ตอนที่ 260 : รูปปั้นปริศนา
แวดวงนักประวัติศาสตร์ของทวีปเหนือล้วนลงความเห็นตรงกันว่า ยุคสมัยสี่รายล้อมด้วยหมอกหนาทึบจนยากจะมองเห็นความจริงเบื้องหลัง
หลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับยุคสมัยดังกล่าวมีไม่เพียงพอ หลายชิ้นกำกวม และหลายชิ้นขาดหาย รวมถึงจำนวนอันน้อยนิดของสุสาน เมืองโบราณ และวรรณกรรม ส่งผลให้บรรดานักวิชาการไม่สามารถสร้างสมมติฐานเพื่อยืนยันทฤษฎีของตนได้
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าไม่มีเลย ถึงจะพบเพียงน้อยนิด แต่ก็ยังหลงเหลืออารยธรรมและข้อมูลจากยุคสมัยสี่อยู่บ้าง
ไคลน์คนก่อนหลงใหลในประวัติศาสตร์ของยุคสมัยสี่เป็นพิเศษ มักอ่านวารสารและหนังสือในความเกี่ยวข้องเสมอ ส่งผลให้ไคลน์คนปัจจุบันมีข้อมูลของยุคสมัยสี่อยู่ไม่น้อย
ไม่ว่าจะจักรวรรดิโซโลมอน ทูดอร์ หรือทรันซอสต์ สถาปัตยกรรมของพวกมันล้วนคล้ายคลึงกัน ประเภทแหกกฎสามัญสำนึกของมนุษย์ เน้นความไม่เป็นระเบียบ ความไม่สมมาตร และใช้สีดำพร่ำเพรื่อ
ลักษณะโดดเด่นคือการนำเชิงเทียนห้อยลงจากเพดาน และสลักลายบากลงบนผนังและพื้นห้องสีดำ
เป็นสาเหตุว่าทำไม ไคลน์ถึงสันนิษฐานว่า นี่คือสิ่งก่อสร้างของยุคสมัยสี่ ตั้งแต่วินาทีแรกของการยกตะเกียงส่อง ภาพของเหล็กเส้นสีดำห้อยลงจากเพดานโดยมีปลายสุดเป็นเชิงเทียน ภาพของโดมทรงโค้ง และภาพของผนังลายบาก ทุกองค์ประกอบทำให้ไคลน์หวนนึกถึงยุคสมัยแห่งปริศนา
วารสารหลายเล่มระบุว่า อาคารแต่ละหลังจะมีจำนวนเชิงเทียนไม่เท่ากันเสมอไป แม้ทั้งสามจักรวรรดิจะหลงใหลศิลปะแบบไม่สมมาตร แต่พวกเขาจะมีกฎเกณฑ์เคร่งครัดในทุกศาสตร์การออกแบบเสมอ…ทางซ้ายสาม ทางขวาสอง ชาวเมืองทั่วไปนิยมจัดเรียงเชิงเทียนในบ้านด้วยสูตรนี้ หลักฐานปรากฏในซากอาคารบ้านเรือนจากยุคสมัยสี่บ่อยครั้ง…ไคลน์ยกแขนซ้ายขึ้นเพื่อชูตะเกียงให้สูง พยายามก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ตั้งใจนับเชิงเทียนแต่ละฝั่งให้ไม่ตกหล่น
ห้องโถงกว้างขวางกว่าจินตนาการไคลน์ในตอนแรกมาก ชายหนุ่มต้องเดินอย่างน้อยร้อยเมตร กว่าจะได้พบเวทียกสูงเหนือพื้นราวครึ่งเมตร ใกล้กันเป็นกำแพงหนาสลักรอยบาก
เชิงเทียนกลับหัวฝั่งซ้ายมีมากถึงสี่สิบเอ็ดต้น และฝั่งขวาอีกสี่สิบต้น สำหรับห้องโถงเพียงแห่งเดียว จำนวนเท่านี้ไม่มากไปหน่อยหรือ? ต้องเป็นชนชั้นสูงระดับไหนกัน? ขุนนางทรงอำนาจ? หืม ตระกูลอันทีโกนัสและตระกูลซาราธก็เป็นชนชั้นสูงของยุคสมัยสี่…ถือเป็นตระกูลผู้วิเศษทรงพลัง ตระกูลดังอื่นๆ ก็คงมีลักษณะไม่ต่างกันเท่าไร…ไคลน์ถือตะเกียงเดินสำรวจอย่างต่อเนื่อง จนได้พบบันไดข้างเวที รวมถึงพื้นทางเดินทำจากหินสีดำ มีร่องบากเป็นทางยาว
ไม่ผิดแน่ เป็นสิ่งก่อสร้างจากยุคสมัยสี่…ไคลน์กำลังผุดความคิดมากมาย ด้วยความช่วยเหลือจากแสงตะเกียงและสายตาอันเฉียบแหลม มันเหลือบเห็นบัลลังก์ใหญ่สีดำสองตัว สร้างจากโลหะ ตั้งอยู่ในส่วนลึกสุดของเวทียกสูงครึ่งเมตร บัลลังก์ยักษ์มีรูปทรงค่อนข้างโบราณ แสดงถึงอำนาจเหนือกว่าเก้าอี้ตัวอื่นภายในห้องชัดเจน
บัลลังก์สองตัว…?
