Skip to content
Home » Blog » Lord of the Mysteries 83

Lord of the Mysteries 83

ตอนที่ 83 : สลัก

บอร์กด้าเดินถือถุงกระดาษสีน้ำตาลออกมาจากร้านโรเซนด้วยท่าทีโซซัดโซเซ ขณะยืนรอรถม้าประจำทาง มันเพิ่งฉุกคิดได้ว่า เมื่อครู่ตนยอมจ่ายเงินมากถึงสิบปอนด์เพื่อซื้อถุงบรรจุพืชไม่กี่ชนิดเนี่ยนะ?

จำนวนเงินเทียบเท่าค่าจ้างเกือบทั้งเดือน…

หากไม่เพราะจอยซ์และแอนนาแนะนำ มันไม่มีทางพกเงินสดติดตัวไปสโมสรพยากรณ์มากขนาดนั้นแน่

หรือนี่จะเป็นเหตุผลที่นักทำนายโมเร็ตติคิดค่าบริการเพียงแปดแพนนี…เพื่อให้ตนตายใจ

แต่ความจริงแล้ว ทุกคนหลอกต้มตุ๋นเป็นขบวนการใหญ่ นักทำนายโมเร็ตติรู้จักกับเจ้าของร้านสมุนไพรโรเซนมาตั้งแต่ต้น

เมื่อเกิดความรู้สึกเคลือบแคลง ข้อสงสัยของบอร์กด้าพลันพุ่งเป้ามายังจอยซ์และแอนนาเป็นลำดับแรก

ภายในร้านสมุนไพรโรเซน

หลังจากเจ้าของร้านเห็นบอร์กด้าเดินออกไป มันหันหลังกลับและตะโกนใส่ประตูซึ่งมีกองสมุนไพรวางเรียงรายด้านหน้า

“เชลมิน ตั้งแต่นี้ไป เจ้าไม่ต้องซื้อสมุนไพรเข้าร้านแล้วนะ”

“ท…ทำไมหรือครับอาจารย์?”

เด็กหนุ่มหน้าตาดี ผมเผ้ายุ่งเหยิง เดินออกจากประตูด้วยสีหน้าสุดฉงน

เจ้าของร้านเพียงยิ้ม

“มีลูกค้ามาขอซื้อยาวิเศษเป็นรายที่สิบหกแล้ว หากชื่อเสียงยิ่งแพร่กระจายออกไป เกรงว่าหน่วยเหยี่ยวราตรี จิตจักรกล และทูตพิพากษาอาจเพ่งเล็งเอาได้ ก่อนจะถูกจับกุมตัว ฉันต้องรีบหนีไปอยู่เมืองอื่น”

“แล้วพวกเราจะทิ้งร้านนี้หรือครับ?”

เจ้าของร้านยิ้ม พลางส่ายหน้า

“หากเจ้าต้องการอยู่ต่อก็ไม่มีปัญหา ทักษะแยกแยะสมุนไพรและปรุงยาเริ่มเข้าขั้นแล้ว แต่อย่าลืมนำรายได้ของร้านครึ่งหนึ่งฝากเข้าธนาคารเบ็คลันด์ในบัญชีลับของฉันด้วย”

“แต่ผมยังศึกษาวิชาของคุณไม่ถ่องแท้…”

เชลมินติดตามเจ้าของร้านผู้นี้มานานแล้ว และทุกครึ่งปีต้องตระเวนย้ายเมืองอยู่ร่ำไป ซึ่งเชลมินไม่ค่อยมีความสุขนัก

แต่การแยกทางกับอาจารย์หมายถึงตนจะไม่ได้รับความรู้เพิ่มเติมอีก…

เจ้าของร้านทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้และกล่าว

“นั่นไม่ใช่สิ่งจะเรียนได้ด้วยความพยายามหรอกนะ…”

ของเหลวสีเขียวอมดำและมีฟองผุดกำลังปรากฏอยู่ในถ้วยหน้าบอร์กด้า กลิ่นเหม็นเน่าคล้ายถุงเท้าไม่ได้ซัก เพียงสีสันก็มากพอจะทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกอาเจียน บอร์กด้าพลันทบทวนการกระทำของตนทั้งวันที่ผ่านมา

