ตอนที่ 252 : ส่งท้าย
ในวินาทีปลายนิ้วไคลน์สัมผัสดวงตาสีดำล้วน เสียงเพรียกมายาพลันดังก้องจนสมองชายหนุ่มปวดแปลบ
ขณะเดียวกัน เหตุการณ์ประหลาดพลันปรากฏในการมองเห็น
‘เส้นด้ายมายา’ สีดำจำนวนมากกำลังแผ่ออกจากร่างของตนและมิสบอดี้การ์ดในลักษณะเดียวกัน ปลายด้ายทะลุเข้าไปในห้วงมิติรอบตัวราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด
วงกลมช่องว่างมิติผุดขึ้นจำนวนนับไม่ถ้วน หากใครเป็นโรค ‘กลัวรู’ คงได้น้ำลายฟูมปากและหมดสติไปในทันที
ไคลน์ขบกรามแน่น มันมิอาจทนต่อสัมผัส ‘ถูกกัดกร่อน’ ได้นานกว่านี้แล้ว จึงรีบวางดวงตาสีดำล้วนลงในกล่องบุหรี่และปิดฝา
เหตุการณ์กลับสู่ความปรกติ ผลข้างเคียงบรรเทาลงอย่างรวดเร็ว
หลังจากสมองไคลน์เริ่มประมวลผลได้อย่างสุขุม มันพยายามครุ่นคิดหาสาเหตุ
เมื่อครู่คือพลังพิเศษของนักเชิดหุ่น?
ช่วยให้เห็นเส้นด้ายรอบตัวมนุษย์ จากนั้นก็ควบคุมร่างกายและวิญญาณได้ดังใจนึก?
น่าเสียดาย มันถูกปนเปื้อนจนไม่สามารถใช้การได้แล้ว หมดสิทธิ์แม้กระทั่งจะนำไปสร้างเป็นสมบัติวิเศษ
เรายังไม่ควรฝืนขจัดการปนเปื้อนบนมิติเหนือสายหมอกในตอนนี้ เพราะนั่นจะถือเป็นการ ‘ท้าทาย’ พระผู้สร้างแท้จริงรอบสอง…หลังจากเหตุการณ์สร้างยันต์ถ้อยคำกัดกร่อน มีโอกาสสูงมากว่า ‘ท่าน’ จะเตรียมรับมือการท้าท้ายของเราไว้แล้ว หากมีรอบสองเกิดขึ้น ผลลัพธ์คงไม่ลงเอยด้วยดีแน่…คราวนี้อาจไม่เหลือแม้แต่ซากร่างกายให้คืนชีพใหม่…ต้องรอให้เชี่ยวชาญศาสตร์ ‘ขจัดปนเปื้อน’ มากกว่านี้เสียก่อน จึงค่อยเริ่มทดสอดอย่างระมัดระวัง…
ฟู่ว! ชายหนุ่มถอนหายใจผ่อนคลาย ขณะเดียวกัน มิสบอดี้การ์ดเลือกหยิบแผ่นกระดาษตัดเป็นโครงร่างมนุษย์อย่างหยาบ รวมถึงสิ่งของจิปาถะอีกเล็กน้อย ส่วนไคลน์โน้มตัวหยิบเงินสดจำนวน สิบสามปอนด์ ห้าซูล
ชายหนุ่มเงยหน้าพลางจ้องมองซากศพโรซาโก้และสมองกระจัดกระจายรอบห้อง ก่อนจะกล่าวพร้อมกับนำมือจับหน้าผาก
“ทำความสะอาดกันเถอะ”
มิสบอดี้การ์ดผมทองอ่อน ผิวพรรณขาวซีด ทำการลอยมาหยุดข้างไคลน์และกล่าว
“ฉันจัดการเอง”
คุณ…? ไคลน์ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองเธอด้วยสีหน้าประหลาดใจ
มิสบอดี้การ์ดลอยไปตรงศพโรซาโก้และนั่งยอง ตามด้วยการทิ้งตัวนอนราบไปบนศพ
เธอกำลังกลายเป็นหนึ่งเดียวกับศพ!
