Skip to content
Home » Blog » Lord of the Mysteries 97

Lord of the Mysteries 97

ตอนที่ 97 : ครูฝึกศิลปะการต่อสู้

บ่ายสองโมงตรง ณ ชานเมืองเขตเหนือ

บ้านสองชั้นทรงพื้นฐาน ลักษณะคล้ายกับไม่เคยถูกซ่อมบำรุงนานหลายปี

ไคลน์มาในชุดว่าที่สารวัตร มันกวาดสายตามองสวนที่เต็มไปด้วยวัชพืชตรงหน้า รวมถึงรั้วที่เต็มไปด้วยเถาวัลย์เขียวเลื้อยไต่

ก่อนจะหันกลับมาถาม

“ครูฝึกของผมอาศัยที่นี่?”

ไม่ใช่ว่าครูฝึกศิลปะการต่อสู้ที่เหยี่ยวราตรีเลือกสรร จะต้องเป็นบุคคลพิเศษหรอกหรือ?

เลียวนาร์ด·มิเชลที่รับหน้าที่พาไคลน์มาส่ง มันโน้มตัวกระซิบข้างหู

“อย่าดูแคลนมิสเตอร์กาเวนด้วยเหตุผลด้านที่อยู่อาศัยและสภาพแวดล้อมเด็ดขาด ถึงจะไม่ถูกติดยศขุนนางเป็นเรื่องเป็นราว แต่ในยุคทองของเขา มิสเตอร์กาเวนคืออัศวินหาญกล้าตัวจริงเสียงจริง”

เมื่อพูดจบ สีหน้าของเหยี่ยวราตรีนักกวีผู้ไม่ชอบอยู่ในกฎระเบียบพลันหม่นหมอง

“ในยุคสมัยอัศวินรุ่งเรือง เขาคือยอดนักรบที่ไม่หวาดกลัวความตาย ตะลุยทัพแนวหน้าสนามรบด้วยชุดเกราะหนัก ฝ่าดงศัตรูมากมายเข้าไปยึดครองป้อมปราการ สร้างขวัญกำลังใจแก่ทัพโลเอ็น ไม่ว่าจะปืนยาว ปืนสั้น ปืนใหญ่ มิสเตอร์กาเวนไม่เคยแยแส แม้จะเป็นสงครามในยุคสมัยที่ดินปืนเริ่มพัฒนา แต่อัศวินถือดาบกลับสร้างชื่อระบือนามจนฝ่ายศัตรูเกรงกลัว…จนกระทั่งเทคโนโลยีปืนแรงดันไอน้ำถือกำเนิด รวมถึงปืนกลหนักหกลำกล้อง นับแต่นั้นเป็นต้นมา ยุคสมัยอัศวินเริ่มเสื่อมถอยลง มิสเตอร์กาเวนค่อนข้างโชคร้าย ในสงครามเมื่อราวยี่สิบปีก่อน กองอัศวินของแคว้นอาโฮว่ามีชะตาต้องเผชิญหน้าหน่วยรบซึ่งครอบครองเทคโนโลยีทางทหารล้ำสมัยที่สุดในช่วงเวลานั้น ‘ทัพหลวงสาธารณรัฐอินทิส’ ทุกครั้งที่นึกถึง คล้ายกับตัวผมอ่อนไหวต่อโศกนาฏกรรมเป็นพิเศษ สัญชาตญาณนักกวีร่ำร้องโหยหาบ้าคลั่ง แต่ผมกลับมิอาจประพันธ์เป็นบทกลอนชั้นเลิศออกมาได้”

…แล้วทำไมนายต้องพล่ามยาวขนาดนี้?

ไคลน์เริ่มขมวดคิ้วเมื่อเห็นเลียวนาร์ดเผยรอยยิ้มตำหนิตัวเอง มันตัดสินใจมอบคำแนะนำจริงจังให้อีกฝ่าย

“เพื่อนที่มหาวิทยาลัยของผมเคยพูดว่า การเป็นนักกวีต้องอาศัยพรสวรรค์ค่อนข้างสูง ผมขอแนะนำให้คุณเริ่มอ่านประชุมบทนิพนธ์กวีโบราณของอาณาจักรโลเอ็น”

สีหน้าของเลียวนาร์ดยิ่งหม่นหมองกว่าเก่า มันตอบกลับไคลน์เสียงค่อย

“ผมซื้อหนังสือเล่มนั้นมานานแล้ว รวมถึงอีกหลายเล่มที่มีเนื้อหาคล้ายคลึงกัน หรือแม้กระทั่งบทกวีที่โรซายล์คัดสรร หลายปีที่ผ่านมา ตัวผมพยายามอย่างหนักเพื่อจะกลายเป็นนักกวีเที่ยงคืนที่แท้จริง แต่ก็ขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำ มิสเตอร์นักทำนาย”

หมอนี่กำลังบอกใบ้…เทคนิคสวมบทบาท?

