ตอนที่ 282 : นี่ล่ะ เขตตะวันออก
ภายในอาคารใกล้ถูกทิ้งร้างของมหาวิทยาลัยแพทย์เก่า ขณะเดินออกจากชุมนุมผู้วิเศษซึ่งจบลงได้ไม่นาน ออเดรย์กำลังมีสีหน้าเหม่อลอย แต่ทันใดนั้น ม่านหมอกสีเทาอันคุ้นเคยพลันปรากฏตรงหน้า พร้อมกับบุคคลเด่นตระหง่านท่ามกลางเก้าอี้พนักสูง
“นี่คือเบาะแส”
เสียงของเดอะฟูลดังกังวานในสมอง ตามด้วยภาพฉากแล้วฉากเล่าถูกฉายเรียงต่อกันประหนึ่งฟิล์มม้วน…ฟิล์มแบบสี
บุคคลปริศนา ร่างกายไม่บึกบึนมากนัก แต่สูงเข้าขั้นพิสดารถึงสองเมตรกว่า สวมชุดคลุมนักบวชสีดำสนิท เส้นผมสีเหลืองทองหยักศกเล็กน้อย ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ดุดันและเปี่ยมด้วยจิตสังหารแบบไม่ปกปิด มุมปากห่อเหี่ยวอย่างไม่ปรกติ องค์ประกอบโดยรวมคล้ายกับหมาป่าดุร้าย
เบาะแส? เบาะแสของมือวางระเบิดหอพักบนถนนดาราวี? เบาะแสของฆาตกรผู้สังหารกาวิน? ชายในภาพคือคนร้าย? ออเดรย์จ้องมองอย่างประหลาดใจในตอนแรก แต่ไม่นานก็เริ่มเข้าใจประเด็น
มิสเตอร์ฟูลได้เบาะแสเร็วจัง…สุดยอด…! ท่านช่างยอดเยี่ยม…ไม่สิ ท่านคือผู้ปราดเปรื่องมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว! หลังจากถอนหายใจยาว ออเดรย์หันไปมองฟอร์สด้านข้าง
ขณะฟอร์สกำลังถอดผ้าปิดปาก หมวกผ่าตัด และเดินขึ้นไปนั่งในรถม้า เธอตระหนักถึงสายตาผิดปรกติจากออเดรย์ด้านข้าง จึงหันกลับมามองพลางซักถาม
“หน้าฉันมีอะไรติดอยู่หรือ?”
“เปล่า” ออเดรย์เบือนหนี นั่งลงบนเบาะฝั่งตรงข้าม และถอดอุปกรณ์ปลอมตัวเช่นกัน
ฟอร์สย้อนนึกถึงการชุมนุมเมื่อครู่ เธอซักถามอย่างสงสัย
“มิสออเดรย์ เหตุใดคุณถึงไม่ประกาศตัวว่าต้องการซื้อสูตรโอสถ ‘ผู้ชม’ หากทำเช่นนั้น คุณอาจได้ติดต่อกับคนของสมาคมแปรจิต”
ฟอร์สจำได้เพียงว่า มิสออเดรย์เงียบงันเกือบตลอดการชุมนุม เธอขายวัตถุวิญญาณออกไปบางชิ้น และซื้อสินค้าของสมาชิกคนอื่นติดไม้ติดมือมาบ้าง
ออเดรย์เผยรอยยิ้มเจือจาง
“ดิฉันเพิ่งเข้าร่วมชุมนุมเป็นวันแรก ควรจับตามองไปก่อนสักพัก”
“ดิฉันต้องการสูตรโอสถและวัตถุดิบหลักมากก็จริง แต่ก็เตือนสติตัวเองเสมอว่า ห้ามรีบร้อนเด็ดขาด เพราะการทำตัวให้คุ้นเคยกับการชุมนุม ย่อมปลอดภัยกว่าบุ่มบ่ามใจร้อน”
สิ่งนี้ถือเป็น ‘ความมืออาชีพ’ ของผู้วิเศษเส้นทางผู้ชม และเหนือสิ่งอื่นใด การชุมนุมเมื่อครู่ไม่มีวัตถุดิบหายากอย่าง ไขสันหลังเสือดำลายมาร หรือผลึกแก่นน้ำพุเอลฟ์ ซึ่งมิสเตอร์เวิร์ลปรารถนาจะซื้อต่อ…ออเดรย์พึมพำในใจ
ฟอร์สจ้องมองใบหน้าเด็กสาวผู้ยังมีอายุเพียงย่างสิบแปด เธอเริ่มตระหนักว่าอีกฝ่ายสุขุมเยือกเย็นเกินวัยไปมาก ชนิดเมื่อก่อนเทียบไม่ติด
