ตอนที่ 293 : ความกังวลของเดอร์ริค
พระผู้สร้างเสื่อมทราม? เดอร์ริคพลันขมวดคิ้วกะทันหัน
ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ล้วนแล้วแต่นับถือเทพพระองค์เดียวคือ ‘มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง มหาเทพผู้รังสรรค์ทุกสิ่งจากต้นกำเนิด’ ดังนั้นเมื่อได้ยินพระนามอันคล้ายคลึงกันแต่ดันมีคำต่อท้ายว่า ‘เสื่อมทราม’ สีหน้าแววตาเดอร์ริคพลันกระอักกระอ่วนชัดเจน
พระผู้สร้างเสื่อมทราม…มิสเตอร์ฟูลใช้ชื่อดังกล่าวเรียกขานพระผู้สร้างแท้จริงเสมอ…หมายความว่าเทวรูปนั่นคือเทวรูปเทพมาร…แล้วทำไมถึงปรากฏภายในซากวิหารบนดินแดนเทพทอดทิ้งได้? แถมยังอยู่ในระยะการสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์…ดินแดนเทพทอดทิ้งถูกตัดขาดจากโลกปรกติไม่ใช่หรือไง? หรือว่าหลังจากถูกเทพทอดทิ้งเป็นเวลานาน คนบางกลุ่มเริ่มหันมาศรัทธาในตัวพระผู้สร้างแท้จริงแทน… หรือว่า ‘ดินแดนศักดิ์สิทธิ์’ ตามคำกล่าวของชุมนุมแสงเหนือ แท้จริงแล้วจะเป็นดินแดนเทพทอดทิ้ง? อัลเจอร์ผุดทฤษฎีมากมายในสมอง แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปเนื่องจากข้อมูลน้อยเกินไป อีกทั้ง ช่วงเวลาก่อนยุคสมัยมหาภัยพิบัติได้ถูกบันทึกไว้อย่างเลือนราง เต็มไปด้วยตำนานและอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ คลุมเครือราวกับพยายามองจ้องเข้าไปในกลุ่มหมอกหนาทึบ
แฮงแมนก้มหน้าตรึกตรองสักพักก่อนหันไปกล่าวกับเด็กหนุ่ม
“อีกชื่อหนึ่งของพระผู้สร้างเสื่อมทรามคือพระผู้สร้างแท้จริง”
“องค์กรลับซึ่งกราบไหว้บูชาพระผู้สร้างแท้จริง ส่วนมากมักถือครองเส้นทางผู้วิงวอนความลับไว้ ไม่ว่าจะเป็นผู้สดับ ผู้กระซิบ บาทหลวง รวมถึงลำดับห้า อย่างคนเลี้ยงแกะซึ่งคุณเคยเล่าให้พวกเราฟัง”
คนเลี้ยงแกะ? เดอร์ริคพลันกระวนกระวาย ดวงตาของมันแฝงความหวาดกลัวชัดเจน
มันไม่คุ้นเคยกับชื่อโอสถจากปากแฮงแมนสักเท่าไร แต่บางโอสถก็มีบันทึกไว้ในเมืองเงินพิสุทธิ์ด้วยชื่อใกล้เคียงกัน เช่นผู้สดับและผู้กระซิบ
หมายความว่า เทวรูปประหลาดดังกล่าวคือตัวแทนของเส้นทางผู้วิงวอนความลับ…อาวุโสโลเฟียร์เป็นคนเลี้ยงแกะ… พักหลังเธอเริ่มทำตัวแปลกไปจากปรกติ…เดอร์ริคเริ่มกังวลเกี่ยวกับตัวตนของสมาชิกใหม่แห่งหกสภาอาวุโส รวมถึงความปลอดภัยของเมืองเงินพิสุทธิ์
ในอดีต หากสำรวจเข้าไปในความมืดและได้พบเมืองซากปรักหักพัง ท่ามกลางเศษซากอารยธรรมเหล่านั้น หน่วยสำรวจจะพบคำบางคำคล้ายคลึงกันเสมอ ไม่ว่าอารยธรรมจะแตกต่างกันมากเพียงใด
และไม่ว่าจะเขียนด้วยภาษาแตกต่างกันเช่นไร ทั้งมังกร คนยักษ์ หรือเอลฟ์ แต่ทุกประโยคต่างพูดถึงตัวตนหนึ่งเดียวเสมอ
ตัวตนดังกล่าวคือ
“เทพมาร!”
ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ต่างเชื่อมาตลอดว่า เทพมารคือนามของผู้ทำลายล้างอารยธรรมทั้งหมดบนดินแดนแห่งนี้ ดังนั้นเมื่อทราบว่าหนึ่งในหกอาวุโส โลเฟียร์ เดินบนเส้นทางผู้ศรัทธาของเทพมาร แล้วจะไม่ให้เดอร์ริคตกตะลึงได้อย่างไร
มิสเตอร์ซันเงียบขรึมอีกแล้ว…ออเดรย์ค่อนข้างผิดหวัง เนื่องจากต้องการได้ยินเรื่องราวของเมืองเงินพิสุทธิ์มากกว่านี้
หลังจากผ่านการชุมนุมหลายหน แถมยังเคยซื้อข้อมูลของเผ่ามังกรมาจากเดอร์ริค เด็กสาวย่อมให้ความสนใจเมืองเงินพิสุทธิ์มาก
ท่าทีผิดคาดเล็กน้อยแฮะ…อัลเจอร์เพ่งมองอย่างเย็นใจ แต่ก็ไม่ได้เบาะแสเพิ่มเติม
มันหาจุดเชื่อมต่อบทสนทนาไม่ได้ และหากถามสิ่งใดออกไปตอนนี้ เกรงว่าอีกฝ่ายอาจเรียกร้องสิ่งของแลกเปลี่ยน สำหรับอัลเจอร์ผู้มีภาระต้องจัดหาวัตถุดิบหลักถึงสองชิ้นให้เดอะเวิร์ล มันไม่สามารถจ่ายอะไรใครได้มากกว่านี้แล้ว
ทันใดนั้น บุคคลหัวโต๊ะเริ่มใช้มือเคาะเป็นจังหวะอย่างอ่อนโยน
ไคลน์พยายามปกปิดอาการอ่อนล้าทางพลังวิญญาณด้วยกลุ่มหมอกหนา ก่อนจะเผยรอยยิ้มมุมปากและกล่าว
“วันนี้พอแค่นี้ก่อน”
“สุดแล้วแต่ท่าน” ออเดรย์ส่งเสียงพลางลุกยืนทำความเคารพด้วยชายกระโปรงมายา ทางด้านแฮงแมนและเดอะซันก็กล่าวในสิ่งที่คล้ายคลึงกัน
ไคลน์โบกมือแผ่วเบาพร้อมกับตัดการเชื่อมต่อทั้งหมดในคราวเดียว มันนั่งรับชมร่างมายาของทั้งสามเลือนหายอย่างเชื่องช้า
ถัดมา ชายหนุ่มเสกให้ไอดีเด็ก เดอะเวิร์ล สลายไปจากโต๊ะทองสำริดยาว ก่อนจะโน้มตัวลงไปหยิบเข็มกลัดพิสดารของลาเนวุสขึ้นมาตั้งใจศึกษา
“สามารถเข้าร่วมได้ถ้ามีสิ่งนี้” ไคลน์อ่านประโยคด้านหลังอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็เริ่มตระหนักว่า เข็มกลัดดังกล่าวไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไปจากเดิมแม้จะอยู่บนห้วงมิติเหนือหมอกเทา
หลังจากนั่งตรึกตรองสักพัก ไคลน์ตัดสินใจถ่ายพลังวิญญาณเข้าไป
เกิดเป็นละอองแสงสว่างแผ่กระจายออกจากเข็มกลัดกะทันหัน ก่อนจะก่อตัวเป็นเสาลำแสงเข้มข้น และพุ่งตรงออกไปด้านนอกห้วงมิติเหนือสายหมอกเทา
เพียงไม่นานก็ถูกสะท้อนกลับมาอย่างปริศนาผ่านม่านหมอกสีเทาลึกลับ
แสงสว่างดังกล่าวสลายไปและค่อยๆ ก่อตัวกลายเป็นกระดาษหนังมายา เนื้อความด้านในเขียนไว้ด้วยภาษาฟุซัคโบราณว่า
“4 มกราคม ปี 1350 แปดนาฬิกา ณ ลำธารหุบเขาบาบูร์”
อุปกรณ์สื่อสารแห่งศาสตร์เร้นลับ? เข็มกลัดชิ้นนี้จะทำการส่งข้อความออกไป จากนั้นก็ร้องขอข้อมูลปัจจุบัน และปิดท้ายด้วยการส่งข้อมูลกลับมาแจ้งวันเวลาโดยละเอียดพร้อมกับจุดนัดหมาย? ชายหนุ่มนั่งตรึกตรองสถานการณ์เมื่อครู่ จากนั้นก็วิเคราะห์เกี่ยวกับหลักการของเข็มกลัดลึกลับชิ้นนี้
