงสิ! คงเพราะไม่เคยมีโอกาสได้พบบุคคลในแวดวงระดับสูงมากกว่า”
“ผมต้องรู้สึกเป็นเกียรติใช่ไหม”
เมื่อพูดจบบุรุษหน้ากากขาวกางแขนออกกว้างคล้ายท่าสรรเสริญดวงอาทิตย์
ฟอร์สฉีกยิ้มแทนการมอบคำตอบ
“หากเป็นศาสตร์ด้านชำระล้างและขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย สาวกแห่งสุริยันนับว่าเชี่ยวชาญกว่าใครทั้งหมด ดิฉันสบายใจแล้ว ทางคุณสามารถเริ่มได้ทันที”
บุรุษผู้เรียกตัวเองว่าสาวกแห่งสุริยันมิได้กล่าวสิ่งใดเพิ่มเติม เพียงหยิบตราสัญลักษณ์ ‘ดวงอาทิตย์’ ออกมาวางกึ่งกลางโต๊ะกลม จากนั้นก็ประกอบพิธีกรรมคู่ขนานโดยการจุดเทียนไขสองเล่ม
หลังจากเสร็จขั้นตอนเตรียมตัว มันเริ่มเปล่งท่วงทำนองสวดภาวนาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเกินความจำเป็น
“ท่านสุริยันผู้เป็นนิรันดร์ ท่านผู้เป็นแสงสว่างไร้สิ้นสุด ท่านผู้เป็นศูนย์รวมแห่งกฏระเบียบ ข้าขอสวดภาวนาต่อท่าน ได้โปรดมอบพลังแสงชำระล้าง ได้โปรดขับไล่วิญญาณร้ายภายในร่างกายบุคคลเหล่านี้ให้หมดไป”
………
ท่ามกลางเสียงสวดคาถาเป็นภาษาเฮอร์มิส ซิลและฟอร์สมองเห็นแสงจ้าแผ่ออกจากตราสัญลักษณ์แห่งสุริยัน อัดแน่นด้วยความอบอุ่นและบริสุทธิ์ผุดผ่องเหนือคำบรรยาย
มันสาดส่องอย่างโชติช่วงประหนึ่งคลื่นสมุทรซัดโถม โอบกอดร่างหญิงสาวทั้งสองอย่างอ่อนโยนเจือความเมตตากรุณา
ราวหนึ่งนาทีถัดมา ทุกสิ่งกลับสู่ภาวะปกติ ทั้งฟอร์สและซิลสัมผัสถึงความอบอุ่นอัดแน่น ร่างกายเบาสบายคล้ายล่องลอย ราวกับกำลังยืนแช่บ่อน้ำพุร้อนอุณหภูมิพอเหมาะ
……..
เขตเชอร์วู้ด
ณ สถานีตำรวจไรซ์
ไคลน์กำลังนั่งบนม้านั่งยาวร่วมกับหัวขโมยและขี้เมา หากมีคนรู้จักผ่านมาเห็นเข้าคงเกิดความอับอายไม่น้อย
ทันใดนั้น มันสัมผัสถึงความอบอุ่นอ่อนโยนเกิดขึ้นหลังฝ่ามือ ช่วยขจัดไอเย็นยามค่ำคืนของกรุงเบ็คลันด์ได้เป็นอย่างดี
ไคลน์รีบก้มหน้าสำรวจหลังมือ แต่ก็ไม่พบสัญลักษณ์ 4 จุดแทนห้วงมิติเหนือสายหมอกสีเทาปรากฏขึ้นเหมือนทุกครั้ง
‘ใครกัน? ใจดีจัง รู้ด้วยว่าเรากำลังหนาว’
ชายหนุ่มพึมพำติดตลก แต่ส่วนหนึ่งก็รู้สึกประหลาดใจ
ในฐานะอดีตสารวัตร มันหันมองหัวขโมยทางซ้ายมือ อีกฝ่ายกำลังถูกกุญแจมือล่ามไว้กับท่อ ต่อด้วยการหันไปทางขวา ไคลน์พบกับขี้เมาพร้อมสำรอกอ้วกตลอดเวลา ปากเอาแต่ตะโกนโหวกเหวกอวดโอ่เรื่องชกต่อย
มันทำได้เพียงถอนหายใจกับสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไคลน์ไม่มั่นใจเลยสักนิดว่าตนจะเป็นอิสระจากสถานการณ์ปัจจุบัน
‘คงมีการสอบปากคำหลังจากนี้ และเราจะปลอดภัยถ้าผ่านมันไปได้’
