Skip to content
Home » Blog » Lord of the Mysteries 236

Lord of the Mysteries 236

ตอนที่ 236 : ภารกิจภายใน

หลังจากความรู้ทางด้านศาสตร์เร้นลับของไคลน์เริ่มลึกซึ้ง รวมถึงการลองผิดลองถูกมากมายเกี่ยวกับห้วงมิติเหนือหมอกเทา ชายหนุ่มไม่เกิดอาการประหม่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับมิสจัสติส แฮงแมน และเดอะซันเหมือนเมื่อก่อน

ไม่ต้องกลัวว่าตัวตนของเดอะฟูลจะไม่สูงส่งและลึกลับซับซ้อนยากหยั่งถึง จนส่งผลให้สมาชิกชุมนุมทาโรต์ไม่เคารพนับถือ

เพราะแม้ตัวตนระดับเทพชื่อดังบนโลกจะแข็งแกร่งและมากด้วยอิทธิฤทธิ์พิสดาร แต่ก็ไม่มีใครใกล้เคียงกับการเป็นเจ้าโลกเลยสักนิด ไม่ถึงระดับขอบเขตของมหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง

คำอธิบายเชิงปาฏิหาริย์มากมายล้วนเป็นของพระผู้สร้างต้นกำเนิดเพียงองค์เดียว และจากข้อมูลปัจจุบันของไคลน์ กลุ่มบุคคลคนกราบไหว้บูชาพระผู้สร้างต้นกำเนิดเหลือเพียงเมืองเงินพิสุทธิ์เท่านั้น

ส่วนเทพตนอื่นมีขีดจำกัด และสามารถตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากได้ไม่ต่างจากมนุษย์ธรรมดาสามัญ ไคลน์มั่นใจในข้อเท็จจริงนี้มาก เนื่องจากพระคัมภีร์แห่งวายุสลาตันและพระคัมภีร์ชี้นำแห่งรัตติกาลต่างเขียนระบุถึงสถานการณ์ยากลำบากของเทพไว้หลายเรื่อง

ดังนั้นในช่วงหลังของชุมนุมทาโรต์ ไคลน์จึงบรรจง ‘อุปโลกน์’ ตัวตนของเดอะฟูลให้สมจริงเข้าไว้ พยายามทำให้สมาชิกคนอื่นมองว่าตนเป็นบุคคลใกล้เคียงเทพ แต่ปัจจุบันยังมิอาจเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระด้วยเหตุผลซับซ้อนบางประการ

ด้วยวิธีนี้ ต่อให้ตนแสดงความไม่รู้บางเรื่องออกไป ก็จะไม่ใช่เหตุการณ์แปลกประหลาดสำหรับสมาชิกชุมนุม รวมถึงการขอความช่วยเหลือก็จะไม่ใช่สิ่งปรกติ

แน่นอน เสาเข็มสำคัญสำหรับการสร้างมโนภาพตัวตนระดับเทพถูกตอกหมุดเรียบร้อยแล้ว สิ่งนั้นคือ ‘ผู้รับใช้’ ระดับไม่ต่ำกว่าครึ่งเทพนามว่า ‘อะซิก’ พลังของชายคนดังกล่าวได้สลักความเชื่ออย่างหมดหัวใจให้กับมิสจัสติสและมิสเตอร์แฮงแมน

‘ฟู่ว! หวังว่าการสร้างภาพของเราจะไม่มีจุดบกพร่องให้จับผิด เพราะถ้าเป็นไปอย่างราบรื่น เราก็ไม่ต้องกังวลว่าจะตอบคำถามบางข้อของสมาชิกไม่ได้’

อย่างไรก็ตาม ตนต้องมี ‘ความรู้ทั่วไป’ ของโลกผู้วิเศษติดตัวไว้พอสมควร ห้ามแสดงความไม่รู้ในเรื่องพื้นฐานโดยเด็ดขาด

ไคลน์เคาะโต๊ะสำริดเสียงค่อยพลางฉีกยิ้ม

“เราต้องการมอบภารกิจ”

‘ภารกิจ? ’

ออเดรย์พลันหูกระดิก ดวงตาของเด็กสาวกำลังลุกวาวเบิกโพลง

ภายในใจของเธอกำลังตกตะลึง คาดหวัง และกระวนกระวาย เพราะเดอะฟูลเพิ่งเคยมอบภารกิจด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก!

