ตอนที่ 296 : นักมายากล
ไคลน์ทดสอบเดินสองสาวก้าวผ่านโต๊ะชากาแฟ จากนั้นก็ลองบิดเอวซ้ายขวา มันยังไม่พบความผิดปรกติใดกับร่างกาย
ชายหนุ่มเพ่งสายตาผ่านมุขหน้าต่าง มองไปยังเสาตะเกียงริมถนนซึ่งกำลังมอบแสงสลัวท่ามกลางบรรยากาศมืดสนิท จากนั้นก็ยืนครุ่นคิดกับตัวเอง
ฝ่ามือและท่อนแขนของเราว่องไวขึ้น…ร่างกายโดยรวมคล่องแคล่วขึ้น ต่อให้ไม่มีพลังพิเศษใดเลย แต่ถ้าพยายามมากพอ ก็สามารถกลายเป็นนักมายากลตัวจริงระดับแถวหน้าของโลกได้ไม่ยาก
นั่นคือความประทับใจแรกต่อโอสถใหม่
จากข้อมูลของเอกสารลับเหยี่ยวราตรี หากผู้วิเศษได้รับเวทมนตร์ใหม่ ขณะดื่มโอสถเข้าไป มวลความรู้มหาศาลจะหลั่งไหลเข้าสู่สมองทันที ร่างกายจะตระหนักถึงวิธีใช้งานเวทมนตร์เหล่านั้นโดยปริยาย ถือเป็นกระบวนการเหนือธรรมชาติอันน่าทึ่ง
เมื่อครู่ หัวของเราเกือบระเบิด…ไคลน์ยิ้มแห้งพลางเค้นสมองนึกอย่างถี่ถ้วน ว่าตนร่ำเรียนเวทมนตร์ใดเพิ่มเติมบ้าง
ความทรงจำชายหนุ่มระบุว่า นักมายากลคือผู้วิเศษลำดับเจ็ด ซึ่งมีความแข็งแกร่งค่อนข้างมากหากเทียบกับลำดับเจ็ดด้วยกัน สามารถต่อสู้ได้เก่งกาจ มาพร้อมทักษะหลายรูปแบบซึ่งล้วนแล้วแทบไม่ต้องร่าย
จากบรรดาเวทมนตร์ทั้งหมด ไคลน์ชื่นชอบเป็นพิเศษสามชนิด
อันดับหนึ่งอย่างไร้ข้อกังขาคือ
ย้ายความเสียหาย!
หากไม่เสียชีวิตอย่างฉับพลัน และหากฝ่ามือของไคลน์ยังขยับได้ มันสามารถย้ายแผลฉกรรจ์จากจุดตายไปยังอวัยวะอื่นบนร่างกายซึ่งสำคัญน้อยกว่า เช่นท่อนแขน เปลี่ยนให้อาการบาดเจ็บหนักกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยในพริบตา ไม่ต้องสงสัยเลยว่า สิ่งนี้คือสุดยอดพลังพิเศษสำหรับเอาตัวรอดในสถานการณ์คับขัน
แต่ปัญหาคือ ขณะยังเป็นลำดับเจ็ด บาดแผลจะถูกโยกย้ายได้แค่ร่างกายตัวเองเท่านั้น แถมยังมีโอกาสเพียงครั้งเดียวในการต่อสู้แต่ละหน แต่ถ้าเลื่อนลำดับพลัง ในอนาคตสามารถโอนถ่ายความเสียหายไปยังสิ่งของหรือผู้อื่นได้…ค่อยสมกับเป็นเวทมนตร์หน่อย…ไคลน์กำลังวาดมโมภาพสวยหรู
เวทมนตร์ถัดมาคือ กระโจนไฟ
ภายในระยะทาง สามสิบเมตร มันสามารถหายตัวไปโผล่ยังกองไฟจุดใดก็ได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นกองไฟจากฝีมือนักมายากลเอง หรือกองไฟจากสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ นับเป็นเทคนิคประเภทเคลื่อนย้ายพริบตา อาศัยความช่วยเหลือจากโลกวิญญาณคอยนำพา