ไคลน์แสร้งตีหน้าซื่อและพูดเรื่อยเปื่อย

“หนังสือไวยากรณ์ภาษาก็จำเป็น…”

“ช่างเถอะ เข้าไปข้างในกันดีกว่า”

เลียวนาร์ดผลักประตูรั้วเหล็กที่เปิดแง้มเข้าไป จากนั้นก็เดินตามถนนเข้าสู่ตัวบ้าน

ยังเหลือระยะห่างอีกพอสมควรก่อนจะถึงบานประตู ไคลน์เหลือบเห็นบุรุษรูปร่างสูงโปร่งเปิดประตูและเดินออกมาหา

ผมสั้นสีทอง คิ้วเริ่มมีขนหงอกแซม ใบหน้าค่อนข้างชรา คล้ายกับถูกกาลเวลาทำร้ายแสนสาหัส ริ้วรอยจำนวนมากปรากฏในลักษณะชัดและลึก

“พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่?”

ชายมีอายุไต่ถามเสียงทุ้ม

“มิสเตอร์กาเวน จากสัญญาที่คุณได้ทำกับกรมตำรวจ ว่าที่สารวัตรคนนี้ต้องการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้”

“ศิลปะการต่อสู้? ยุคนี้ยังจำเป็นอีกหรือ?”

กาเวนมองไคลน์ด้วยดวงตาขุ่นมัว จากนั้นก็แนะนำเชิงตัดพ้อ

“เจ้าควรฝึกชักปืนให้เร็วและยิงให้แม่นมากกว่า อาวุธที่ดีที่สุดของยุคสมัย จงชำนาญมันจนกว่าจะปราศจากจุดบกพร่อง”

หรือนี่จะเป็นแผลใจจากการเผชิญหน้ากับปืนแรงดันไอน้ำและปืนกลหนักหกลำกล้องด้วยดาบ?

ไคลน์ไม่โพล่งในสิ่งที่คิดออกไป มันเพียงยิ้มและหันชำเลืองเลียวนาร์ด

“สำหรับกรมตำรวจ ศิลปะการต่อสู้ยังมีความสำคัญอยู่มาก ด้วยสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป คนร้ายบางคดีไม่มีโทษต้องถูกประหารในที่เกิดเหตุ การจับเป็นคือกฎหมายเด็ดขาดซึ่งห้ามฝ่าฝืน และคนร้ายในบางคดีไม่ได้พกพาอาวุธ ต้องเอาชนะด้วยร่างกายเท่านั้น หากเกิดปืนลั่นและทำคนร้ายเสียชีวิต จะเป็นพวกเราเสียเองที่ต้องติดคุก”

เลียวนาร์ดตอบในสิ่งที่เตรียมไว้ล่วงหน้า

เมื่อได้ยินดังนั้น กาเวนก้มหน้าครุ่นคิดนานกว่าสิบวินาที ก่อนจะเงยขึ้นพูดกับไคลน์

“ชกเข้ามา”

ในเครื่องแบบตำรวจ ไคลน์ไม่ได้พกไม้ค้ำ ชายหนุ่มเคยเห็นท่าชกของนักมวยในโลกเก่ามาบ้าง มันเลียนแบบด้วยการปล่อยหมัดตรง

มุมปากกาเวนกระตุกเห็นได้ชัด มันหยุดคิดราวสองวินาทีและออกคำสั่งต่อ

“เตะ”

ไคลน์เอนบิดตัวและอาศัยมัดกล้ามเนื้อเพื่อส่งแรงเตะไปข้างหน้าด้วยขาขวา

เฮ่อ…กาเวนใช้มือปิดปากกระแอมสองหน

มันหันไปพูดกับเลียวนาร์ด

“ฉันจะไม่ทรยศสัญญาที่มีต่อกรมตำรวจ ด้วยพื้นฐานของเจ้าหนุ่มคนนี้ ในหนึ่งเดือนแรก เขาต้องฝึกกับฉันสัปดาห์ละสี่วัน วันละสามชั่วโมง”

“คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญ เชิญจัดการได้ตามใจชอบ”

เลียวนาร์ดผงกศีรษะให้กาเวน จากนั้นก็หันมาจ้องไคลน์ด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์

“ไว้เจอกันมื้อค่ำ”

เมื่อเลียวนาร์ดเดินออกจากประตูรั้วเหล็ก ไคลน์หันมาถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น

“ครูฝึกครับ ผมต้องฝึกสิ่งใดก่อน? ระหว่างการปล่อยหมัด หรือจังหวะย่ำเท้า?”

ในฐานะนักเลงคีย์บอร์ด มันย่อมทราบความสำคัญของจังหวะย่ำเท้าในศิลปะการต่อสู้

กาเวนยืนเท้าสะเอวพร้อมกับส่ายหัวอย่างเหนื่อยหน่าย

“เจ้าต้องฝึกพละกำลังเป็นลำดับแรก เห็นนั่นไหม? ดัมเบลเหล็กสองข้าง มันคือคู่หูในวันนี้ นอกเหนือจากนั้น เจ้ายังต้องฝึกลุกนั่ง วิ่ง และกระโดดเชือก ทำทีละเซตสลับกัน”

ขณะไคลน์กำลังยืนอึ้งด้วยสีหน้าเหม่อลอย กาเวนเค้นเสียงถามย้ำ

“เข้าใจหรือเปล่า?”

“เข้าใจครับ!”

ในวินาทีนี้ มันรู้สึกราวกับได้ฝึกวิชารักษาดินแดนอีกครั้ง ขุมนรกแสนโหดร้ายที่มีครูฝึกปีศาจคอยบงการ

“ก่อนอื่นต้องไปเปลี่ยนชุด ยังมีชุดฝึกของอัศวินเหลืออยู่บนโซฟา”

กาเวนถอนหายใจเหนื่อยหน่ายพร้อมกับเดินไปหยิบดัมเบลเหล็กสองข้าง

หกโมงเย็น

ณ โต๊ะใหญ่มุมหนึ่งของร้านอาหารลุงวีลล์

นอกเหนือจากฟรายซึ่งรับหน้าที่เฝ้าประตูยานิส สมาชิกทั้งหมดของบริษัทรักษาความปลอดภัยหนามทมิฬล้วนอยู่กันพร้อมหน้า

หกเหยี่ยวราตรี และห้าพลเรือน

โต๊ะอาหารยาวที่ถูกปูด้วยผ้าสีขาวสะอาด พนักงานเสิร์ฟหลายคนยกถาดอาหารมาวางพร้อมกับแบ่งให้แขกแต่ละเก้าอี้อย่างเท่าเทียม

ไคลน์มองเห็นอาหารละลานตา ทั้งสเต๊กราดซอสพริกไทยดำเข้มข้น เบคอนทอดเกรียมจนเกือบกรอบ ไส้กรอกที่เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งบด พุดดิ้งไข่ หน่อไม้ฝรั่ง ชีสราคาแพง รวมถึงไวน์สีกุหลาบ

แต่น่าเสียดายที่ต่อมความหิวโหยของมันไม่ทำงาน การฝึกนรกในช่วงบ่ายส่งผลให้เกิดความรู้สึกชวนอาเจียน

เมื่อเห็นสภาพอิดโรยของเหยี่ยวราตรีหน้าใหม่แกะกล่อง ดันน์ชูแก้วไวน์ขึ้นตรงหน้าพร้อมกับอมยิ้ม

“ดื่มต้อนรับให้กับสมาชิกเหยี่ยวราตรีคนล่าสุด ไคลน์·โมเร็ตติ เอ้าชน!”

สตรีผมดำเงียบขรึม รอยัล·เรย์ดีน

ผู้ไร้หลับ โคเฮนรี่·ไวท์

นักกวีไร้ระเบียบ เลียวนาร์ด·มิเชล

นักกวีเที่ยงคืนผมขาวตาดำ ซิก้า·ทีรอน

ทุกคนยกแก้วเครื่องดื่มพร้อมกับมองมาทางสมาชิกใหม่ของทีมอย่างสามัคคี

ไคลน์ฝืนสลัดความอ่อนล้าจากร่างกาย มันหยิบแก้วแชมเปญสีเหลืองอำพันออกมายกถือ

“ขอบคุณครับทุกคน”

เหยี่ยวราตรีทุกคนชนแก้วร่วมกันหนึ่งกิ้ง

ไคลน์เอนศีรษะไปด้านหลังและกระดกแชมเปญลงคอในปริมาณไม่มาก

“มิสนักเขียนของพวกเราจะไม่กล่าวสิ่งใดในโอกาสสำคัญแบบนี้สักหน่อยหรือ?”