ฟอร์สยิ้มแห้ง
“ถ้าฉันเป็นคุณ คงใจร้อนด่วนได้ จนพลาดโอกาสสำคัญไปแล้วแน่นอน”
ออเดรย์ยิ้มอย่างรักษากิริยา
“ดิฉันจะถามเพื่อนคนพิเศษให้ ว่ามีความคืบหน้าของคดีวางระเบิดบนถนนดาราวีบ้างไหม กรุณารอฟังข่าวพร้อมกับซิล”
“ตกลง” ฟอร์สผงกศีรษะ
…
ไคลน์ไม่กลับถนนมินส์ทันที มันเลือกงีบหลับภายในหอพักหนึ่งเตียงนอน บนถนนปาล์มดำของเขตตะวันออก
ชายหนุ่มกังวลว่า ชายปริศนาต้องสงสัยในชุดนักบวชสีดำ จะตระเวนไปตามถนนเขตตะวันออกเพื่อค้นหาตนให้พบ
แม้โอกาสเดินสวนกันบนถนนจะไม่มาก และไคลน์ยังมีเวลาปลอมตัวให้แนบเนียน จนอีกฝ่ายจดจำใบหน้าไม่ได้ แต่ผลการทำนายกลับระบุว่า โอกาสถูกฆาตกรพบตัวไม่ใช่ศูนย์เปอร์เซ็นต์โดยสมบูรณ์ มันจึงไม่คิดเสี่ยงดวง เนื่องจากเพิ่งผ่านเรื่องราวคราวซวย ถูกตำรวจยึดปืนแบบไม่คาดฝัน จึงไม่มีทางเลือกนอกจาก ซุกหัวนอนในเขตตะวันออกหนึ่งคืน
ถึงยามรุ่งสาง มันเปลี่ยนไปสวมชุดคนงานสีน้ำเงินเข้มอีกตัวหนึ่ง หมวกแก๊ปสีน้ำตาลอ่อน และเดินออกจากห้อง ลงบันไดหอพักพร้อมกับย่างกรายเข้าสู่ถนนปาล์มดำ
ฉากตรงหน้าคือหมอกสีขาวอมเหลือง ปกคลุมบรรยากาศรอบถนนแน่นหนา ไคลน์มองเห็นผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาเลือนราง อากาศเย็นเฉียบยามเช้ากำลังไหลแทรกซึมเข้ามาในเนื้อผ้า
ไคลน์ก้มศีรษะต่ำพลางรีบย่ำเท้าตรงไปข้างหน้า เฉกเช่นผู้คนรอบตัวซึ่งกำลังเร่งฝีเท้าไปทำงานไม่ต่างกัน
ขณะก้าวเดิน มันเหลือบเห็นบุรุษอายุราวสี่สิบถึงห้าสิบด้านหน้า อีกฝ่ายสวมเสื้อกันหนาวตัวหนา จอนสองข้างขาวหงอก ฝีก้าวค่อนข้างเร่งรีบ มือข้างหนึ่งถือบุหรี่ด้วยอากัปกิริยาสั่นเทา อีกข้างล้วงหยิบกล่องไม้ขีดไฟจากกระเป๋าเสื้อ
ขณะเปิดกล่องไม้ขีด มือขวาพลันสั่นระริกกะทันหัน ส่งผลให้บุหรี่หล่นพื้นและกลิ้งกลุกกลุกมาทางไคลน์
ไคลน์ชะงักฝีเท้า ก้มหยิบบุหรี่ตัวดังกล่าว และยื่นกลับคืนให้อีกฝ่าย
“ขอบคุณมาก! ขอบคุณมากครับ! ผมคงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีสหายเก่าอย่างเจ้านี่ เหลืออีกไม่มากซะด้วยสิ…” ชายแปลกหน้ากล่าวขอบคุณไคลน์นอบน้อมพลางใช้มือหยิบบุหรี่
ใบหน้าขาวซีดผิดวิสัย หนวดเครารกรุงรังราวกับไม่ได้โกนหลายวัน สีหน้าแววตาอิดโรยชัดเจนโดยไม่ปิดบัง มันส่งเสียงพึมพำออกจากริมฝีปาก
“เมื่อคืนก็ไม่ได้นอนอีกแล้ว ไม่รู้ว่าจะทนได้อีกสักกี่วัน หวังว่าท่านวายุสลาตันจะอวยพรให้วันนี้ได้งานจากเรือนทำงานบ้าง…”
คงเป็นหนึ่งในบรรดาคนจรจัด ผู้ถูกตำรวจไล่ตะเพิดในยามค่ำคืน…ไคลน์เปิดปากซักถามอย่างสงสัย “ทำไมกษัตริย์และนายกรัฐมนตรีถึงไม่ให้พวกคุณนอนในสวนสาธารณะ?”