ช่างเหมาะกับการใช้แสดงในโชว์มายากลเสียจริง…ไคลน์รำพันติดตลกด้วยความพึงพอใจสุดขีด
ยิ่งไปกว่านั้น หากมันย่อยโอสถสมบูรณ์และเลื่อนลำดับพลัง ระยะทางของกระโจนไฟก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นมาก
เวทมนตร์ถัดมาคือ กระสุนลม
แน่นอน ไคลน์เคยเห็นตัวตลกสวมสูทหางยาวในทิงเก็นใช้เวทมนตร์ชนิดนี้
เพียงเลียนเสียงปืนหรือดีดนิ้ว นักมายากลสามารถยิงลมกระแทกด้วยความเร็วและพลังทำลายเทียบเท่าปืนลูกโม่ได้ ประสิทธิภาพจะเพิ่มขึ้นหากย่อยโอสถและเลื่อนลำดับ ไคลน์เชื่อว่าถ้าเป็นลำดับสี่ หรือ ห้า ตนสามารถสร้างปืนใหญ่อัดอากาศได้เลยทีเดียว
ถ้าเป็นแบบนี้ เราก็ไม่ต้องคอยเสียเงินซื้อปืนกับกระสุนอีกแล้ว…ไม่สิ ไม่ได้…ยังต้องพกปืนติดตัวไว้อยู่ดี เราไม่ควรเปิดเผยพลังพิเศษของตัวเองตลอดเวลา บางสถานการณ์จำเป็นต้องใช้ปืนปกปิด… ละถ้าปัญหาใดสามารถแก้ไขได้ด้วยปืน ปัญหานั้นก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่นัก…ไคลน์ผงกศีรษะแผ่วเบา พลางก้มหน้าพิจารณาเวทมนตร์ชนิดอื่น
ถัดมาเป็น เวทมนตร์สลับตำแหน่งกับกระดาษรูปคน ภายใต้สถานการณ์วิกฤติ มันสามารถเปลี่ยนให้กระดาษรูปคน กลายเป็นร่างจำแลงของตัวเองได้ ส่วนร่างหลักก็หลบหนีไปในจุดอื่นใกล้เคียง เป็นเวทมนตร์ใช้งานง่ายและสะดวก ไม่เพียงจะหลีกหนีจากการโจมตีถึงชีวิตได้ในพริบตา แต่ใช้ยังได้ผลดีกับบรรดาคำสาปชนิดต่างๆ
นี่คงเป็นเหตุผลทำให้ ‘นักเชิดหุ่น’ โรซาโก้พกกระดาษรูปคนติดตัวตลอดเวลา…หมอนั่นคงนึกเสียดายมาก เนื่องจากไม่มีโอกาสได้สลับตำแหน่ง เพราะถูกเสียงเพรียกของพระผู้สร้างแท้จริงเล่นงานอย่างหนัก…ข้อเสียของเวทมนตร์ชนิดนี้คือ การใช้งานแต่ละครั้งจะทำให้กระดาษรูปคนหายไปหนึ่งแผ่น แปลว่าเราต้องเตรียมกระดาษดังกล่าวติดตัวเผื่อไว้เสมอ…สำหรับยุคสมัยห้า หากผู้วิเศษคนใดพกสิ่งของเช่นนี้ไปไหนมาไหน จะถูกมองว่าเป็นพ่อมดชั่วร้ายนอกรีต หากถูกตำรวจค้นตัวเข้าเมื่อไร คงหนีไม่พ้นการตกเป็นผู้ต้องสงสัยแน่นอน…ไคลน์รำพันถึงความยุ่งยากในการใช้เวทมนตร์สลับตำแหน่งกระดาษรูปคน
เวทมนตร์ถัดมาคือ ‘ควบคุมไฟ’ สิ่งนี้ไม่เชิงเป็นเวทมนตร์ เพราะไม่ใช่การเสกไฟขึ้นมาโดยตรง แต่เป็นการควบคุมแหล่งเปลวเพลิงทุกชนิดภายในระยะ สามสิบเมตรโดยไม่ต้องเสียเวลาร่ายให้วุ่นวาย รวมถึงสามารถทำให้สิ่งของบางประเภทติดไฟได้ทันที หากโอสถย่อยสมบูรณ์หรือเลื่อนลำดับพลัง นักมายากลสามารถเสกเกลียวพายุอัคคีขึ้นจากความว่างเปล่าได้ง่ายดาย