ทำไมถึงสอง? จากโครงสร้างอาคาร บัลลังก์สองตัวนี้ต้องเป็นตำแหน่งสำหรับบุคคลอันหนึ่งของตระกูล แล้วทำไมถึงมีสอง? ขุนนางสองคนผู้มีพลังอำนาจเท่าเทียม? เอิร์ลสองคน? ดยุคสองคน? หรือองค์ชายสองคน? ไคลน์เริ่มตระหนักว่า ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ของตนช่างขัดสน
มันยังจำได้แม่นยำ วารสารทุกเล่มระบุตรงกันว่า จักรวรรดิโซโลมอน ทูดอร์ และทรันซอสต์ล้วนเคร่งครัดในการปกครองระบอบศักดินา ถ้าอ้างอิงจากทฤษฎีดังกล่าว ผู้นำตระกูลก็ไม่ควรมีสองคนพร้อมกัน
“แปลกมาก…” ไคลน์พึมพำออกเสียง จงใจให้มิสบอดี้การ์ดได้ยิน
“มีอะไรแปลกหรือ” เสียงล่องลอยดังจากอากาศว่างเปล่าด้านหลังไคลน์ ท่ามกลางโถงใหญ่บรรยากาศมืดมิดและเงียบงัน หากไม่ทราบตัวตนของเธอมาก่อน ชายหนุ่มคงเกิดอาการแข้งขาสั่นระริก
มุมปากไคลน์กระตุกเบาๆ พร้อมกับเล่าทฤษฎีของตนออกไปอย่างละเอียด มันบรรยายถึงลักษณะพิเศษของยุคสมัยสี่ ประกอบกับข้อมูลในความทรงจำตัวเอง และความเห็นเพิ่มเต็มอีกเล็กน้อย จากนั้นก็เสริมปิดท้าย
“อากาศถ่ายเทได้ดีจนน่าประหลาด ผมคิดว่าคงมีทางเข้าออกจุดอื่นอยู่อีก”
มิสบอดี้การ์ดผู้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับความมืด ได้ปรากฏตัวเพื่อฟังคำอธิบายของไคลน์อย่างตั้งใจ ก่อนจะเพ่งสายตาทะลุทะลวงใส่ชายหนุ่ม
“ทำไมคุณถึงรู้เรื่องพวกนี้?”