1350 คือปีหน้า…ลำธารหุบเขาบาบูร์ตั้งอยู่ใกล้กับแม่น้ำทัสซอค บริเวณปากทางก่อนไหลเข้าสู่กรุงเบ็คลันด์ วันเวลาถูกแจ้งอย่างละเอียด แต่พิกัดนัดพบกลับคลุมเครือ…ลำธารหุบเขาดังกล่าวมีความยาวเกือบหนึ่งร้อยเมตรเลยทีเดียว…บางทีเข็มกลัดชิ้นนี้อาจมีระบบช่วยระบุตำแหน่งอย่างละเอียดหลังจากเดินทางไปถึงจุดหมายแล้ว…ไคลน์นั่งพิจารณาเข็มกลัดจากทุกมุม พยายามศึกษาสัญลักษณ์ คาถา และอักขระอย่างละเอียด เผื่อว่าตนจะลองสร้างเลียนแบบในอนาคต
แต่น่าเสียดาย ในเมื่อไม่ได้เป็นเหยี่ยวราตรีอีกแล้ว ความรู้ด้านศาสตร์เร้นลับของตนจึงไม่พัฒนาขึ้นจากแต่ก่อนเลย เพราะไม่มีคาบสอนของลุงนีลล์และเอกสารลับให้อ่าน จึงจำเป็นต้องรีบหาแหล่งความรู้เพิ่มเติมโดยเร็ว
หลังจากก้มหน้าไตร่ตรองหลายนาที ไคลน์ยอมถอดใจอย่างไม่มีทางเลือก
ส่วนวลี ‘สามารถเข้าร่วมได้ถ้ามีสิ่งนี้’ ชายหนุ่มประเมินว่า ไว้ค่อยใกล้ถึงเวลาค่อยกลับมาพิจารณากันใหม่
หากตัวมันก้าวไปถึงลำดับ ‘ผู้ไร้หน้า’ ได้ก่อนสิ้นปี บางทีอาจตัดสินใจปลอมตัวเป็นใครสักคนและเดินทางเข้าร่วมตามพิกัดดังกล่าว แต่ถ้าลำดับพลังยังไม่ถึง ก็คงต้องปล่อยผ่านไปโดยไม่ทำอะไร…ไคลน์รำพันในใจ สมาธิกลับมาจดจ่ออยู่กับขั้นตอนการเลื่อนลำดับเป็น ‘นักมายากล’ อีกครั้ง
ดูเหมือนไม่มีอะไรน่าห่วงสำหรับรากแก้วและยางของต้นไม้มนุษย์หมอกทึบ เดอะซันคงจัดการได้ไม่ยาก…และถ้าไม่ดวงซวยจนเกินไป ก็คงได้รับผลึกแก่นน้ำพุเอลฟ์กับไขสันหลังเสือดำลายมารภายในสัปดาห์นี้…แปลว่าตัวเราใกล้เคียงกับการเป็นลำดับเจ็ด เต็มทีแล้ว…ผู้วิเศษลำดับกลางสินะ…หืม…แล้วนักมายากลต้องใช้เทคนิคสวมบทบาทอย่างไร? เมื่อฉุกคิดเรื่องดังกล่าว ไคลน์เริ่มตระหนักถึงปัญหาใหญ่
หลังจากตายและเกิดใหม่ มันต้องเผชิญห้วงอารมณ์ขมขื่นและค้นพบแก่นแท้ตัวตลกเข้าโดยบังเอิญ มีใจความดังนี้
“แม้จะมีพลังหยั่งถึงโชคชะตาได้เล็กน้อย แต่เมื่อต้องเผชิญห้วงทะเลโชคชะตาแสนกว้างใหญ่ มนุษย์ย่อมไม่มีพลังฝืนลิขิตฟ้า ฉะนั้น เราจำเป็นต้องสวมหน้ากากยิ้มแย้มตลอดเวลา เพื่อเก็บงำความปวดร้าว โศกเศร้า สับสน และจิตตก”
ตลอดช่วงหนึ่งเดือนหลัง ไคลน์จึงหมั่นสวมบทบาทเป็นระยะเพื่อให้โอสถถูกย่อยอย่างต่อเนื่อง ชายหนุ่มไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูกหรือตั้งกฎใหม่ให้วุ่นวาย เพียงคอยตรวจสอบความรู้สึกเป็นระยะก็พอ…หลังจากนั้น เมื่อลงมือสังหารลาเนวุสและแก้แค้นได้สำเร็จตามความปรารถนา พร้อมกันกับการหัวเราะทั้งน้ำตาประหนึ่งคนเสียสติ ก็ถึงคราวย่อยพลังตัวตลกได้อย่างสมบูรณ์ทันที