เวทมนตร์ถัดมาคือ ‘สร้างภาพมายา’ อาศัยหลักการบิดเบือนสภาพแวดล้อม นักมายากลสามารถสร้างภาพมายาให้มีรูปร่าง สีสัน เสียง และกลิ่น ออกมาใกล้ความเป็นจริงอย่างมาก จนยากจะระบุว่าเป็นของจริงหรือปลอม ส่งผลให้ศัตรูถูกหลอกได้ชั่วขณะ
สมกับเป็นนักมายากล…ไคลน์ฉีกยิ้มกว้าง พลางเดินไปยังมุขหน้าต่างเพื่อรับชมความงดงามของบรรยากาศยามค่ำคืน
ถัดมาเป็น เวทมนตร์ช่วยให้หายใจใต้น้ำได้ทางอ้อม หลักการคือสร้างท่ออากาศล่องหนขณะดำน้ำ ช่วยให้หายใจใต้น้ำได้อย่างอิสระเหมือนกับตัวเมอร์ล็อค
ข้อเสียคือท่ออากาศจะมีระยะทางจำกัด ภายใต้เงื่อนไขปัจจุบัน ไคลน์สามารถดำน้ำได้ลึกห้าเมตรโดยไม่ต้องกลั้นหายใจ แปลว่าถ้าเป็นน้ำลึกกว่าห้าเมตร มันสามารถจมน้ำตายเพราะขาดอากาศ
แน่นอน หากย่อยโอสถสมบูรณ์และเลื่อนลำดับพลัง ความยาวของท่ออากาศจะเพิ่มขึ้น
เวทมนตร์ถัดมาไม่เชิงเป็นเวทมนตร์เช่นกัน แต่เป็นพลังทำให้กระดูกอ่อนตัว นักมายากลสามารถหลุดรอดจากการถูกใส่กุญแจมือหรือเชือกมัดตามร่างกาย
อันนี้ก็ไม่เลว! ไคลน์ฉีกยิ้ม
ความสามารถถัดมา ถือเป็นส่วนต่อยอดจากพลังตัวตลก ของเดิมแค่ทำให้กระดาษกลายเป็นอาวุธขว้างมีคม แต่พลังใหม่จะช่วยเปลี่ยนให้กระดาษกลายเป็นอาวุธได้หลากหลายประเภท ไม่กำจัดเฉพาะของมีคมอีกแล้ว ได้ทั้งพลอง กระบอง หรือก้อนอิฐ
ทั้งหมดคือ เก้าพลังใหม่ของนักมายากล มีทั้งเวทมนตร์และทักษะกึ่งเวทมนตร์ อยู่ในขอบเขตความชำนาญของนักมายากลสมชื่อ ถึงจะไม่ได้โดดเด่นในด้านตั้งรับถือโจมตีมากเป็นพิเศษ แต่ข้อดีคือความหลากหลายและพลิกแพลงในแต่ละสถานการณ์ ช่วยยกระดับให้ไคลน์แข็งแกร่งขึ้นทันตาเห็น เป็นมากกว่าการพัฒนาเพียงหนึ่งลำดับ โดยเฉพาะความสามารถด้านเอาชีวิตรอดและหลบหนี
เหนือสิ่งอื่นใด ความเร็วในการร่ายเวทมนตร์ทุกชนิดรวดเร็วจนน่าทึ่ง เกือบทั้งหมดไม่ต้องร่ายคาถาหรือเสียเวลารวบรวมมวลพลังวิญญาณ เพียงขยับตัวเล็กน้อยก็ได้ผลลัพธ์ตามใจปรารถนา ไม่ว่าจะเวทมนตร์หรือกึ่งเวทมนตร์
ไม่เพียงเท่านั้น โอสถยังช่วยมอบความรู้ด้านมายากลอีกเล็กน้อย แต่ไม่เหมาะสำหรับใช้ต่อสู้จริงสักเท่าไร
ตัวเราในปัจจุบันกลายเป็นผู้วิเศษสายต่อสู้สักที…ไคลน์รำพันอย่างมีความสุข
ขณะมันตัดสินใจเตรียมเดินทางไปยังผับวีรบุรุษเพื่อซื้อลูกโม่กระบอกใหม่และเติมกระสุนปืน เสาตะเกียงริมถนนด้านนอก ซึ่งเคยถูกฉาบด้วยสีแดงเจือจางจากแสงจันทร์ ปัจจุบันพลันมืดลงกะทันหัน!