หลังจากหยดเลือดไก่ตัวผู้ลงไปสิบครั้ง บิดาของบอร์กด้ากล่าวแนะนำ

“ไปผ่าตัดเถอะ”

เลือดไก่ทำปฏิกิริยากับยาจนเกิดฟองฟู่ก่อนจะหายไป บอร์กด้าพยายามสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด

“ไว้ยาไม่ได้ผล ค่อยไปผ่าตัดยังไม่สาย”

“ขอพระองค์จงสถิตกับเจ้า”

บิดาบอร์กด้ากล่าวพลางสำสัญลักษณ์สามเหลี่ยมที่หน้าอก

เมื่อเตรียมยาได้ที่ บอร์กด้าไม่คิดปล่อยให้เงินสิบปอนด์สูญเปล่า มันยกถ้วยด้วยแขนขวา ก่อนจะหลับตาลงและกระดกยาพิสดารเข้าไปรวดเดียวจนหมด

กลิ่นสุดระยำผสมผสานเข้ากับกลิ่นคาวเลือดจนเกิดเป็นของเหลวรสชาติสุดเหี้ย

บอร์กด้าแทบบ้วนทิ้งทันใด แต่ความรู้สึกเสียดายเงินสิบปอนด์นั้นแรงกล้ากว่ามาก

ค่ำคืนดังกล่าว ลำไส้บอร์กด้าเกิดความปั่นป่วนพังพินาศ มันเข้าห้องน้ำเพื่อถ่ายหนักไม่น้อยกว่าหกครั้ง และหลับไปในช่วงเช้าเพราะไม่เหลือเรี่ยวแรงจะทำสิ่งใด

หลังจากผ่านไปนานหลายชั่วโมง จนกระทั่งบอร์กด้าตื่นขึ้นอีกครั้งเพราะสะดุ้ง หลังจากฝันว่าถูกหัวหน้างานดุด่าตำหนิ

“โชคดีที่ปีนี้ยังลาได้อีกสามวัน เราไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเอง…”

บอร์กด้าถอนหายใจโล่งอก มันรู้สึกดีขึ้นกว่าเมื่อคืนมาก ตรงข้ามกับอาการจุกเสียดที่คอยรบกวนตอดเล็กตอดน้อยมาตลอดสัปดาห์

บอร์กด้าทดสอบใช้นิ้วกดลงไปที่ช่องท้องฝั่งขวา จุดซึ่งเคยปวดแปลบแม้จะถูกสัมผัสเพียงบางเบา แต่ปัจจุบัน ความรู้สึกที่ได้รับกลับเหมือนกับอวัยวะส่วนอื่นที่ไม่เกิดปัญหา

“หรือว่ายาพิสดารนั่นจะได้ผล? หมอยาคนนั้นแค่แหย่เราเล่นหรอกหรือ?”

บอร์กด้าขมวดคิ้วด้วยสีหน้าสุดประหลาดใจ มันลุกขึ้นจากเตียงและทดสอบขยับร่างกาย ก่อนจะพบว่า สุขภาพกลับมาใกล้เคียงมนุษย์ปรกติมากกว่าที่คิด

มันยืนขมวดคิ้วอยู่พักใหญ่ จากนั้นก็พึมพำ

“หมอยาคนนั้นบอกกับเราว่า ต้องดื่มให้ครบสามครั้งจึงจะหายขาด…ไว้ครบเมื่อไร เราค่อยให้แพทย์ที่โรงพยาบาลตรวจซ้ำ…”

แต่หมอยาคนนั้นไม่ได้บอกว่า ภายในหนึ่งวันจำกัดการดื่มไว้กี่ครั้ง

“…ยังรู้สึกเหมือนโดนโกงอยู่ดีแฮะ”

ภายในห้องทำงานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนของเหยี่ยวราตรี หลังจากยื่นคำขอ ไคลน์ได้รับพื้นที่ส่วนตัวซึ่งจะไม่ถูกผู้อื่นรบกวนจากภายนอก

ชายหนุ่มกำลังถือมีดแกะสลักในมือขวา มันปลดปล่อยพลังวิญญาณออกจากปลายมีดก่อนจะลงน้ำหนัก เพื่อสลักตราลงบนเครื่องรางเงินทั้งสองชิ้น