ก็เพราะเรียนจบจากมหาวิทยาลัยในสาขาประวัติศาสตร์ไงฟะ…ไคลน์สบถในใจ แต่ภายนอกกำลังฉีกยิ้มกว้าง
“ถ้าไม่ใช่นักสืบเอกชน ผมคงเบนเข็มตัวเองไปเป็นนักประวัติศาสตร์มือฉมัง”
มิสบอดี้การ์ดไม่ตอบ หรือไม่หายตัวกลับเข้าไปในความมืด แต่เธอเลือกลอยสูงขึ้นไปเพื่อสำรวจเวทียกสูงครึ่งเมตร
ไคลน์รีบยกตะเกียงและกระโดดตามขึ้นไป บริเวณตรงหน้ามีลักษณะคล้ายเวทีขนาดใหญ่ กว้างราวสิบเมตร และยาวไม่ต่ำกว่าสี่สิบเมตร
“รูปแบบสถาปัตยกรรมโอ่โถงและอลังการ สอดคล้องกับธรรมชาติของยุคสมัยสี่” ไคลน์กล่าวชัดถ้อยชัดคำขณะเดินไปทางบัลลังก์ยักษ์สองตัวด้านในสุด
“ประหนึ่งสร้างให้คนยักษ์สูงสามเมตรนั่ง…ด้านหลังบัลลังก์มีตราสัญลักษณ์สลักไว้ ฝั่งนี้เป็นมงกุฎสีดำ…ส่วนฝั่งนี้เป็นมือถือคทา…สัญลักษณ์พวกนี้หมายถึงอะไรกันแน่…”
ไคลน์พึมพำกับตัวเอง ไม่มีเจตนาขอความเห็นจากมิสบอดี้การ์ด
แต่สาวสวยกลางอากาศกลับส่งเสียงตอบ
“สัญลักษณ์ของราชวงศ์ทูดอร์”
“หือ…?” ไคลน์เผยสีหน้าประหลาดใจทันที เมื่อหันไปมอง มิสบอดี้การ์ดกำลังหมายสัญลักษณ์ ‘มือจับคทา’
ทูดอร์? หมายความว่า นี่คือสิ่งก่อสร้างของราชวงศ์ทูดอร์แห่งยุคสมัยสี่? ถ้าอย่างนั้น เชื้อพระวงศ์คนใดเป็นเจ้าของอาคารใต้ดินหลังนี้? ไคลน์ขมวดคิ้วก่อนซักถาม
“แล้วสัญลักษณ์อีกฝั่งคือ?”
มันอยากทราบว่า ต้องเป็นใครกัน ถึงได้มีศักดิ์ศรีเทียบเคียงเชื้อพระวงศ์แห่งทูดอร์
มิสบอดี้การ์ดส่ายหัว
เมื่อได้รับคำตอบ ไคลน์ตัดสินใจสลัดความสงสัยไว้เพียงเท่านี้
“หลังจากทูดอร์และทรันซอสต์ก่อตั้งจักรวรรดิเป็นของตัวเอง พวกเขาต่างอนุรักษ์สถาปัตยกรรมของจักรวรรดิโซโลมอนไว้ เช่นเชิงเทียนกลับหัว รอยบาก และอีกมากมาย… สิ่งเหล่านี้ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด ถ้าผมเป็นจักรพรรดิ คงพยายามหาทางสร้างเอกลักษณ์โด่นเด่นของตัวเองเพื่อให้ผู้คนจดจำ หมายความว่า ทั้งสามจักรวรรดิแอบปกปิด ‘บางความลับ’ ร่วมกันมาตลอด?”
สมมติฐานของไคลน์คือ ทั้งโซโลมอน ทรันซอสต์ และทูดอร์ ต่างเป็นผู้ถือครองเส้นทางจักรพรรดิมืด หรือชื่อปัจจุบันคือเส้นทางนักกฎหมาย ทำให้ต้องใช้หลักการ ‘สวมบทบาท’ แบบเดียวกันอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง!
มิสบอดี้การ์ดเงียบงันราวหนึ่งอึดใจ ก่อนจะพูดเพียงประโยคสั้นห้วน
“มีเพียงจักรพรรดิตัวจริงเท่านั้น จึงจะคู่ควรกับการถูกเรียกว่าจักรพรรดิ”
เธอเห็นด้วยกับทฤษฎีของเรา? ไคลน์ไม่ซักถามเพิ่ม เพียงเดินสำรวจรอบบัลลังก์ยักษ์ทั้งสองพร้อมกับตะเกียงในมือ แต่ก็ไม่พบสิ่งใดน่าสนใจ
“สำรวจจุดอื่นกันเถอะ” ไคลน์เสนอแนะ
ยังไม่ทันสิ้นเสียง มิสบอดี้การ์ดได้ลอยตัวไปยังสุดขอบเวทีเรียบร้อยแล้ว แต่บรรยากาศเย็นยะเยือกรอบตัวไคลน์กลับยังไม่จางหาย
ถัดจากเวทีเพียงไม่กี่เมตร ด้วยความช่วยเหลือจากแสงตะเกียง ไคลน์ได้พบประตูหินขนาดมหึมาจำนวนเจ็ดบาน ฝั่งซ้ายสองบาน ตรงหน้าหนึ่งบาน และฝั่งขวาอีกสี่บาน สอดคล้องกับรสนิยม ‘ไม่สมมาตร’ ของยุคสมัยสี่อย่างมาก
ไคลน์ย้ายไม้ค้ำมาถือมือซ้ายชั่วคราว ส่วนมือขวาดีดเหรียญขึ้นไปในอากาศและพึมพำประโยคทำนาย
“เราควรเริ่มจากฝั่งซ้ายก่อน”
กิ๊ง!