แตกต่างจากเมื่อครั้งเป็นนักทำนาย การย่อยโอสถตัวตลกของไคลน์ถือว่ามีวาสนาคอยช่วยเหลือ ดังนั้น เมื่อเลื่อนลำดับกลายเป็นนักมายากลในอนาคต มันต้องกลับไปใช้เทคนิคสวมบทบาทและตั้งกฎเหมือนกับสมัยนักทำนายอีกครั้ง
แก่นแท้ของนักมายากลคืออะไร…สร้างภาพมายาให้กลายเป็นความจริง? หืม…จากคำบอกเล่าของมิสเตอร์ซาราธภายในไดอารีจักรพรรดิโรซายล์ มันกล่าวไว้ว่า โชคชะตาไม่ใช่จุดแข็งของเส้นทางนักทำนาย เป็นเพียงส่วนหนึ่งของพลังเท่านั้น…หมายความว่านักมายากลอาจต้องพึ่งพา ‘โชคชะตา’ อยู่บ้าง…ตัวอย่างเช่น ถึงนักมายากลจะไม่มีอำนาจเปลี่ยนแปลงโชคชะตา แต่ก็สามารถสร้างภาพมายาหลอกหลอนให้อีกฝ่ายเชื่อว่า โชคชะตาได้เปลี่ยนไปแล้ว…อย่างนั้นหรือ? ไคลน์ก้มหน้าพร้อมกับบีบนวดขมับอย่างปวดหัว ก่อนตัดสินใจห่อหุ้มร่างกายตัวเองกลับสู่โลกความจริงเบื้องล่าง
…
เขตนักบุญจอร์จ ณ หอพักสองห้องนอน
“โชคยังดี ฉันบังเอิญเช่าห้องนี้ไว้ล่วงหน้า ไม่อย่างนั้นพวกเราคงไม่มีห้องสำหรับซุกหัวนอนในยามฉุกเฉินเช่นนี้” ฟอร์สจ้องมองกระจกพลางสางเส้นผมหลุดร่วงทิ้ง
“นั่นก็จริง…” ซิลตอบกลับด้วยเสียงค่อยขณะกำลังนอนแผ่บนเตียง
“ฉันได้อ่านหนังสือพิมพ์แล้ว ลาเนวุสอาจเสียชีวิตก็จริง แต่ถ้าเป็นเหตุการณ์เกี่ยวพันกับออร่าแห่งเทพ ฉันคิดว่าเรื่องราวไม่น่าจะจบลงง่ายนัก พวกเราคงต้องซ่อนตัวไปอีกสักพักใหญ่…ไม่สิ ไม่เกี่ยวกับฉันสักหน่อย มีแค่เธอต่างหาก! ฉันคือแพทย์หญิงถูกต้องตามกฎหมายของคลินิก และยังเป็นนักเขียนนิยายขายดีอันดับหนึ่ง!” ฟอร์สจ้องมองตัวเองในกระจก ก่อนจะทาเครื่องสำอางรองพื้น
ซิลหมดแรงจะตอบโต้ เพียงพยุงตัวลุกนั่งและกล่าวเสียงเรียบ
“ฉันต้องขอบคุณประสบการณ์อันโชกโชนของตัวเองอย่างมาก ขณะจ้างให้ใครบางคนรายงานกับโบสถ์รัตติกาล ฉันไม่ได้พูดถึงเรื่องออร่าแห่งเทพออกไปสักคำเดียว เพียงแต่แจ้งว่าลาเนวุสมีพฤติกรรมน่าสงสัย คล้ายกับกำลังประกอบพิธีกรรมสวดภาวนาต่อเทพนอกรีต…หากไม่แล้ว ถ้าต้องเข้าไปพัวพันกับการความขัดแย้งระดับสูง ชีวิตหลังจากนี้คงยากลำบากแน่ ทางเลือกเดียวคือการเผ่นหนีออกจากเบ็คลันด์โดยเร็ว…ให้ตายสิ ฉันไม่อยากรับภารกิจจากมิสออเดรย์อีกแล้ว!”
“พูดจริงหรือ” ฟอร์สถามไม่มองหน้า
“อึก…” ซิลชะงักไปไม่กี่อึดใจก่อนจะเงยหน้าตอบ “ว่ากันตามตรง ฉันไม่จำเป็นต้องรายงานเรื่องออร่าเทพอยู่แล้ว ในเมื่อมิสออเดรย์สามารถตระหนักถึงออร่าเทพ โบสถ์รัตติกาลก็ต้องสัมผัสได้เช่นกัน…ว่าแต่ พวกเขาฆ่า ‘ยักษ์’ ไปหรือยัง?