อักษรที่ใช้เป็นภาษาเฮอร์มิสเพื่อป้องกันเหตุร้ายไม่คาดฝัน

มือขวาบรรจงแกะสลักสัญลักษณ์ของเทพธิดารัตติกาลและจักรพรรดินีแห่งหายนะอย่างประณีต

ไม่เพียงเท่านั้น ไคลน์ยังอาศัยเลขนำโชค ‘7’ ซึ่งหมายถึงตัวเทพธิดาเพื่อเพิ่มความขลัง

การสร้างเครื่องรางเป็นศาสตร์ที่ละเอียดอ่อนซับซ้อน เครื่องรางต้องถูกสลักสัญลักษณ์ไว้ทั้งสองด้าน อักขระคาถาต้องแม่นยำ ตำแหน่งการวางอักษรและสัญลักษณ์ห้ามผิดเพี้ยนโดยเด็ดขาด ซึ่งเครื่องรางที่วางขายทั่วไปเข้าไม่ถึงจุดนี้

หลังจากเบิกอุปกรณ์จำนวนมากจากคลังสมบัติเหยี่ยวราตรีเพื่อฝึกฝน ฝั่งขวามือของไคลน์เต็มไปด้วยซากเครื่องรางและวัตถุดิบที่ล้มเหลว แต่ปัจจุบัน มันมั่นใจแล้วที่จะลงมือสร้างของจริงให้เบ็นสันและเมลิสซ่า

ชายหนุ่มสงบจิตใจ พลังวิญญาณถูกปลดปล่อยออกจากปลายมีดสลักอย่างเบามือ ตัวเลข ‘7’ เริ่มปรากฏเป็นรูปเป็นร่างบนพื้นผิวโลหะเงิน

มันทำเสร็จไปแล้วหนึ่งข้าง ยังเหลืออีกหนึ่งข้างให้จัดการ

ในวินาทีที่ลงมีด เมื่อพลังวิญญาณสัมผัสกับโลหะ ไคลน์รับรู้ถึงคลื่นพลังแปลกประหลาดรอบตัวที่กำลังพลุ่งพล่านไปรอบห้อง

แต่มันก็ไม่หยุดมือ

จนกระทั่งอักษรตัวสุดท้ายถูกสลักเสร็จสมบูรณ์ คลื่นความวุ่นวายพลันสลายไป ชายหนุ่มใช้เนตรวิญญาณส่องไปที่เครื่องรางเงินและพบออร่าสีดำอ่อนโยนแผ่ออกมา

ไคลน์วางมีดแกะสลักลง มันใช้ปลายนิ้วลูบไล้ไปบนเครื่องรางเงิน อย่างทะนุถนอม ลักษณะเครื่องรางเป็นแผ่นวงกลม มีอักษรสลักในแนวตั้ง ความเย็นที่อ่อนโยนกำลังถูกส่งผ่านผิวหนังจนซาบซ่าน

“สำเร็จ!”

ชายหนุ่มเก็บเครื่องรางชิ้นที่เพิ่งสร้างเสร็จ รวมถึงที่ชิ้นเสร็จไปแล้วก่อนหน้า กลับเข้ากระเป๋าเสื้อ

ไว้ค่อยหาโอกาสมอบให้เบ็นสันและเมลิสซ่าภายหลัง

เครื่องรางที่สร้างโดยผู้วิเศษจะแสดงผลได้จริง ไม่ใช่เพียงความเชื่อหรือความสบายใจ แต่ระดับประสิทธิภาพเครื่องรางจะขึ้นอยู่กับตัวผู้สร้างเป็นหลัก

สำหรับเครื่องรางป้องกันภัยของไคลน์ มันจะมีผลช่วยให้หลบเลี่ยงอันตรายเล็กๆ น้อยที่อาจเกิดขึ้นได้ หรือถ้าเป็นภัยร้ายแรง ก็จะช่วยให้ไม่ถึงแก่ความตาย

ทว่า ธรรมชาติของเครื่องรางคือ พลังวิญญาณจะเสื่อมลงเมื่อเวลาผ่านไป นอกเสียจากสร้างโดยพิธีกรรมขั้นสูง แต่เต็มที่ก็ไม่เกินหนึ่งปีอยู่ดี