หวังว่าตำรวจจะเพ่งความสนใจไปยังกลุ่มซีมังเกอและราชทูตคนนั้น ส่วนนักสืบอ่อนแอไร้ชื่อเสียงอย่างตน พวกมันคงไม่แยแสเท่าไร
‘ในทางทฤษฎีมีโอกาสเป็นไปได้ค่อนข้างมาก นอกเสียจากคุณนายซาเมอร์และนักกฎหมายเยอร์เก้นจะเล่าเรื่องไม่จำเป็นให้ตำรวจ แต่พวกเขาเพิ่งรู้จักเรา คงไม่มีข้อมูลอะไรให้พูดมากนัก ส่วนตะกอนพลังของเมอซอลถูกเรานำไปซ่อนเหนือสายหมอกสีเทาแล้ว เมอซอลไม่ได้ทำตัวแปลกประหลาด ศพของมันก็ไม่ได้พกสิ่งของผิดปกติ ตำรวจคงไม่ทราบว่าเมอซอลเคยเป็นผู้วิเศษมาก่อน และไม่ตั้งข้อสงสัยในฝีมือเรา หืม…ผ่านมาเกินหนึ่งชั่วโมงแล้วสินะ’
ระหว่างให้กำลังใจตัวเอง ไคลน์หันไปเห็นจ่าตำรวจเคราสั้นสีน้ำตาลเดินเข้ามาใกล้
“เชอร์ล็อก·โมเรียตี้ รบกวนตามผมไปห้องสอบสวน”
จ่าตำรวจกล่าวเสียงห้วนโดยไม่อธิบายเพิ่ม
‘มาแล้วสินะ’
ไคลน์ลุกขึ้นเดินตามอย่างว่าง่าย
หลังจากหักเลี้ยวหนึ่งครั้งตรงมุมทางเดิน จ่าตำรวจนำทางไคลน์มาหยุดหน้าบานประตูเหล็กพร้อมกับส่งสัญญาณเชื้อเชิญให้เข้าไป
ชายหนุ่มสูดลมหายใจเต็มปอด ตามด้วยถอนหายใจยาวเหยียด จากนั้นก็กระตุกด้ามจับและออกแรงเปิดประตู
ข้างในมีลักษณะเป็นห้องขนาดเล็ก กำแพงค่อนข้างหนา โต๊ะเล็กตั้งกึ่งกลาง รวมถึงเก้าอี้สองตัวหันหน้าเข้าหากัน
ด้วยแสงสว่างจากตะเกียงหรูหรา ไคลน์มองเห็นพนักงานสอบสวนในเชิ้ตสีดำ แต่งกายได้ค่อนข้างประหลาด เพราะอีกฝ่ายไม่ได้สวมเครื่องแบบมาตรฐานอย่างเสื้อกั๊ก แต่กลับสวมโค้ท เสื้อผ้านอกระเบียบการแต่งกาย ทับเข้าไปแทน
คิ้วเล็กบาง ดวงตาสีฟ้าเย็นชา ใบหน้าเรียวคมประหนึ่งใบมีด แววตาดุดันแข็งกร้าวปราศจากความอ่อนโยน
มันชี้ไปทางเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามตัวเองพร้อมกับเปล่งเสียงทุ้ม
“ผมถาม คุณตอบ”
ยังไม่ทันสิ้นสุดประโยค ไคลน์สัมผัสว่ามีพลังลึกลับล่องหนพุ่งเข้ามาสะกดข่มตนไว้อย่างหนักหน่วง เป็นความรู้สึกคล้ายจิตใจถูกแส้ไฟฟ้าฉีกกระชาก ดวงวิญญาณถูกแส้หนามเฆี่ยนตี
‘ความรู้สึก’ ทั้งหมดทั้งมวลเป็นไปอย่างเจ็บปวดประหนึ่งสมองสั่งการโดยตรง หมดสิทธิ์ขัดขืนโดยสิ้นเชิง กระทำสิ่งใดไม่ได้นอกจากสั่นเทาและงอเข่าลงอย่างจำนน
ไคลน์เกือบล้มลงพื้น มันใช้มือคว้าขอบโต๊ะไว้ได้ทันและพยุงตัวนั่งลงบนเก้าอี้
ขมับเต้นระรัวราวกับจะระเบิดเสียให้ได้
‘นี่มัน…พลังพิเศษแน่นอน’
มนุษย์ปกติคงเข้าใจว่าสิ่งนี้คืออาการทางจิตทั่วไป เกิดจากความประหม่าและสีหน้าไม่เป็นมิตรของพนักงานสอบสวนฝั่งตรงข้าม แต่ไคลน์สามารถจำแนกได้ชัดเจนว่านี่คือพลังพิเศษ พลังสำหรับการจู่โจมจิตใจโดยตรง!
ไคลน์รีบย้อนความทรงจำในสมองและทราบถึงตัวตนแท้จริงของอีกฝ่าย
เส้นทางผู้ตัดสิน
ลำดับ 7 นักสอบสวน!