เหรียญทองแดงหมุนรอบตัวเองก่อนจะหล่นลงกึ่งกลางฝ่ามือ เผยให้เห็นใบหน้ากษัตริย์แห่งโลเอ็น
“เริ่มจากซ้ายก่อน” ไคลน์อาสานำทาง
มิสบอดี้การ์ดลอยตามชายหนุ่มอย่างเงียบงันจนถึงประตูบานแรกสุดของฝั่งซ้าย ตามด้วยการส่งเสียงล่องลอย
“ทางขวาก็ได้ผลเหมือนกัน”
หรือก็คือ การทำนายของเรามันเปล่าประโยชน์สินะ…มุมปากไคลน์กระตุกเล็กน้อย ก่อนจะยกตะเกียงสำรวจสัญลักษณ์บนบานประตูอย่างตั้งใจ
ท่ามกลางฉากหลังสีดำสนิท ภาพของดวงจันทร์สีแดงครึ่งเสี้ยว รายล้อมด้วยหมู่ดารา กำลังปรากฏเบื้องหน้าไคลน์เต็มสองตา
นี่มัน…ตาดำไคลน์เริ่มหดเกร็ง
ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพธิดา?
ในยุคสมัยสี่ โบสถ์รัตติกาลแอบสนับสนุนราชวงศ์ทูดอร์…? ไคลน์ผุดความคิดมากมายขณะวางฝ่ามือลงบนประตู
ครืน!
ประตูหินสีดำเปิดออกในลักษณะเชื่องช้า เสียงหินเสียดสีกับพื้นดังหนักแน่น
เมื่อแสงตะเกียงส่องเข้าไปด้านใน ไคลน์เริ่มสำรวจรายละเอียดอย่างใจเย็น
บริเวณหน้าห้องไม่กี่เมตรถูกปูด้วยแผ่นหินสีดำเข้ม ถัดเข้าไปเป็นพื้นยกสูงเกือบหนึ่งเมตร ลักษณะคล้ายเวทีด้านนอก
ไคลน์ย่างกรายเข้าไปอย่างระมัดระวัง แสงตะเกียงในมือช่วยมอบความสว่างรอบตัว
ไม่กี่วินาทีถัดมา แสงเหลืองนวลของตะเกียง ส่องให้เห็นเค้าโครงของรูปปั้นขนาดใหญ่บนแท่นตรงหน้า ยาวเกือบห้าเมตร แทบจะกินบริเวณทั้งหมดภายในห้อง
เป็นรูปปั้นของสตรีเลอโฉม แต่รายละเอียดบนใบหน้าไม่คมชัดสักเท่าไร มือขวากำลังรองศีรษะในท่านอน ร่างกายทอดยาวไปตามแนวแท่นยกสูง ชุดสวมใส่มีลักษณะคล้ายชุดคลุมนักบวชสีดำราบเรียบ ไม่หรูหราหรือโดดเด่นเกินพอดี ใต้ศีรษะมีวัตถุทรงกลมกำลังส่องแสงนวล
ชุดคลุมของเธอส่องสะท้อนกับแสงตะเกียงจนเกินประกายระยิบระยับ ราวกับเนื้อผ้าถูกประดับประดาด้วยอัญมณีเม็ดเล็กจำนวนมาก
ในวินาทีแรก ไคลน์รู้สึกราวกับตนกำลังจ้องมองท้องฟ้ายามค่ำคืน เต็มไปด้วยมวลหมู่ดาราลอยเรียงราย
เมื่อเพ่งมองอย่างละเอียด ชายหนุ่มเริ่มมั่นใจหลายส่วนว่า วัตถุทรงกลมใต้ศีรษะคือพระจันทร์เต็มดวงไม่ผิดแน่