แม้ในการชุมนุมก่อนหน้า ท่านจะเคยไหว้วานให้สมาชิกกระทำเรื่องง่ายสักสองสามสิ่ง แต่ส่วนใหญ่เกิดจากการติดหนี้บุญคุณของฝ่ายสมาชิกก่อน ม่านจึงให้ชดใช้ในรูปแบบของงานจิปาถะ คล้ายกับเลือกงานแบบส่งเดชเพื่อให้สมาชิกตอบแทนได้อย่างเท่าเทียม มิได้เป็นฝ่ายออกปากขอร้องก่อน

แถมยังใช้คำว่า ‘ภารกิจ’

ขณะเดียวกัน เด็กสาวอาศัยสัมผัสอันเฉียบแหลมหยั่งรู้ว่า แม้แฮงแมนจะแสร้งตีหน้าเคร่งขรึมภายนอก แต่ภาวะอารมณ์ปัจจุบันก็กำลังตึงเครียดผิดวิสัย

ส่วนเดอะซัน เด็กหนุ่มคนนี้ไร้เดียงสาและตามเรื่องราวไม่ค่อยทันเป็นทุนเดิม แถมยังเป็นสมาชิกใหม่ สีหน้าท่าทีว่างเปล่าจึงเป็นเหตุการณ์ปรกติ

“พวกเจ้าสามารถปฏิเสธได้”

ด้วยความช่วยเหลือจากพลังโอสถตัวตลก น้ำเสียงไคลน์ถูกเปล่งอย่างผ่อนคลาย

“อีกหนึ่งผู้รับใช้ของเราเพิ่งเดินทางถึงกรุงเบ็คลันด์ เขาต้องการสะสางบางเรื่องให้เรียบร้อย แต่ไม่สะดวกออกหน้าด้วยตัวเอง”

‘อีกหนึ่งผู้รับใช้’

แฮงแมนผงกศีรษะขณะใช้ความคิด มันไม่ประหลาดใจสักเท่าไร เพราะตัวตนระดับทัดเทียมเทพเฉกเช่นมิสเตอร์ฟูลย่อมมีผู้รับใช้ใต้บัญชาจำนวนมาก

‘คนนี้จะลำดับเท่าไรกันนะ!’

เด็กสาวครุ่นคิดอย่างตื่นเต้น

‘จริงสิ…เรายังติดค้างรางวัลกับท่านอยู่ ถึงมิสเตอร์ฟูลจะให้แฮงแมนแลกเปลี่ยนด้วยไดอารีจักรพรรดิโรซายล์ และท่านก็ไม่ได้สนใจเงินทองของโลกจริง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตอนนั้นเราภาวนาขอความช่วยเหลือจากท่าน เหนือสิ่งอื่นใด ผู้สังหารพลเรือโทวายุคือผู้รับใช้ของท่าน และเขาย่อมต้องการเงินเพื่อใช้จ่ายสำหรับดำเนินภารกิจให้มิสเตอร์ฟูล’

ออเดรย์กำลังรู้สึกผิด

กล่าวกันตามตรง เงินสามหมื่นปอนด์และดินแดนเกษตรกรรมขนาดใหญ่ถือเป็นทรัพย์สินมูลค่าไม่น้อยสำหรับเด็กสาว แต่ก็ไม่ได้มากพอจะส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน

มีก็ดี ไม่มีก็ได้

‘ไม่สิ มีเงินต้องดีกว่าไม่มีอยู่แล้ว’

ออเดรย์ผงกศีรษะเล็กน้อยหลังจากได้ข้อสรุปความคิดตัวเอง

ในฐานะเด็กสาววัยรุ่น หากไม่นับแปลงเกษตรกรรมขนาดมหึมา เธอไม่สามารถนำเงินสดจำนวน สามหมื่นปอนด์ออกมาใช้จ่ายอย่างอิสระ ทำได้เพียงลงทุนตามคำแนะนำของบิดา เช่นการนำไปซื้อหุ้นของบริษัทผลิตอาวุธแห่งเบ็คลันด์ รวมถึงซื้อหุ้นกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ พวกมันเตรียมฮุบกิจการเรือรบหุ้มเกราะในอนาคตอันใกล้