ไคลน์รีบแหงนหน้ามองท้องฟ้าอย่างประหลาดใจ และพบว่าเมฆดำรวมถึงหมอกหนาทึบได้เลือนหายอย่างเป็นปริศนา จันทราแดงฉานเริ่มเผยตัวมากกว่าครึ่งซีก
เวลาผ่านไป จากเกิดกว่าครึ่งซีก กลายเป็นพระจันทร์เต็มดวงภายในระยะเวลาอันสั้น
จันทราสีแดงเข้มไม่ต่างอะไรกับเลือดสด!
เหตุการณ์พระจันทร์เต็มดวงหนล่าสุดเพิ่งผ่านมาได้แค่สองสัปดาห์เท่านั้น!
ไม่ว่าจะปฏิทินทั่วไปหรือปฏิทินโหราศาสตร์ กำหนดการของจันทร์เต็มดวงรอบหน้ายังเหลืออีกตั้งสิบกว่าวัน!
นี่คือจันทราโลหิต…? มุมปากไคลน์พลันสั่นระริกขณะพึมพำกับตัวเอง
ภายในโลกใบนี้ การเปลี่ยนแปลงของดวงจันทร์จะมีทั้งแบบปรกติและไม่ปรกติ
ในสถานการณ์ปรกติ นอกจากสีแดงฉาน ดวงจันทร์บนท้องฟ้าจะมีลักษณ์เหมือนกับพระจันทร์ของโลกเก่าทุกประการ…แต่ขณะเดียวก็มีปรากฏการณ์ไม่ปรกติ ดวงจันทร์จะเผยตัวเต็มดวงกะทันหันอย่างไร้เหตุผล มาพร้อมสีสันฉูดฉาดประหนึ่งเลือดสด บางปีเกิดขึ้นแค่หนเดียว แต่บางปีก็เกิดขึ้นสี่ถึงห้ารอบ
ไม่มีนักโหราศาสตร์หรือนักดาราศาสตร์คนใดหาทฤษฎีมารองรับเรื่องนี้ได้ รวมถึงไม่พบรูปแบบการเกิดขึ้นอย่างตายตัว ส่งผลให้ต้องปล่อยไว้เป็นปริศนาของโลกอย่างไม่มีทางเลือก มีเพียงคำกล่าวติดตลกว่า เทพธิดารัตติกาลอาจอารมณ์เสียกะทันหัน คล้ายกับหญิงสาวทั่วไปซึ่งมีอารมณ์ไม่นิ่งในบางวัน
อย่างไรก็ตาม การไม่มีทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์รองรับ ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีคนพยายามหาเหตุผลสมคบคิด ในทางศาสตร์เร้นลับมักเรียกเหตุการณ์เช่นนี้ว่า ‘จันทราโลหิต’ เป็นสัญลักษณ์การปะทุของอารมณ์ด้านลบในจิตใจมนุษย์ อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมพลังของโลกวิญญาณและขุมนรก กล่าวกันว่าคนตายจะถูกปลุกให้ตื่น คืบคลานขึ้นมาจากหลุมศพด้วยตัวเอง
“รอบสองของปีแล้วสินะ…” ไคลน์ยืนแหงนมองท้องฟ้าจากริมมุขหน้าต่างภายในบ้านตัวเอง ชื่นชมความงดงามของค่ำคืนดาราพราวพราย รวมถึงจันทร์เต็มดวงกลมดิกไร้จุดตำหนิ ส่องแสงสีแดงเข้มประหนึ่งเลือดสด แผ่ประกายระยิบระยับอย่างเจือจาง ราวกับเทพธิดากำลังต้อนรับการเป็นนักมายากลของชายหนุ่ม
…
ในหอพักแห่งหนึ่งของเขตเชอร์วู้ด
ฟอร์ส·วอลล์เพื่งเสร็จจากการชุมนุมลับได้ไม่นาน เธอเดินทางกลับมายังหอพักในเขตเชอร์วู้ด โดยปล่อยให้เพื่อนรัก ซิล·เดียร์ชา ซ่อนตัวอยู่ในหอพักสองห้องนอนบนเขตนักบุญจอร์จตามลำพัง หญิงสาวกำลังนั่งไขว่ห้างบนโซฟาอย่างอารมณ์ดี ปากเคี้ยวขนมปังสอดไส้ผักและเนื้อหงุบหงับ เส้นผมถูกปล่อยไปตามแรงโน้มถ่วงขณะนั่งก้มหน้าวางแผนเค้าโครงนิยายเรื่องถัดไป
ทันใดนั้น ฟอร์สพลันโยนปากกาและขนมปังออกจากมือกะทันหัน
ยิ่งดวงจันทร์สีแดงสดด้านนอกส่องแสงเข้มข้นและคมชัดมากเท่าใด ใบหน้าฟอร์สก็ยิ่งบิดเบี้ยวอย่างเจ็บปวดทรมานมากเท่านั้น
ทุกคืนจันทร์เต็มดวง เธอจะได้ยินเสียงเพรียกจากใครสักคน ซึ่งเสียงดังกล่าวจะทำให้เธอกลายเป็นบ้า!