นี่มัน…สมองไคลน์พลันขาวโพลนชั่วขณะ ความคิดสุดโต่งชนิดหนึ่งผุดขึ้นกะทันหัน
“เทพธิดารัตติกาล?” สุ้มเสียงมิสบอดี้การ์ดแฝงความประหลาดใจสุดขีด น้อยครั้งนักจะแสดงอาการเช่นนี้
ไม่ว่าจะเป็นร่างเสมือน หรือร่างจริง แต่สิ่งนี้คือเทวรูปเทพธิดารัตติกาลไม่ผิดแน่! ไคลน์เกิดสมมติฐานอันหนักแน่น เสียงดังกล่าวดังก้องในหัวสักพักใหญ่
มันยังจำได้ไม่ลืม ในอดีตเคยตั้งคำถามกับดันน์·สมิทไว้ว่า เทพจารีตกับเทพนอกรีตแตกต่างกันอย่างไร และคำตอบของหัวหน้าคือ เทพนอกรีตจะมีเทวรูปสำหรับสักการะเป็นกิจจะลักษณะ แสดงถึงรูปร่างของสิ่งมีชีวิตทรงปัญญา แต่ทางฝั่งเทพจารีตจะมีเพียง ‘ตราศักดิ์สิทธิ์’ สำหรับให้สาวกประกอบพิธีกรรม
แต่ในวันนี้ วินาทีนี้ ภายใต้อาคารโบราณลึกลับและพิสดาร มันกลับได้พบรูปปั้นคล้ายคลึงเทพธิดารัตติกาล!
หมายความว่าอย่างไร? แนวคิดมากมายกำลังถาโถมสมองไคลน์กะทันหัน ร่างกายเริ่มสั่นเทาอย่างหยุดไม่อยู่
หรือเทพธิดารัตติกาล…จะเคยเป็นเทพนอกรีตมาก่อน?
ไม่สิ…บางทีอาจเป็นเทพนอกรีตโบราณ เพียงแต่อยู่บนเส้นทางรัตติกาลเหมือนกัน…แต่ทำไมตราศักดิ์สิทธิ์หน้าประตู ถึงได้เหมือนกับตราศักดิ์สิทธิ์ของโบสถ์รัตติกาลในยุคปัจจุบันเหลือเกิน…?
หรือว่าเทพนอกรีตและเทพจารีต จะไม่ถูกแบ่งแยกด้วยเทวรูปมาตั้งแต่แรก? เป็นไปได้ หัวหน้าไม่ใช่คนใหญ่คนโตของโบสถ์ การเข้าถึงข้อมูลมีจำกัด คงไม่ได้แตกฉานศาสตร์เร้นลับมากขนาดนั้น
แต่อีกหนึ่งความเป็นไปได้คือ ทูดอร์จงใจสร้างเทวรูปเพื่อดูหมิ่นเทพธิดารัตติกาล!
อาจเป็นเงื่อนไขสำหรับประกอบพิธีกรรมพิสดารบางชนิด…สมมติฐานหลากหลายหลั่งไหลเข้าสมองชายหนุ่มอย่างไม่หยุดพัก อารมณ์ของมันเริ่มแปรปรวน ทั้งประหลาดใจ ลนลาน ตึงเครียด รวมถึงอารมณ์แปลกประหลาดยากอธิบาย กำลังรุมกัดกินจิตใจหนักหน่วง
“สำรวจห้องอื่นกันเถอะ” ไคลน์กล่าวหลังจากไม่พบเบาะแสเพิ่มเติมภายในห้อง
ประตูอีกหกบานซ่อนอะไรไว้? คงพิสดารและน่าประหลาดใจไม่ต่างกันแน่…มันครุ่นคิดด้วยสีหน้าอึมครึม
มิสบอดี้การ์ดพยักหน้ารับ
………………….