ปลายนิ้วโรซาโก้เริ่มกระตุกเล็กน้อย พร้อมกันกับ เศษเนื้อและของเหลวรอบจุดเกิดเหตุเริ่มไหลกลับมารวมตัว ผสมผสานกลายเป็นศีรษะโรซาโก้ในสภาพเกือบสมบูรณ์
แต่ก็มิได้ถึงขั้นไร้จุดตำหนิ มีรอยปริแตกหลายจุด คล้ายกับการพยายามนำของเล่นบุบสลายกลับมาประกอบใหม่ด้วยกาว
ลักษณะคล้ายแจกันร้าว ยังไม่แตก แต่พร้อมแตกทุกเมื่อ ตามรอยปริเผยให้เห็นของเหลวสีแดงแจ่มชัด รวมถึงรูโหว่กึ่งกลางหน้าผากในจุดถูกกระสุนยิงใส่ และแน่นอน กระสุนปืนจำนวนห้านัดของไคลน์ได้ไหลกลับมารวมในหัวศพด้วยเช่นกัน
ไคลน์ผงะถอยหลังโดยไม่รู้ตัว มันเชื่อว่าหากนำฉากตรงหน้าไปเล่าในนิยายสยองขวัญ หนังสือของตนคงขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
ทันใดนั้น ศพโรซาโก้พยุงตัวยืน มันก้มหยิบหมวกมาสวมในลักษณะปิดบังครึ่งใบหน้า เพียงเท่านี้ จุดเกิดเหตุก็ไม่หลงเหลือร่องรอยน่าสงสัยใดอยู่อีก
นักเก็บศพมืออาชีพ! ไคลน์สรรเสริญเยินยอจากใจจริง
ขณะมันยืนมองมิสบอดี้การ์ดควบคุมศพเดินไปยังหน้าประตูบ้าน ชายหนุ่มรีบตะโกนเตือนด้วยความเป็นห่วง
“อย่าขึ้นรถม้าหรือเดินบนถนนสว่าง”
หากสวนกับใครเข้า หรือถ้าคนขับรถม้าเห็นเข้า คงได้กลายเป็นเรื่องใหญ่โตแน่นอน
มิสบอดี้การ์ดไม่ลดความเร็วลง ไม่มีท่าทีตอบสนองคำเตือนไคลน์แม้แต่น้อย
ทันใดนั้น ไคลน์รีบตะโกนเสริมหลังจากนึกขึ้นได้ว่าตนตกหล่นบางสิ่ง
“ตอนคุณย้อนกลับมา รบกวนช่วยแวะสถานีตำรวจไรซ์ บ้านจ่าฟาซิน รวมถึงถนนมินส์ให้ด้วย ผมต้องการเสื้อผ้าของโรซาโก้”
โรซาโก้แวะมาหาตนในชุดตำรวจ และพลังของผู้ไร้หน้าคงไม่สามารถสร้างชุดปลอมขึ้นมาได้ เช่นนั้นแล้ว เสื้อผ้าเก่าของมันอยู่ไหน? โรซาโก้ไม่มีทางสวมชุดตำรวจเตร็ดเตร่ตลอดทั้งคืนแน่…ถ้า MI9 บังเอิญพบชุดของโรซาโก้ก่อนเราและทำนายจนทราบความจริงทั้งหมด สถานการณ์ของฝ่ายเราจะยิ่งเลวร้าย…คนคุ้มกันสาวสวยคงเป็นผู้วิเศษนอกกฎหมาย เธอจะพลอยซวยไปด้วย และนักสืบเอกชนไร้ชื่อเสียงอย่างเราไม่ควรมีเงินสดมากถึง หนึ่งพันปอนด์สำหรับจ้างคนคุ้มกันทรงพลัง…ไคลน์ไม่หยุดคิดคำนวณ มันหวังกลบช่องโหว่ของตัวเองให้มิดชิด
ขณะชายหนุ่มกำลังจะใช้พลังทำนายเพื่อช่วยมิสบอดี้การ์ดตามหาเบาะแสเสื้อผ้าของโรซาโก้ ร่างไร้วิญญาณของนักเชิดหุ่นหันกลับมาตอบด้วยเสียงแหบพร่า
“ฉันรู้ว่าอยู่ไหน”
หือ…? น้ำเสียงของเธอฟังดูมั่นใจมาก…จริงสิ เธอกำลังอยู่ในร่างกายจิต และศาสตร์ทำนายคือการใช้วิญญาณดาราติดต่อกับโลกวิญญาณโดยตรง…หมายความว่ามิสบอดี้การ์ดสามารถ ‘ทำนาย’ ทางอ้อมได้จากสัญชาตญาณตัวเอง…เมื่อทราบเช่นนี้ ไคลน์รีบยื่นปลอกกระสุนห้านัดให้เธอและทำเพียงยืนมองเหตุการณ์อย่างเงียบงัน ศพโรซาโก้เดินไปเปิดประตูบ้านและปิดลงอย่างเบามือ