สรุปโดยสั้นคือ จากสามหมื่นปอนด์ เธอสามารถใช้จ่ายอิสระได้ไม่เกินห้าพันปอนด์เท่านั้น แต่ขณะเดียวกัน รายรับต่อปีก็เพิ่มขึ้นอย่างน้อย สองพันปอนด์ จากของเดิมอยู่ระหว่าง หนึ่งหมื่นห้าพัน ถึง สองหมื่นห้าพันปอนด์ต่อปี

เมื่อไม่มีใครคัดค้าน ไคลน์เริ่มเล่าภารกิจ

“เป้าหมายของเขาก็คือ ลอบสังหารเอกอัครราชทูตแห่งสาธารณรัฐอินทิสประจำอาณาจักรโลเอ็น เบเคอร์ลัน·ฌอง·มาติน”

“ลอบสังหารราชทูตแห่งอินทิส!?”

ออเดรย์สูญเสียความสุขุม เธอโพล่งออกมาด้วยสีหน้าตกตะลึงสุดขีด

‘เรื่องนี้อาจบานปลายจนก่อให้เกิดข้อพิพาทระดับอาณาจักร! ไม่ต่างอะไรกับชนวนสงคราม!’

ในฐานะคุณหนูแห่งตระกูลใหญ่ เรื่องแรกในหัวออเดรย์คือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ส่วนเหตุผลว่าทำไมเดอะฟูลถึงไม่ลงมือจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง คำตอบนั้นง่ายมาก

‘จะมีเทพตนใดคอยช่วยเหลือลูกน้องในทุกปัญหาบ้าง? ไม่มีแน่นอน บางทีสิ่งนี้อาจเป็นบททดสอบของท่านเองด้วยซ้ำ หลังจากอาณาจักรโลเอ็นพ่ายแพ้ในสงครามคาบสมุทรไบลัมตะวันออก ฝ่าบาทยังคงสงบท่าทีอยู่ในเมืองหลวง ไม่ได้เข้าร่วมศึกด้วยตนเอง มีเพียงการส่งนายพลและทหารเข้าไปทดแทนของเก่า แต่ได้ยินจากท่านพ่อว่า ฝ่าบาทต้องการลงไปทำศึกในแนวหน้า แต่ถูกบรรดาขุนนางและแม่ทัพคัดค้านอย่างหนัก’

ในทางกลับกัน อัลเจอร์ประหลาดใจไม่มากเท่าออเดรย์ เพราะมันไม่สนความสัมพันธ์ระหว่างชาติ เพียงมุ่งความสนใจไปยังจุดอื่น

‘มิสเตอร์ฟูลกำลังถูกพันธนาการรุนแรง จนแทรกแซงโลกแห่งความจริงได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ…สมมติฐานของเราถูก! น่าสนใจว่า พลังปัจจุบันของท่านสามารถแทรกแซงโลกความจริงได้ถึงระดับไหนแล้ว เลือกสั่งตายคนธรรมดาได้หรือไม่’

อัลเจอร์แสดงสีหน้าพึงพอใจเมื่อสมมติฐานของตัวเองถูกต้อง สมองกำลังเร่งประมวลผลมองหาความเป็นได้ทางอื่น

ด้านเดอร์ริคนั่งฟังอย่างไม่เข้าใจอะไรเลย

‘อะไรคือสาธารณรัฐอินทิส แล้วอะไรคือเอกอัครราชทูต? ทำไมคำศัพท์เหล่านี้ถึงไม่มีในภาษาคนยักษ์!’

ไคลน์มองไปรอบโต๊ะด้วยสีหน้าผ่อนคลาย

“มีใครต้องการรับภารกิจไหม แล้วปรารถนาสิ่งใดแลกเปลี่ยน”

‘เฮ่อ…เราคงจ้างวานฆ่าคนบริสุทธิ์อย่างไร้เหตุผลไม่ได้ และผลลัพธ์อาจร้ายแรงถึงขั้นเกิดสงครามระหว่างอาณาจักร’

ออเดรย์นึกอยากยกมือ แต่อีกใจหนึ่งก็เกิดความลังเล

ทันใดนั้น แฮงแมนส่งเสียงหัวเราะในลำคอ

“ผมเคยได้ยินว่า ตัวตนแท้จริงของราชทูตเบเคอร์ลันคือ หัวหน้าหน่วยข่าวกรองลับของสาธารณรัฐอินทิสประจำอาณาจักรโลเอ็น มันอยู่เบื้องหลังคดีฆาตกรรมไม่น้อย รวมถึงการพยายามทำลายสายสัมพันธ์ระหว่างขุนนางและพ่อค้า ปล่อยข่าวลือกระตุ้นให้ประชาชนต่อต้านรัฐบาลอย่างโกรธแค้น”