“ใครจะไปทราบ? แต่การนอนข้างนอกภายใต้สภาพอาการเช่นนี้ เกรงว่าจะไม่ได้ตื่นอีกเลยเสียมากกว่า กลางวันยังพอทน ยังมองหาจุดอุ่นให้งีบหลับได้ เฮ่อ…แต่ถ้านอนตอนกลางวัน พวกเราจะเสียโอกาสหางานในชั่วโมงเร่งด่วน รวมถึงไม่มีแรงไปทำงานในเรือนทำงาน” ชายสูงวัยจุดบุหรี่สูบ ก่อนจะอัดเข้าปอดหนึ่งลมหายใจ
เมื่อได้รับกำลังวังชากลับคืนบางส่วน ชายคนดังกล่าวเริ่มเดินตีคู่ไคลน์ แน่นอน ไคลน์ไม่รู้จักอีกฝ่ายมาก่อน และไม่มีทางทราบว่า จุดหมายของเขาคือแห่งหนใดภายใต้ม่านหมอกสีเหลืองอ่อนหนาทึบ
ชายหนุ่มไม่มัวเสียเวลาคุยเรื่องจิปาถะ มันเตรียมเร่งฝีเท้าปลีกตัวออกห่าง แต่ทันใดนั้นเอง มุมสายตาเหลือบเห็นชายคนเดิม กำลังก้มเก็บวัตถุสีคล้ำขึ้นจากพื้นถนน
ลักษณะคล้ายแกนแอปเปิล ถูกกัดจนเหลือเพียงส่วนตรงกลาง
ชายสูงวัยกลืนน้ำลายดังอึก ก่อนจะยัดแกนผลไม้สกปรกเข้าไปในปาก เคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยจนแหลกละเอียด และกลืนลงท้องโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือหรือถูกคายออกมา
เมื่อหันกลับมาเห็นสายตาตะลึงของไคลน์ ชายคนเดิมใช้มือเช็ดมุมปาก ยักไหล่แผ่วเบา และส่งรอยยิ้มขื่นขม
“ผมไม่ได้กินอะไรมาเกือบสามวันแล้ว”
ประโยคดังกล่าวกระแทกใจไคลน์หนักหน่วง อารมณ์ของมันถูกโยกคลอนทันที
ไคลน์ถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะหันไปยิ้ม
“ต้องขอโทษด้วย ผมแนะนำตัวเองช้าไป ผมคือนักข่าวจากหนังสือพิมพ์ กำลังทำข่าวเกี่ยวกับคนไร้บ้านอยู่พอดี ขอสัมภาษณ์คุณสักหน่อยได้ไหม? พวกเราไปนั่งคุยในร้านกาแฟกันเถอะ”
ชายสูงอายุผงะเล็กน้อย ก่อนจะอมยิ้ม
“ไม่มีปัญหา! ภายในร้านอบอุ่นกว่าบนถนนอยู่แล้ว”
“เอ่อ…ถ้าคุณพอจะมีเวลาว่าง หลังจากสัมภาษณ์เสร็จแล้ว ผมของีบหลับสักครึ่งชั่วโมงได้ไหม…ม…ไม่สิ สิบห้านาทีก็ได้! แค่นั้นก็พอแล้ว”