ดันน์อมยิ้มขณะจ้องมองซิก้า·ทีรอน

เธอคือสตรีในวัยสามสิบกว่า หน้าตาค่อนข้างธรรมดา แต่กิริยามารยาทนับว่าใกล้เคียงชนชั้นสูง ช่วยส่งเสริมให้บุคลิกน่าหลงใหล โดยเฉพาะเส้นผมสีเงินอมขาวเปี่ยมด้วยเสน่ห์

ไคลน์เคยได้ยินลุงนีลล์เล่า นักกวีเที่ยงคืนซิก้า·ทีรอน เธอมีงานเสริมเป็นนักเขียนนิยาย

ช่วงหลังพยายามส่งตีพิมพ์ในวารสารและหนังสือพิมพ์หลายฉบับ แต่น่าเสียดายที่สำนักพิมพ์จำนวนไม่มากสนใจในผลงาน

ซิก้ายิ้มขณะมองดันน์

“ถ้าต้องการให้วลี ‘มิสนักเขียน’ กลายเป็นความจริงขึ้นมา คุณต้องเพิ่มค่าแรงเพื่อให้ฉันสามารถตีพิมพ์นิยายด้วยตัวเอง”

ดันน์หัวเราะ

“คุณควรศึกษาเรื่องนี้จากลุงนีลล์ เขาถนัดหาเหตุผลในการเบิกค่าใช้จ่าย”

“ฉันชอบลุงนีลล์ที่สุดในสำนักงานแล้ว!”

โรแซนกล่าวแทรกทั้งที่ยังเคี้ยวเนื้อแกะตุ๋นไว้เต็มปาก

ท่ามกลางเสียงสนทนาอย่างมีความสุข เลียวนาร์ดแอบชำเลืองไคลน์ ก่อนจะถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“เหนื่อยกับการฝึกจนกินไม่ลงหรือ?”

“อือ”

ชายหนุ่มถอนหายใจ

“อาหารร้านนี้อร่อยมาก ถ้าคุณไม่กิน ผมช่วยจัดการเอง เสียดายของ”

สีหน้าเลียวนาร์ดบ่งบอกชัดเจนว่าจะไม่ยอมให้อาหารถูกทิ้งสูญเปล่า

ไคลน์ไม่ถือสา มันตอบด้วยสีหน้าเจียนตาย

“เชิญ”

เมื่อสิ้นเสียง อาหารส่วนของไคลน์ถูกแจกจ่ายออกไปให้เลียวนาร์ดและคนอื่นๆ จัดการ

ชายหนุ่มเลือกลิ้มรสไอศกรีมซึ่งไม่หนักท้อง แต่ปรากฏว่ารสชาติยอดเยี่ยมกว่าที่คิด รู้ตัวอีกทีก็ซัดไอศกรีมบลูเบอร์รี่เข้าไปจนเกลี้ยงถ้วย

ราวกับกระเพาะอาหารถูกง้างเปิดออก ความหิวเริ่มกลับมาเล่นงาน ร่างกายต้องการสารอาหารชดเชยเรี่ยวแรงที่เสียไปในช่วงบ่าย

มันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ขณะกวาดสายตาไปรอบโต๊ะ สิ่งที่พบมีเพียงจานเปล่าไม่หลงเหลือแม้แต่ซากอาหาร

“คืนนี้พอแค่นี้ก่อน พวกเรามาดื่มส่งท้ายให้ไคลน์กันเถอะ”

ดันน์เสนอแนะ

ยังไม่ทันจะกล่าวจบ ไคลน์ชิงพูดแทรก

“หัวหน้าครับ…ผมสั่งอาหารเพิ่มได้ไหม?”