อัลเจอร์ย่อมสัมผัสถึงความลังเลของจัสติส จึงจงใจเผยด้านมืดของเบเคอร์ลันอย่างละเอียด ก่อนจะกล่าวเสริม

“ผมไม่มั่นใจว่าราชทูตเป็นผู้วิเศษหรือไม่ แต่ข้อมูลจำนวนมากบ่งชี้ว่ามีโอกาสเป็นไปได้ค่อนข้างสูง แต่สิ่งแน่ชัดคือ มันมีบริวารเป็นผู้วิเศษคอยติดตามจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นเส้นทางสำหรับสืบข่าว ตามประสาหน่วยข่าวกรองลับแห่งประเทศ ขึ้นตรงกับอดีตราชวงศ์อินทิสเดิม ตระกูลเซารอน ผู้ถือครองเส้นทางนักล่าอย่างสมบูรณ์ ยิ่งไปกว่านั้น ปัจจัยการเกิดสงครามระหว่างประเทศจะขึ้นอยู่กับอารมณ์ของกษัตริย์และขุนนางเป็นหลัก มิใช่ความตายของราชทูตเพียงคนเดียว”

หลังจากจักรพรรดิโรซายล์ถูกลอบสังหาร ประชาชนอินทิสต่างเกิดความตื่นตระหนกและโกลาหล ส่งผลให้หลายฝ่ายเชื่อว่าอินทัสจะกลับไปปกครองระบอบกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์อีกครั้ง

แต่ผลลัพธ์กลับตรงข้าม อินทิสยังคงปกครองด้วยระบอบสาธารณรัฐตามเดิม สาเหตุเพราะว่า ตระกูลเซารอนได้รับความเสียหายใหญ่หลวงในเหตุการณ์จักรพรรดิโรซายล์ปฏิวัติรัฐประหาร ส่งผลให้พวกมันไม่ใช่ตระกูลผู้วิเศษทรงพลังเหมือนสมัยอดีต หากต้องการปกครองอินทิส โอกาสเป็นไปได้ทางเดียวคือต้องเล่นเกมทางการเมืองและแทรกแซงหน่วยข่าวกรองของกองทัพ

หลังจากได้ยินข้อมูลจากแฮงแมน ความลังเลในใจออเดรย์พลันสลายเป็นปลิดทิ้ง

เธอผงกศีรษะอย่างสง่างาม

“ในช่วงหลายปีหลัง จักรวรรดิฟุซัคทำสงครามขยายอาณาเขตอย่างรวดเร็ว กลืนกินอาณาจักรแล้วอาณาจักรเล่ามากมาย รวมถึงเอาชนะสาธารณรัฐอินทิสได้ในสงครามคาบสมุทรและเทือกเขา หากเราหาทางโยนความผิดให้จักรวรรดิฟุซัคได้ ทางรัฐบาลอินทิสอาจเบนความสนใจออกจากโลเอ็น”

ออเดรย์อาจไม่เชี่ยวชาญการเมือง แต่บิดาของเธอเป็นถึงสมาชิกคนสำคัญของสภาขุนนาง ย่อมเคยได้ยินเรื่องราวผ่านหูมาบ้าง

ในสมัยก่อน หากเกิดปัญหาความวุ่นวายภายในอาณาจักร จะมีการลอบโยนความผิดให้กับกลุ่มคนเถื่อนแถบเหนือสุดบ่อยครั้ง สิ่งนี้คือความชำนาญของบรรดาขุนนางหัวใส

ส่วนเรื่องทำอย่างไรนั้นไม่ใช่สาระสำคัญ

หากเป็นเมื่อร้อยปีก่อน บุคคลผู้มีชื่อเสียงในด้านการป้ายความผิดมากกว่าใครคงหนีไม่พ้นจักรพรรดิโรซายล์แห่งจักรวรรดิอินทิส มันเชี่ยวชาญการทำให้ตัวเองดูดี

หลังจากก้มหน้าไตร่ตรองหนึ่งอึดใจ เด็กสาวเงยมองไปทางตำแหน่งประธานด้วยสีหน้ารู้สึกผิดเล็กน้อย