ไคลน์อ้าปากค้าง ไร้คำจะกล่าวไปชั่วขณะ ก่อนจะรวบรวมสติและเดินนำทาง ‘ผู้ถูกสัมภาษณ์’ เข้าไปในร้านกาแฟราคาประหยัดริมถนน
เครื่องเรือนภายในร้านจำพวกโต๊ะและเก้าอี้มีลักษณะมันเงา ไคลน์มองสำรวจผ่านบานหน้าต่างและพบว่ามีลูกค้าไม่มากนัก อุณหภูมิด้านในสูงกว่าบนถนนเล็กน้อย
ชายสูงอายุใช้มือลูบคลำลำคอ เผยให้เห็นลูกกระเดือกแหลมเลื่อนขึ้นเลื่อนลง สิ่งนี้คือลักษณะอาการของความหิว
ไคลน์จ้องมองอีกฝ่ายนั่งบนโซฟา ตัวมันเดินไปสั่งชาสองแก้วใหญ่ สตูว์ขาแกะถั่วลันเตาหนึ่งจาน ขนมปังสองก้อน ขนมปังปิ้งสองชิ้น เนยคุณภาพต่ำ และครีมเทียมหนึ่งชุด ทั้งหมดมีราคารวม 17.5 เพนนี
เมื่ออาหารจานแรกเสร็จพร้อมทาน ไคลน์เดินยกมาวางบนโต๊ะ
“กินให้อิ่มก่อน พวกเราค่อยเริ่มสัมภาษณ์หลังจากนั้น”
“จานนี้ของผม?” ชายสูงอายุซักถามด้วยสีหน้าคาดหวังเจือตกตะลึง
“นอกเหนือจากขนมปังปิ้งหนึ่งชิ้นและชาหนึ่งแก้ว ทั้งหมดคือของคุณ” ไคลน์ยิ้ม
ชายสูงอายุใช้มือขยี้ตาสองสามหน ก่อนจะเปล่งเสียงสั่นเครือ
“… ค…คุณช่าง มีจิตใจประเสริฐนัก…”
“หลังจากไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน ห้ามรีบกลืนอาหารลงท้องเด็ดขาด” ไคลน์เตือน
“ผมทราบดี เพราะเคยเสียเพื่อนไปหนึ่งคนด้วยสาเหตุนี้” ชายสูงอายุพยายามอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ตัวเองกินอาหารอย่างมูมมาม ถ้วยชาถูกยกขึ้นจิบเป็นระยะ
ไคลน์จัดการขนมปังปิ้งของตนเสร็จภายในเวลาไม่นาน มันนั่งมองอีกฝ่ายบรรจงรับประทานอาหารโดยไม่กล่าวสิ่งใดขัด รอให้อีกฝ่ายจัดการตัวเองจนเรียบร้อย
“ฟู่ว…ผมไม่ได้อิ่มท้องแบบนี้มาสามเดือนแล้วกระมัง…ไม่สิ ครึ่งปีเห็นจะได้ อาหารของเรือนทำงานมีไว้เพื่อประทังชีวิตเท่านั้น” ผ่านไปสักพัก ชายสูงอายุวางช้อนลงพลางก้มมองจานอาหารว่างเปล่า
ไคลน์ผู้แสร้งปลอมตัวเป็นนักข่าว ซักถามอีกฝ่ายอย่างเป็นกันเอง
“คุณกลายเป็นคนไร้บ้านได้อย่างไร?”