รางวัลแห่งชัยชนะของเราคือ ดวงตาสีดำล้วนปนเปื้อนพลังชั่วร้ายของพระผู้สร้างแท้จริง เรามั่นใจว่าไม่มีใครทำนายถึงมันได้แน่ หรือถ้าหากมี ก็คงสัมผัสถึงอันตรายได้ล่วงหน้า จนไม่กล้าทำนายลึกไปกว่านั้น…ขณะกำลังตรึกตรองเรื่องราวอย่างรอบคอบ ไคลน์เดินกลับไปนั่งเก้าอี้นวมด้วยความรู้สึกสั่นเทิ้ม
การต่อสู้กินเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที และไม่ได้รุนแรงจนมีข้าวของเสียหาย แต่ระดับอันตรายกลับเป็นรองแค่ การเผชิญหน้ากับอสุรกายเมกูสในเมืองทิงเก็นเท่านั้น
แม้จะมีทั้งมิสบอดี้การ์ดและยันต์ถ้อยคำกัดกร่อน แต่เราเกือบถูกโรซาโก้ควบคุมสำเร็จ เกือบต้องจบชีวิตลงโดยไม่ได้ขัดขืน
พลังของนักเชิดหุ่นทั้งแปลกและแข็งแกร่งมาก…ตามกฎความถาวรของพลังพิเศษแล้ว ตะกอนพลังจากโรซาโก้ควรมีค่าเท่ากับการดื่มโอสถลำดับ ห้า หก เจ็ด แปด และ เก้า พร้อมกัน ถ้าไม่ถูกปนเปื้อนโดยเทพนอกรีตเสียก่อน และถ้าปรุงโอสถตามสูตรอย่างถูกต้อง มนุษย์ธรรมดาสามารถกลายเป็นลำดับห้า นักเชิดหุ่นได้ทันที แต่วิธีเลื่อนลำดับแบบนี้มีโอกาสสำเร็จต่ำมาก จึงไม่มีใครกล้านำชีวิตตัวเองเข้าไปเสี่ยง…
การเลื่อนลำดับอย่างใจเย็นทีละขั้นตอนคือวิธีเหมาะสมกว่าทุกรูปแบบ ถูกพิสูจน์ให้เห็นมาแล้วนับไม่ถ้วน หลักฐานคือกลุ่มบรรพชนอายุยืนจำนวนมาก…หากในอนาคต เราขจัดการปนเปื้อนของพลังชั่วร้ายสำเร็จ ดวงตาสีดำล้วนสามารถถูกใช้เป็นวัตถุดิบหลักปรุงโอสถนักเชิดหุ่น เพื่อเลื่อนจากลำดับหก เป็นลำดับห้า ได้…ส่วนตะกอนพลังของลำดับเจ็ด ลงไปก็ไม่ใช่ปัญหา สิ่งเหล่านั้นจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของพลังเหมือนกับกรณีหัวหน้า…
ไคลน์นั่งไตร่ตรองเรื่องสมัยอดีตพลางก้มหน้าบีบนวดหน้าผาก ทันใดนั้น มันเริ่มฉุกคิดถึงสิ่งสำคัญในบางประเด็น
ถ้าโรซาโก้มาหาเรา แปลว่าคดีจารกรรมเอกสารต้นแบบสำเร็จแล้ว…และคงเป็นสาเหตุให้มันไม่เหลือ ‘ยันต์’ มาสู้กับเราแม้แต่แผ่นเดียว…การเสี่ยงต่อสู้ในสถานการณ์แบบนี้ หมายความว่ามันประมาทพอสมควร…ไม่สิ การฆ่าเราอาจเป็นแค่การ ‘สร้างสถานการณ์’ เพื่อดึงความสนใจจาก MI9…ขณะเดียวกัน ทาง MI9 ก็ไม่เชื่อว่ามันจะกล้าลงมืออย่างบุ่มบ่าม จึงไม่ได้ส่งคนมาเฝ้าเราจริงจัง เพียงรอให้ฝ่ายโรซาโก้เริ่มเคลื่อนไหวก่อน…
โรซาโก้เป็นลูกน้องเบเคอร์ลันโดยตรง และในเมื่อคำสั่งมาจากเบเคอร์ลัน หากแผนลอบสังหารของมิสเตอร์ A สำเร็จ ตัวเราจะรอดพ้นจากภัยอันตรายทั้งหมด…ทางมิสเตอร์ A เป็นอย่างไรบ้างแล้วตอนนี้?