ถ้าต้องการสร้างเครื่องรางที่มีประสิทธิภาพมากกว่านั้น จำเป็นต้องใช้พลังของผู้วิเศษระดับสูงในการผลิต ซึ่งสำหรับไคลน์ยังนับว่าห่างไกลมาก

ไว้ใกล้ถึงเวลาของเก่าหมดอายุ มันค่อยหาโอกาสสร้างขึ้นใหม่เรื่อยๆ

ชายหนุ่มขบคิดเรื่อยเปื่อยขณะเก็บกวาดโต๊ะที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์

สาเหตุที่ไคลน์ยังไม่สร้างให้ตัวเองเพราะเครื่องรางเหล่านี้มีพลังไม่มากพอจะช่วยปกป้องผู้วิเศษที่ต้องเสี่ยงอันตรายบ่อยครั้งเช่นตน

ไม่เพียงเท่านั้น มันยังต้องการศึกษาศาสตร์เครื่องรางและยันต์ให้ลึกซึ้งกว่านี้ก่อน เช่นการใช้พิธีกรรมเวทมนตร์เข้าช่วย เพื่อสร้างยันต์ที่สามารถปลดปล่อย ‘พลัง’ บางชนิดด้วยวิธีการส่งเสียงออกคำสั่ง

เมื่อเก็บกวาดโต๊ะเรียบร้อย ไคลน์เดินออกจากห้องพร้อมกับเศษวัสดุที่ชำรุด ขณะมีแผนจะนำไปคืนที่คลังอุปกรณ์ ชายหนุ่มบังเอิญเหลือบเห็นดันน์·สมิทในชุดกันลมสีดำ

นัยน์ตาเทาลุ่มลึกของดันน์มองกวาดสำรวจไคลน์หัวจรดเท้า ก่อนจะเผยรอยยิ้ม

“ไคลน์ วิหารศักดิ์สิทธิ์บรรจุชื่อของคุณเรียบร้อยแล้ว ขอแสดงความยินดีที่ได้เป็นเหยี่ยวราตรีเต็มตัว”

“จริงหรือครับ!? เจ๋ง!”

ไคลน์แสดงสีหน้าเปี่ยมสุข

ดันน์ผงกศีรษะ

“ค่าจ้างของคุณจะเพิ่มขึ้นจากเดิมสามปอนด์ทันที ปัจจุบัน คุณจะได้รับเงินสัปดาห์ละ 4.5 ปอนด์จนกว่าจะชดใช้เงินที่เบิกล่วงหน้าครบ ว่าแต่ ผมเล่าถึงบททดสอบของเหยี่ยวราตรีให้ฟังหรือยัง? เหยี่ยวราตรีทุกคนต้องผ่านภารกิจเดี่ยวเพื่อให้พวกพ้องที่เหลือยอมรับ โดยมากมักเกี่ยวข้องกับผู้วิเศษ แต่กรณีของคุณ ผมคิดว่าคงไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้น หลายคนได้ประจักษ์ในฝีมือและไหวพริบของคุณแล้ว ผมจะหาภารกิจง่ายๆ ให้ทำ เมื่อใดที่ทำสำเร็จ ผมจะแนะนำให้คุณรู้จักสมาชิกเหยี่ยวราตรีสาขาทิงเก็นทุกคนอย่างเป็นทางการ”

ไคลน์ตอบกลับโดยไม่คิดมาก

“ได้ครับ”

ค่าจ้างเพิ่มขึ้นสามปอนด์ แถมยังได้ค่าชดเชยจากภารกิจที่แล้วอีกเจ็ดปอนด์!

ถึงเวลาซื้อสูทตัวใหม่ แถมยังมีเงินเหลือสำหรับออมอีกเพียบ…ว่าแต่ ภารกิจเดี่ยวของเราจะมาถึงเมื่อไรกัน?

ไคลน์อดทนรออย่างใจเย็น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงวันอาทิตย์ซึ่งมีงานเลี้ยงวันเกิดเพื่อนสนิทน้องสาว

หลังจากสวมสูทตัวใหม่เสร็จ ไคลน์ใช้ผ้าเช็ดหน้าปัดกวาดเศษฝุ่นบนหมวก ก่อนจะสวมมันและยืนส่องกระจกเพื่อยืนยันความเรียบร้อยเป็นหนสุดท้าย

มันเดินลงไปยังชั้นหนึ่งของบ้านด้วยสีหน้าสุดแสนมั่นใจ

ไคลน์เหลือบเห็นเมลิสซ่ากำลังยืนจ้องเครื่องแต่งกายเบ็นสันตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าบูดบึ้ง

“มีปัญหาตรงไหนหรือ?”