“เป็นความโชคร้าย เดิมทีผมเคยเป็นคนงานแถวหน้า มีชีวิตรุ่งเรืองและครอบครัวแสนอบอุ่น ภรรยาหนึ่งคน ทายาทตัวน้อยอีกสอง ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง แต่เมื่อไม่กี่ปีก่อน โรคร้ายได้พรากชีวิตพวกเขาไป ผมต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่นาน สูญเสียงาน สูญเสียทรัพย์สินและครอบครัวในคราวเดียว หลังจากนั้นผมก็ไม่สามารถหางานได้ ไม่มีเงินเช่าบ้านหรือซื้ออาหาร ทำได้แค่เตร็ดเตร่ไปตามถนนแต่ละสาย แอบงีบหลับในมุมอบอุ่นของสวนสาธารณะ ร่างกายของผมอ่อนแอลงทุกขณะ และส่งผลให้หางานได้ยากขึ้นทุกขณะเช่นกัน…” ชายสูงอายุเล่าด้วยสีหน้าอาลัยอาวรณ์เจือความเศร้า
มันจิบชาหนึ่งอึก ถอนหายใจ และเปิดปากเล่าเหตุการณ์ต่อ
“ทางรอดเดียวของผมคือ รอโอกาสเพื่อจะเข้าไปในเรือนทำงาน แต่คุณคงทราบดี เรือนทำงานรับคนได้จำกัด หากโชคดีต่อแถวได้ทันเวลา ผมก็จะต่อลมหายใจไปอีกหลายวัน นั่นจะช่วยฟื้นฟูกำลังวังชากลับมาบางส่วน และมีโอกาสหางานใหม่ทำชั่วคราว ใช่แล้ว…แค่ชั่วคราวเท่านั้น แต่ไม่นานก็กลับมาตกงานอีกครั้ง กลับเข้าสู่วงจรเดิม รอโอกาสกลับเข้าไปในโรงทำงานเพื่อพักฟื้นเอาแรง ผมไม่ทราบว่าตัวเองจะทนวังวนแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน ถึงแม้จะเคยเป็นคนงานฝีมือดีมาก่อน…”
ไคลน์ก้มหน้าตรึกตรองเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปากซักถาม
“คุณเหลือบุหรี่อีกกี่มวน?”
“ไม่มาก” ชายสูงอายุเผยรอยยิ้มขื่นขม “เป็นทรัพย์สินสุดท้ายของผมแล้ว เป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวนับตั้งแต่ถูกเจ้าของบ้านไล่ตะเพิดออกมา ฮะฮะ…จริงอยู่ว่า มีกฎห้ามนำบุหรี่เข้าไปในเรือนทำงาน แต่ผมจะซ่อนไว้อย่างแนบเนียนเสมอ ตามรอยตะเข็บเสื้อผ้า จะหยิบออกมาสูบในตอนเผชิญความยากลำบากเท่านั้น มันช่วยต่อชีวิตให้ผมได้ชั่วคราว และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานแค่ไหน…ขอเน้นย้ำอีกครั้ง ผมเคยเป็นคนงานฝีมือดีมาก่อน”
ไคลน์ไม่ใช่นักข่าวอาชีพ จึงไม่ทราบว่าตนควรซักถามแบบไหนต่อ
ชายหนุ่มเบือนศีรษะไปทางหน้าต่าง จ้องมองออกไป และเห็นชาวเมืองสภาพอิดโรยเจือความหิวโหยจำนวนมาก กำลังเดินสวนกันไปมารอบร้านกาแฟ
บางคนค่อนข้างปรกติ คงเป็นชาวเมืองทั่วไปของเขตตะวันออก ส่วนอีกหลายคนมีสีหน้าเฉยเมย เปี่ยมด้วยความเหนื่อยล้า ไม่เหมือนกับมนุษย์สักเท่าไร เป็นพวกร่อนเร่พเนจรตัวจริงเสียงจริง
ช่องว่างระหว่างคนสองประเภทมีไม่มาก ประเภทแรกจะกลายเป็นประเภทหลังได้ทันที หากเกิดความผิดพลาดขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยในอาชีพการงาน ตัวอย่างเช่น บุคคลตรงหน้า…เมื่อไคลน์หันหน้ากลับมา มันพบว่าอีกฝ่ายขดตัวนอนหลับบนโซฟาไปแล้ว
หลังจากผ่านไปหลายนาทีอย่างเงียบงัน ชายหนุ่มตัดสินใจเขย่าตัวชายสูงอายุเพื่อปลุกให้ตื่น ก่อนจะยื่นเหรียญเพนนีหนึ่งกำใหญ่ให้
“ค่าสัมภาษณ์”
“ต…ตกลงครับ! ขอบคุณ…ขอบคุณมาก!” ชายสูงอายุพลันแสดงสีหน้าประหลาดใจ พร้อมกันนั้น มันเห็นไคลน์กำลังเดินไปทางประตูร้าน จึงรีบส่งเสียงเรียกไล่หลัง “ผมจะนำเงินไปเช่าหอพัก อาบน้ำให้สะอาด นอนหลับเต็มอิ่ม และหางานดีๆ ทำให้ได้!”