“มิสเตอร์ฟูล ดิฉันสามารถรับงานนี้ แต่ไม่ขอรับประกันผลสำเร็จ”

ความไม่มั่นใจมาจากสองปัจจัย

เหตุผลแรกคือ เธอต้องการถามบิดาให้มั่นใจเสียก่อน ว่าราชทูตเบเคอร์ลันคือหัวหน้าหน่วยข่าวกรองลับของอินทิสจริง

ส่วนอีกหนึ่งเหตุผล เธอไม่ได้ลงมือลอบสังหารด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นโอสถผู้ชมหรือนักอ่านใจ ทั้งสองชนิดต่างไม่ชำนาญด้านต่อสู้ งานของเธอจึงเป็นการรวบรวมข้อมูลของเบเคอร์ลันจากแวดวงชนชั้นสูง จากนั้นค่อยจ้างใครสักคนลอบสังหาร

‘เราสามารถฝากให้ซิลและฟอร์สจ้างมิสเตอร์ A รับภารกิจนี้ได้ หรือไม่ก็เจ้าของชุมนุมผู้วิเศษอื่นในเมืองหลวง เราจะออกหน้าเองไม่ได้เด็ดขาด เรื่องนี้ต้องเก็บไว้เป็นความลับ เพราะชุมนุมผู้วิเศษเหล่านั้นอาจมีสายข่าวอินทิสแฝงตัวอยู่ ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องใช้เงินมากแค่ไหน บางทีห้าพันปอนด์อาจไม่พอ’

ออเดรย์เริ่มไตร่ตรองแผ่นการถัดไป

ในทางกลับกัน ไคลน์ไม่ได้คาดหวังว่าผู้วิเศษลำดับแปด อย่างจัสติสจะทำงานสำเร็จ หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว มันพยักหน้าอย่างเข้าใจหัวอกพลางซักถาม

“แล้วเจ้าต้องการสิ่งใดแลกเปลี่ยน”

“สูตรโอสถนักจิตบำบัดค่ะ”

เมื่อกล่าวจบ ออเดรย์ลังเลก่อนจะเสริม

“รวมถึงวัตถุดิบหลักทั้งหมด เอ่อ…ไว้ให้ภารกิจเสร็จก่อน พวกเราค่อยมาตกลงรายละเอียดกันภายหลัง หากผลลัพธ์ออกมาล้มเหลว ดิฉันยินดีแบกภาระค่าใช้จ่ายไว้เอง แล้วก็…ดิฉันยังติดค้างเงินกับผู้รับใช้ของท่านอยู่ เป็นค่าหัวของคีลิงเกอร์”

‘ค่าหัว? อยู่กับมิสจัสติสเองหรือ หนึ่งหมื่นปอนด์…ถ้าหารครึ่งก็ได้ห้าพัน’

ท่ามกลางม่านหมอกสีเทา ไคลน์ก้มหน้าใช้สมองไตร่ตรองหลายอึดใจ เพื่อประเมินว่าค่าหัวของราชทูตเบเคอร์ลันควรมีมูลค่าประมาณไหน และได้ข้อสรุปเอาเองว่าคงไม่ต่ำกว่าพลเรือโทวายุคีลิงเกอร์

“ตกลงตามนั้น” ไคลน์ตอบเสียงเรียบ

ในเวลาเดียวกัน แฮงแมนอัลเจอร์เสริม

“ผมก็จะรับภารกิจนี้ด้วย สิ่งตอบแทนไว้ค่อยตกลงหลังจบภารกิจ”

“คุณกลับไปทะเลแล้วไม่ใช่หรือ”

ออเดรย์ซักถามอย่างประหลาดใจ

“แค่เพราะผมไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ไม่ได้หมายความว่าผมฆ่าราชทูตเบเคอร์ลันไม่ได้”

อัลเจอร์ตอบพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย แต่ก็ไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม

ส่วนเดอร์ริค เด็กหนุ่มด้านข้าง ไม่มีโอกาสได้ร่วมวงสนทนาคราวนี้แม้แต่น้อย

ไคลน์ผงกศีรษะเป็นเชิงเห็นพ้อง

“ตกลง”

เมื่อแจกจ่ายภารกิจเรียบร้อย สายตาของเดอะฟูลก้มมองไดอารีจักรพรรดิโรซายล์จำนวนหกแผ่นในมือ

………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!