เบ็นสันยกไม้ค้ำขึ้นทดสอบแกว่ง พลางเอ่ยปากถามน้องสาวด้วยน้ำเสียงขาดความมั่นใจ

มันมั่นใจว่าตนแต่งกายเรียบร้อยและเป็นระเบียบ แล้วเหตุใดเธอถึงเอาแต่จ้องมองด้วยสีหน้าจับผิดเช่นนี้?

เมลิสซ่ากล่าวเสียงขึงขัง

“เบ็นสัน สูทของนายเก่าเกินไป ภายในงานมีมาดามและคุณหนูชนชั้นกลางเข้าร่วมมากมาย การแต่งตัวแบบนี้ถือเป็นการหมิ่นเกียรติเจ้าของงาน”

ในตอนแรก ไคลน์เองก็ฉงนที่เมลิสซ่าเอาแต่จ้องเบ็นสัน แต่เมื่อได้ยินคำอธิบาย มันอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินไปหาพี่ชายคนโต

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เบ็นสันหุ่นเหมือนกับฉัน เดี๋ยวให้เขาสวมทักซิโด้ที่เหลืออีกตัวหนึ่ง”

แน่นอน ไคลน์เล่าเรื่องที่ตนได้ค่าชดเชยเรื่องสูทตัวเก่าขาด มันอ้างว่าเกิดอุบัติเหตุระหว่างกำลังสำรวจวัตถุแปลกปลอม

แต่ไม่ได้เล่าเรื่องที่ค่าจ้างเพิ่มเป็นสองเท่า คนทั้งสองไม่มีทางเข้าใจแน่ ไว้รออีกสักครึ่งปีค่อยเปิดเผยความจริงก็ยังไม่สาย

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทั้งเบ็นสันและเมลิสซ่าต่างพากันอิจฉา พวกมันมองว่าบริษัทรักษาความปลอดภัยหนามทมิฬมีสวัสดิการยอดเยี่ยมจนน่าเหลือเชื่อ

“ไม่เห็นจำเป็นสักหน่อย…ไม่ใช่หรือ?”

เบ็นสันยังคงยืนกราน มันไม่เข้าใจว่าตนแต่งกายไม่เหมาะสมอย่างไร

“ผิดแล้ว มันจำเป็นมากต่างหาก”

ไคลน์ผลักหลังเบ็นสันให้เดินขึ้นไปชั้นสอง

“ทักซิโด้ของฉันแขวนอยู่บนราวเสื้อ”

เมื่อเห็นพี่ชายคนโตลับสายตา ไคลน์หันมากล่าวกับเมลิสซ่าด้วยรอยิ้ม

“เธอต้องการให้พี่ชายของเรา เป็นบุรุษหนุ่มที่โดดเด่นในสายตาคุณหนูตระกูลผู้ดีใช่ไหม? เผื่อว่าเขาจะมีช่วงเวลาโรแมนติกเหมือนคนอื่นบ้าง…”

ไคลน์เองก็หมั่นอ่านหนังสือพิมพ์บ่อยครั้ง โดยเฉพาะยามเที่ยงที่สำนักงานเหยี่ยวราตรี เป็นโรแซนที่ชอบนำเรื่องราวความเป็นไปของโลกมานินทาให้ฟัง

ตระกูลชนชั้นกลางมักมองว่างานเลี้ยงสังสรรค์ ถือเป็นงานจับคู่ดูตัวของหนุ่มสาวประเภทหนึ่ง

เมลิสซ่าพยักหน้าเคร่งขรึม

“อื้อ…เบ็นสันต้องพลาดการมีคนรักเพราะพวกเรามามากแล้ว”

น้องสาว…ทำไมเธอถึงได้เหมือนแม่นัก

ไคลน์จ้องมองเมลิสซ่าพลางส่ายศีรษะ

…………………..

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!