‘คดีถูกส่งต่อให้หน่วยลับของกองทัพสินะ’
ไคลน์ครุ่นคิดอย่างโล่งใจ เพราะมันภาวนาขอให้เป็นหน่วยใดก็ได้ยกเว้นเหยี่ยวราตรี
“เมอซอลแอบพบกับราชทูตคนใด จงระบุจากภาพถ่ายเหล่านี้”
บุรุษผู้แข็งกร้าวและเย็นชาทำการวางภาพถ่ายเจ็ดถึงแปดใบเรียงบนโต๊ะ
เมื่อสิ้นเสียงไคลน์สัมผัสว่าตนถูกแส้ไฟฟ้าเฆี่ยนใส่จิตใจจนเจ็บแปลบ คล้ายกับเป็นคำเตือนต่อร่างกายมิให้ริอ่านเล่าความเท็จต่อหน้าเจ้าพนักงาน
แน่นอน ไคลน์ไม่คิดโกหกอยู่แล้ว หลังจากสำรวจทุกภาพจนมั่นใจ มันเลื่อนภาพหนึ่งกลับไปทางพนักงานสอบสวน
เป็นภาพของบุรุษวัยกลางคนมาดภูมิฐาน แต่งกายหรูหราสง่างาม บรรยากาศรอบตัวเปี่ยมด้วยเสน่ห์น่าหลงใหล
นักสอบสวนชำเลืองมอง แต่ไม่แสดงปฏิกิริยาตอบสนองเพียงซักถามเสียงทุ้ม
“ก่อนหน้านี้ คุณได้เล่าความจริงให้เจ้าพนักงานฟังทั้งหมดหรือไม่”
ทันใดนั้น ไคลน์รู้สึกคล้ายกับตัวเองถูกดึงเข้าสู่ความฝันอันล่องลอย การมองเห็นเริ่มพร่ามัวไม่คมชัด อย่างไรก็ตาม สติสัมปชัญญะชายหนุ่มยังครบถ้วนสมบูรณ์ มันไม่โอนอ่อนยอมจำนนต่อพลังของ ‘แส้’ และตอบกลับไปตามเจตจำนงตัวเอง
“ไม่มีความเท็จแม้แต่หนึ่งพยางค์”
พนักงานสอบสวนโน้มตัวเข้าหาไคลน์พร้อมกับใช้สองมือเท้าโต๊ะ
“พบเอียน·ไรท์ครั้งสุดท้ายเมื่อไร”
“มะ…เมื่อวานตอนเช้า”
ไคลน์เค้นเสียงตอบอย่างยากลำบาก
“ผมสะกดรอยตามเมอซอลจนได้พบกับศพของนักสืบเซอเรียล แต่ผมไม่ต้องการเผชิญหน้าตำรวจ จึงให้เอียนมายืนยันศพและเรียกตำรวจแทน ศพของนักสืบเซอเรียลอยู่ในท่อน้ำทิ้ง ฝาทางเข้าอยู่บนถนนเหล็กคาร์บอนในเขตตะวันออก ลงไปเจอทางแยกแล้วเลี้ยวขวาสุดทางตัน”
บรรยากาศภายในห้องเงียบงันสักพัก จนกระทั่งพนักงานสอบสวนผงกศีรษะแผ่วเบา
ทันใดนั้น ไคลน์ตระหนักว่าพลังสะกดข่มได้หายไปพร้อมกับ ‘แส้’ ล่องหน
“ออกไปได้”
น้ำเสียงของมันยังคงปราศจากอารมณ์
ไคลน์ลุกยืนพลางหันหลังกลับไปเปิดห้อง มันไม่คิดปกปิดอาการแข้งขาสั่นของตัวเอง
‘เหนื่อยกว่าสู้เมอซอลเสียอีก…’
หากผิดพลาดเพียงเล็กน้อย จิตและวิญญาณของตนจะถูกแส้ฉีกทำลาย อีกฝ่ายจะเข้าครอบงำโดยสมบูรณ์ และความจริงทั้งหมดก็จะพรั่งพรูออกจากปาก
‘เป็นเพราะจิตเราแข็งเป็นพิเศษ รวมถึงความเคยชินกับเสียงกระซิบแหบพร่าชวนปวดหัวขณะเข้ามิติสายหมอก เราจึงสามารถอดทนต่ออาการทางจิตได้ทุกชนิด และรักษาความสุขุมได้ตลอดเวลา ถ้าไม่มีความพิเศษเช่นนี้คอยค้ำจุน จิตใจคงถูกป่นจนแหลกเป็นผงไปแล้ว นักสอบสวน…น่ากลัวฉิบ’
ไคลน์เดินตรงไปตามทางแผ่นหลังยังคงเย็นวาบเป็นระยะ
ทันใดนั้นจ่าตำรวจเดินเข้ามาใกล้
“ตามผมมากรอกเอกสารก่อน นักกฎหมายเยอร์เก้นกำลังรอประกันตัวคุณออกไป”
ฟู่ว…
ชายหนุ่มถอนหายใจยาวสุดปอด มันกำลังผ่อนคลายอย่างแท้จริง
ความฉิบหายจบลงได้สักที
…………….