โครม!
ฟอร์สล้มจากโซฟาทันที ร่างกายกำลังนอนขดราบไปกับพื้นห้องอย่างสั่นเทา สีหน้าแววตาบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังพยายามขัดขืนขุมนรกในจิตใจ
ผ่านไปสักพัก หญิงสาวกระชากเส้นผมออกมากระจุกใหญ่ แต่ก็ไม่สามารถบรรเทาความเจ็บปวดแสนสาหัสในสมองได้เลย ความคิดเดียวในตอนนี้คือ อยากหยิบมีดขึ้นมาจบชีวิตตัวเองให้หลุดพ้นจากอาการทุกข์ระทม
“มาอีกแล้ว…” ฟอร์สพึมพำด้วยสีหน้าเจ็บปวด ขาสองข้างเหยียดเกร็งจากความทรมาน
หญิงสาวพยายามเอ่ยพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของเทพประจำศาสนาอย่างยากลำบาก หวังว่าจะได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ
“ท่านมหาเทพแห่งจักรกลไอน้ำ…ท่านคือแก่นแท้…คือศูนย์รวมของ…”
“ท่านคือผู้สร้าง…คือผู้ปกป้อง…”
“ท่านคือความรุ่งโรจน์แห่งเทคโนโลยี…คือความรุ่งโรจน์แห่ง…”
แม้จะท่องคาถาอย่างต่อเนื่อง แต่ความเจ็บปวดของฟอร์สกลับไม่บรรเทาลง ตรงกันข้าม เธอยิ่งทุกข์ทรมานเป็นเท่าทวี
โครม!
การกระเสือกกระสนของหญิงสาวส่งผลให้โต๊ะชากาแฟล้มระเนระนาด หนังสือและสิ่งของด้านบนหล่นกระจัดกระจาย
เมื่อมิอาจเอาชนะความเจ็บปวด ฟอร์สไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป เธอใช้เล็บขูดขาเก้าอี้ซึ่งทำจากไม้แข็งอย่างสุดแรง เกิดเป็นเสียงขูดข่วนแหลมเล็ก
เป๊าะ!
เล็บนิ้วมือปริแตก!
ทันใดนั้น เส้นผมหญิงสาวพลันงอกเงยอย่างผิดธรรมชาติ!
ในวินาทีดังกล่าว ฟอร์สทราบทันทีตนว่าคงหลีกหนีชะตาต้องกลายเป็นสัตว์ประหลาดไม่พ้น หญิงสาวรีบสวดอ้อนวอนต่อเทพจารีตทุกองค์ในความทรงจำ แต่น่าเสียดาย ไม่มีใครตอบสนองกลับมาแม้แต่องค์เดียว
“เรากำลังจะตาย…เรากำลังจะตาย…” ขณะกำลังกลิ้งตัวกระเสือกกระสน สายตาเหลือบเห็นเศษกระดาษแผ่นหนึ่ง เนื้อความถูกเขียนด้วยภาษาเฮอมิสโบราณ
เป็นคาถาพิสดาร ซึ่งซิลพบจากหนังสือ
“ประวัติศาสตร์ขุนนางโลเอ็น”
ถ้าจำไม่ผิด…การท่องคาถาดังกล่าวทำให้ซิลต้องเผชิญกับฝันร้าย สันนิษฐานว่าอาจเป็นฝีมือของวิญญาณมารสักตน…
ถึงอีกฝ่ายจะเป็นวิญญาณมาร…แต่ถ้าสามารถช่วยเราได้…เรายินดีทำทุกสิ่งตอบแทน…ความคิดดังกล่าวพลันผุดขึ้นท่ามกลางสมองอันพร่ามัวของฟอร์ส
เธอเค้นพละกำลังเฮือกสุดท้ายเพื่ออ่านและเปล่งเสียงออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย…ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกเทา ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ…ได้โปรด…ช่วยฉันด้วย…”
………………….