“แล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไง” ฟอร์สตอบห้วน
ซิลเริ่มหน้าซีดเผือด ก่อนจะพ่นลมหายใจยาวอย่างเชื่องช้า
ฟอร์สหยุดการกระทำของตน จากนั้นก็หันมากล่าวกับเพื่อนสนิท
“ภารกิจลาเนวุสสำเร็จลุล่วงได้ด้วยฝีมือเธอแค่คนเดียว ดังนั้นฉันจะไม่รับส่วนแบ่งแม้แต่หนึ่งเพนนี เงินสองร้อยปอนด์เป็นของเธอทั้งหมด เมื่อรวมเข้ากับเงินออม เจ็ดสิบปอนด์ก่อนหน้า เธอสามารถซื้อวัตถุดิบหลักของโอสถ ‘เจ้าพนักงาน’ ได้แล้วหนึ่งชิ้น!”
“แต่เงิน หนึ่งร้อยปอนด์จากกรมตำรวจคงยังไม่ได้รับเร็วๆ นี้” ซิลเม้มปาก
ไม่ใช่เพราะซิลวารัสยาร์ดไม่อยากจ่ายเงินรางวัลนำจับ เพียงแต่ว่า ซิลไม่ได้แจ้งเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ฉะนั้นเงินค่าหัวจะถูกส่งให้กับเพื่อนผู้รายงานข่าว ซึ่งเป็นผู้รับค่าหัวตัวจริง
เมื่อประเมินว่า การแวะไปหาเพื่อนคนดังกล่าวอาจทำให้ถูกสาวมาถึงตัว ซิลจึงไม่กล้าออกไปพบหน้าใครในช่วงนี้
ส่วนเรื่องว่า อีกฝ่ายจะฮุบเงินค่าหัวทั้งหมดไว้คนเดียวหรือไม่ ซิลค่อนข้างไม่เป็นกังวล เนื่องจากมีนักล่าค่าหัวเถื่อนหลายคนเคยใช้บริการเพื่อนของเธอบ่อยครั้ง และถ้าไม่ซื่อสัตย์จริง ป่านนี้คงนอนแผ่ให้ดินกลบหน้านานแล้ว จริงอยู่อาจต้องถูกหักส่วนแบ่งเล็กน้อย แต่ซิลก็ไม่ถือสา
“อย่างไรก็ตาม สุดท้ายมันก็จะตกเป็นเงินของเธออยู่ดี” ฟอร์สเว้นวรรคเล็กน้อย ตามด้วยการทำสีหน้าขึงขัง “แล้วถ้าเธอมีเงินมากพอ สามารถติดต่อชายสวมหน้ากากคนนั้นและซื้อวัตถุดิบโดยตรงได้ไหม?”
“ไม่ดีกว่า นอกเสียจากฉันจะหมดสิ้นหนทางอย่างแท้จริง” ซิลตอบฉะฉาน
…
เขตราชินี ณ คฤหาสน์หรูของเคาต์ฮอลล์
ขณะออเดรย์กำลังทบทวนรายละเอียดการชุมนุมในวันนี้ เธอเห็นสาวใช้ประจำตัว แอนนี่ เดินเข้ามาหาพร้อมเศษกระดาษ
“คุณหนูคะ มีโทรเลขมาถึง” แอนนี่กล่าวพลางฉีกยิ้ม “จากชายฝั่งตะวันออกของอดีตจักรวรรดิไบลัม”
อัลเฟรด? ออเดรย์รีบรับไว้อย่างร่าเริง
“ถึงน้องสาวคนสวย ซาลามันเดอร์สีรุ้งของเธอถูกลำเลียงไปถึงท่าเรือพริสต์เมื่อคืนนี้ พี่สั่งได้ให้นำไปส่งยังคฤหาสน์ในเขตรอบนอกตามความต้องการของเธอ”
มาถึงเมื่อคืน? ถ้าอย่างนั้นคงไปถึงคฤหาสน์ของเราอย่างเร็ววันนี้ และอย่างช้าคือวันพรุ่งนี้…ออเดรย์เอียงคอพลางหันไปมองซูซี่ สุนัขขนฟูผู้กำลังทะเลาะกับอาหารทานเล่น จากนั้น เด็กสาวเผยรอยยิ้มแฝงเลศนัย “ซูซี่ ของขวัญของเธอใกล้มาถึงแล้ว”
“โฮ่ง?” โกลเดนรีทรีเวอร์เงยหน้ามองคุณหนูคนสวยด้วยสายตาสุดฉงน
………………….