บรรยากาศเงียบงันพลันปกคลุมทั่วทั้งโต๊ะ

ก่อนจะถูกทำลายด้วยเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขในอึดใจต่อมา

“ฮะฮะ! คุณทานได้แล้วสินะ เชิญตามสบาย สั่งเพิ่มอีกสักจานสองจานสิ”

ดันน์ส่ายศีรษะขณะหัวเราะ

หลังจากนั้นคือช่วงเวลาอันยาวนานที่รอให้อาหารยกมาเสิร์ฟ ท้องไคลน์ส่งเสียงร้องเป็นระยะแสดงถึงความหิวโหย

จนกระทั่งสเต๊กเนื้อราดซอสพริกไทยดำถูกพนักงานยกมาประเคนถึงที่ มีดและซ่อมในมือชายหนุ่มเริงระบำบ้าคลั่ง เพียงเก้าสิบวินาที สเต๊กเนื้อความสุก ‘มีเดียม’ ขนาดพอเหมาะถูกจัดการจนเกลี้ยง

หยดน้ำใสเกือบไหลซึมออกจากดวงตา ความชุ่มฉ่ำของเนื้อยังคงอัดแน่นอยู่ในช่องปาก มันต้องการให้ความรู้สึกเช่นนี้คงไว้ชั่วนิรันดร์

หลังจากวางมีดส้อมลง ไคลน์นั่งให้ย่อยสักพักพลางจิบแชมเปญจนหมดแก้ว

“คิดเงินด้วยครับ”

ดันน์หันไปเรียกพนักงานเสิร์ฟ

พนักงานเดินไปที่เคาน์เตอร์ ก่อนจะกลับมาพร้อมใบเสร็จและยืนอ่านให้ทุกคนฟัง

“รายการของคุณลูกค้าประกอบด้วย…แชมเปญเดซี่ ห้า ขวด ขวดละ สิบสอง ซูล สาม เพนนี ไวน์แดงนันวีลล์ หนึ่ง แก้วราคา สิบ เพนนี สเต๊กพริกไทยดำจานละ หนึ่ง ซูล สอง เพนนี พุดดิ้งไข่ถ้วยละ หก เพนนี ไอศกรีมถ้วยละ หนึ่ง ซูล รวมทั้งหมด ห้า ปอนด์ เก้า ซูล หก เพนนี”

ห้าปอนด์เก้าซูล? นั่นเกือบเท่ารายได้ต่อสัปดาห์ของตนเลยไม่ใช่หรือ?

ร้านอาหารคิดราคาแพงกว่าทำกินเองที่บ้านมาก ไคลน์ได้แต่ส่ายศีรษะหลังจากทราบราคารวม ภายในใจรู้สึกขอบคุณหัวหน้าที่ใช้เงินส่วนกลางของหน่วย

เมื่อลองวิเคราะห์อย่างละเอียด สิ่งที่ทำให้มีราคาสูงคือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ลำพังแชมเปญเดซี่ ห้า ขวดก็ปาไปสามปอนด์กว่าแล้ว

เหมือนที่โลกเก่าไม่มีผิด…ไคลน์พยายามลูบท้องเพื่อให้แชมเปญไหลเวียนโดยเกิดประโยชน์กับร่างกายสูงสุด

เช้าวันถัดมา มันรู้สึกปวดระบมไปทั้งตัว ไคลน์ฝืนพยุงซากตัวเองขึ้นจากเตียงอย่างยากลำบาก

ในวินาทีที่ออกแรง กล้ามเนื้อทุกมัดพลันเจ็บแปลบคล้ายกับไม่ใช่ร่างกายตน

“ชวนให้นึกถึงวันเก่าๆ…สมัยถูกจ่านรกสั่งกระโดดกบจนขาไม่มีแรงลุก วันนี้เราได้หยุดสินะ แต่ต้องออกไปพบอาจารย์เพื่อปรึกษาเรื่องเทือกเขาโฮนาซิส หรือไม่ก็ไปหายืมเอกสารวิจัยที่เกี่ยวข้องจากหอสมุดมหาวิทยาลัย…”

ขณะครุ่นคิด มันฝืนลากสังขารออกจากห้องนอนอย่างสุดความสามารถ

ทุกก้าวย่างต้องหยุดพักหายใจเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด

“ไคลน์ นายเป็นอะไร?”

เมลิสซ่าเดินออกจากห้องน้ำ เธอจ้องมองพี่ชายที่กำลังขยับร่างกายอย่างเชื่องช้าและพิสดาร ด้วยสีหน้าประหลาดใจ

……………………

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!