อา…คืนนี้เป็นศึกใหญ่ระหว่างกองทัพสายลับเพื่อแย่งชิงเอกสารต้นแบบฮัลโมซีน ระดับความปลอดภัยของสถานทูตอินทิสคงต่ำกว่าปรกติมาก ไม่มีคืนไหนเหมาะสมแก่การลงมือไปกว่านี้แล้ว และเบเคอร์ลันต้องคาดไม่ถึงแน่ ว่าจะมีใครกล้าลงมือลอบสังหารตน
เมื่อไม่มีอะไรทำต่อ ไคลน์หยิบเหรียญทองแดงออกมาพึมพำ
“เบเคอร์ลันตายแล้ว”
…
กิ๊ง!
เหรียญเพนนีหมุนกลางอากาศก่อนจะหล่นลงบนฝ่ามือโดยมีฝั่ง ‘หัว’ หงายขึ้น
คำตอบคือ ‘ใช่’
เบเคอร์ลันตายแล้ว? มิสเตอร์ A ลอบสังหารสำเร็จ? ไคลน์พลันดีใจสุดขีด ความตึงเครียดในสมองเริ่มบรรเทาลง
ถ้าไม่มีโรซาโก้คอยก่อกวน ผลการทำนายคงไม่ถูกบิดเบือนแน่!
จบเรื่องสักที…ไคลน์สูดลมหายใจเข้าปอดด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
แผ่นหลังชายหนุ่มเอนพิงเก้าอี้นวมอย่างมีความสุข สายตาจ้องมองไปนอกหน้าต่าง สมองกำลังดื่มด่ำภาพจันทร์แดงอันงดงามยามราตรี
…
ภายในสถานทูตอินทิสประจำกรุงเบ็คลันด์ ทหารของกองทัพอินทิสสองนายกำลังนั่งยองข้างศพเบเคอร์ลันเพื่อสำรวจสาเหตุการตาย
สองคนนี้ได้ออกไปไล่ล่ามือสังหารมาสักพักแล้ว แต่ทุกคนทราบดีว่ามาถึงจุดเกิดเหตุสายเกินไป โอกาสจับมือใครมาดมช่างริบหรี่เหลือเกิน
“ปอดเสียหายรุนแรง คล้ายกับป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับปอดกะทันหัน…การโจมตีสุดท้ายรุนแรงมาก ผมไม่เคยเห็นการโจมตีของผู้วิเศษลำดับต่ำกว่าสี่ คนใดทรงพลังขนาดนี้” หนึ่งในคนของกองทัพกล่าวเสียงแผ่ว
“ป่วย? บนเตียงและพื้นมีคราบเลือดและร่องรอยการใช้เวทมนตร์โลหิต แต่ไม่ปรากฏบนผนังแม้แต่หยดเดียว ยิ่งไปกว่านั้น เสียงอึกทึกของการต่อสู้กลับไม่เล็ดลอดออกไปด้านนอก…ส่วนการโจมตีสุดท้าย ปากแผลเผยให้เห็นลักษณะการกัดกร่อนและทำลาย…สามารถสรุปได้ว่า มีร่องรอยของพลังพิเศษแตกต่างกันอย่างน้อย สี่ เส้นทาง…” ทหารอีกนายลุกขึ้นยืนพลางพึมพำข้อมูลกับตัวเอง
ทันใดนั้น มันชะงักฝีเท้าและหันไปหาพวกพ้องด้านข้าง คนทั้งสองเปล่งเสียงออกมาพร้อมกัน
“คนเลี้ยงแกะ!”