…
ช่วงบ่าย ไคลน์เข้าร่วมงานเลี้ยงของตระกูลซาเมอร์ มีแขกร่วมงานทั้งหมดสิบคน
อาหารประกอบด้วยสเต๊กซอสแอปเปิล อกไก่ย่าง ปลาทอด ไส้กรอก ซุปครีม อาหารหรูหราหลายชนิด แชมเปญสองขวด และไวน์แดงหนึ่งขวด
ขณะเดินกลับจากห้องน้ำ ไคลน์ได้พบคุณนายซาเมอร์ระหว่างทาง จึงขอบคุณอย่างจริงใจ
“ถือเป็นอีกหนึ่งมื้อเที่ยงในความทรงจำของผม อาหารรสชาติยอดเยี่ยมมาก ต้องขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ”
“ราคารวมทั้งหมด สี่ปอนด์ แปดซูล จุดแพงอยู่ตรงแอลกอฮอล์สามขวด แต่ทั้งไวน์และแชมเปญล้วนเป็นของสะสมของลุคอยู่แล้ว เขามีตู้สำหรับแช่โดยเฉพาะเลยนะ” คุณนายซาเมอร์คนสวยเผยรอยยิ้มอ่อนโยน
โดยไม่เปิดโอกาสให้ไคลน์แทรก
“ลำพังงานของแมรีก็ทำเงินให้คุณได้สิบปอนด์แล้ว หากยังคงรักษาระดับนี้ไว้ได้ การจัดงานเลี้ยงแบบดิฉันก็ไม่ใช่เรื่องยาก ชนชั้นกลางอย่างพวกเรา ควรจัดงานเลี้ยงต้อนรับเพื่อนฝูงเดือนละครั้ง ส่วนสัปดาห์อื่นก็เข้าร่วมงานเลี้ยงของเพื่อนฝูงสลับกันไป”
ไคลน์ผู้ชาชินกับนิสัยโอ้อวดของหล่อน ทำเพียงยิ้มรับอย่างสุภาพ
“ผมคงต้องรอให้มีรายรับต่อปีไม่ต่ำกว่า สี่ร้อยปอนด์เสียก่อน จึงจะมีกำลังทรัพย์มากพอสำหรับจัดงานหรูหราแบบมาดาม”
เมื่อได้ยิน สตาร์ลิ่งเชิดคางขึ้นทันที เธอพยายามยกโค้งมุมปากอย่างสงวนกิริยา
“สี่ร้อยสามสิบปอนด์ค่ะ… ต้อง สี่ร้อยสามสิบปอนด์”
…
ย่านอู่ต่อเรือไบลัมตะวันออก โรงเหล้าสหภาพแรงงาน
ซิลสวมรองเท้าบูตช่วยเพิ่มส่วนสูง ติดหนวดเคราปกปิดใบหน้า องค์ประกอบโดยรวมจึงคลายเด็กผู้ชายตัวเล็ก
เธอพยายามนึกทบทวนภาพวาดล่าสุดของมิสออเดรย์ หวังสลักใบหน้าของบุคคลซึ่งอาจเป็นฆาตกรลงในความทรงจำจนไม่ลืมเลือน
หากกาวินถูกฆ่าด้วยฝีมือมันจริง…ชายคนนั้นต้องป้วนเปี้ยนรอบโรงเหล้าแห่งนี้แน่…ซิลสั่งเบียร์ไรย์และชุดอาหาร ถือมานั่งกินในมุมหนึ่งของร้านอย่างไม่รีบร้อน ระหว่างนั้นก็กวาดสายตาสำรวจรอบตัวเป็นระยะ หวังว่าจะได้พบเป้าหมายในความทรงจำ
ผ่านไปสักพักใหญ่ ประตูโรงเหล้าเปิดออก ซิลเงยหน้ามองตามความเคยชิน
เพียงปราดเดียว ดวงตาหญิงสาวพลันหดเกร็งและสั่นเทาอย่างหยุดไม่อยู่ ร่างกายของเธอแข็งทื่อประหนึ่งถูกสาปให้เป็นหิน
ผู้มาเยือนโรงเหล้ารายใหม่ คือบุรุษซึ่งมีส่วนสูงไม่ต่ำกว่าสองเมตร!
………………….