แต่หลังจากครุ่นคิดเงียบงันหนึ่งอึดใจ ทหารนั่งยองขมวดคิ้วและกล่าว
“อาจเป็นกลุ่มผู้วิเศษ สี่คนก็ได้…”
“ถ้าอย่างนั้นเราสองคนก็เตรียมขึ้นศาลทหารได้เลย! นักบวชกุหลาบอาจผ่านด่านตรวจของพวกเราได้ก็จริง แต่อีกสามคนเข้ามาทางไหน? ไม่มีทางอยู่แล้ว!” ทหารคนยืนรีบปฏิเสธเสียงแข็ง ก่อนจะกล่าวอย่างไม่มั่นใจนัก “ผมเคยได้ยินว่า ยังมีผู้วิเศษพลังคล้ายคลึงกันอีกหนึ่งโอสถ ถ้าจำไม่ผิดจะชื่อ ‘นักบันทึก’ ไม่แน่ชัดว่าอยู่บนเส้นทางใด และองค์กรลับใดมีในครอบครอง”
ทหารนั่งยองผงกหัวรับ
“ผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งคือคนเลี้ยงแกะแน่นอน แถมชุมนุมแสงเหนือก็ยังเต็มไปด้วยพวกเสียสติ ไม่แปลกหากจะทำเรื่องเหนือความคาดหมาย…เราคงต้องเริ่มสืบจากต้นตอของหญิงสาวผู้ล่อลวงท่านราชทูตเข้าไปในห้อง…บ้าจริง! รัฐบาลโลเอ็นคงไม่ยอมให้สืบได้อย่างอิสระแน่”
“ไอ้พวกชุมนุมแสงเหนือระยำ! น่าจับพวกมันมาให้ม้าสวนทวารเรียงตัว!” ทหารคนยืนสบถถ้อยคำหยาบคายด้วยสีหน้าหงุดหงิด
การปล่อยให้ราชทูตถูกสังหาร พวกมันคงไม่แคล้วถูกลงโทษทางวินัยสักอย่างสองอย่าง
…
ณ บ้าน 15 ถนนมินส์ ไคลน์แสร้งทำเป็นไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น มันอดทนต่อความอ่อนเพลียและนั่งพลิกอ่านหนังสือพิมพ์บนเก้าอี้นวมเป็นเวลานาน
ราวยี่สิบนาทีถัดมา สายตาไคลน์เหลือบเห็นมิสบอดี้การ์ดในชุดเดรสสีดำหรูหรา ปรากฏตัวบนบานกระจกมุขหน้าต่างข้างประตูหลักของบ้าน
“เสร็จแล้วหรือ?” ไคลน์ซักถามตามความเคยชิน
มิสบอดี้การ์ดเพียงผงกศีรษะโดยไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่ม
ฟู่ว…! ชายหนุ่มก้มหน้าครุ่นคิดสักพัก
“ขอบคุณสำหรับการคุ้มกัน ปัญหาของผมจบลงแล้ว จะรีบจ่ายอีก เก้าร้อยปอนด์ให้ภายในสองวัน คุณคงทราบว่าระบบถอนเงินมีขีดจำกัด หรือผมควรจ่ายผ่านมาริค?”
“จ่ายกับฉัน แล้วก็…สัญญาของพวกเราคือสามวัน ไม่ใช่วันเดียว”
คนสวย คุณช่างมีจรรยาบรรณการทำงานสูงส่ง…แต่นั่นทำให้ผมอึดอัดรู้ไหม…อยากตามไปทำคดีจับชู้พรุ่งนี้ด้วยกันหรือ?
เฮ่อ…สามวันสินะ หมายความว่า สัญญาจ้างจะหมดลงตอนบ่ายวันอาทิตย์…โชคดีว่าไม่ส่งผลต่อชุมนุมทาโรต์… ไคลน์บีบนวดขมับ
“ได้ครับ แล้วผมต้องเรียกคุณว่า?”
“ไม่จำเป็นต้องรู้” มิสบอดี้การ์ดยกชายกระโปรงสองข้างขึ้นพร้อมกับก้มศีรษะโค้งคำนับอย่างสง่างาม ก่อนจะหายตัวไปจากบานกระจกมุขหน้าต่าง
………………….