Skip to content
Home » Blog » Lord of the Mysteries 98

Lord of the Mysteries 98

ตอนที่ 98 : มิสเตอร์อะซิก

เมื่อต้องเผชิญคำถามจากน้องสาว สิ่งเดียวที่ไคลน์ทำได้คือยิ้มแห้งๆ และตอบไปว่า

“ปวดกล้ามเนื้อนิดหน่อย”

เดิมที ไคลน์ไม่เคยกังวลกับการฝึกหนัก มันเชื่อว่าโอสถผู้วิเศษจะช่วยพัฒนาสมรรถภาพร่างกายให้ตนบ้าง ไม่มากก็น้อย หรืออย่างเลวที่สุดก็ควรจะได้รับความอึด

แต่ไม่ใช่เลย โอสถนักทำนายช่วยสนับสนุนเพียงพลังวิญญาณ จิตใจ สัญชาตญาณ และพลังในการ ‘รับสาร’ จากเทพ

ไม่มีศิลปะการต่อสู้เข้ามาเอี่ยวแม้แต่น้อย

ด้วยร่างกายไคลน์คนก่อนที่แทบไม่เคยออกกำลังกาย แถมยังขาดสารอาหาร ส่งผลให้พละกำลังอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์ปรกติของมนุษย์เพศชาย ฉะนั้น อาการปวดระบมหลังจากฝึกหนักคือสิ่งที่มิอาจเลี่ยง

“ปวดกล้ามเนื้อ? เมื่อคืนจำได้ว่า นายออกไปร้านอาหารกับเพื่อนร่วมงาน แล้วจู่ๆ ปวดกล้ามเนื้อได้ยังไง? แอลกอฮอล์หรือ?”

เมลิสซ่าขมวดคิ้ว สายตาของเธอแฝงความเคลือบแคลงสุดขีด

น้องสาว เหล้ามันทำให้ปวดกล้ามเนื้อได้หรือไง? จะสงสัยอะไรก็ให้มีขอบเขตบ้าง

ไคลน์หัวเราะก่อนตอบ

“ไม่เกี่ยวกับแอลกอฮอล์ ช่วงบ่ายเมื่อวาน ฉันเข้าร่วมฝึกศิลปะการต่อสู้หลักสูตรของบริษัท”

“ศิลปะการต่อสู้?”

เมลิสซ่าประหลาดใจยิ่งกว่าเมื่อครู่

ไคลน์เรียบเรียงคำพูดให้สละสลวย

“คือเรื่องเป็นแบบนี้ ฉันมองไปถึงอนาคต คงไม่มีใครต้องการนั่งเฝ้าคลังสินค้าและกอดกองเอกสารโบราณไปตลอดชีวิตใช่ไหม ฉันเริ่มจินตนาการภาพตัวเองเป็นคนนำสินค้าไปส่ง ไม่ว่าจะหมู่บ้านห่างไกลหรือภายในป่าลึก ฉะนั้น พลังกายคือสิ่งสำคัญ ฉันอาจต้องปีนเขา ลุยน้ำเชี่ยว และเดินทางไกล โลกภายนอกมีอุปสรรคจากธรรมชาติอีกมากรอคอยทดสอบมนุษย์ เพื่อการนั้น ฉันต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมเสมอ”

“ที่นายฝึกศิลปะการต่อสู้ ก็เพราะต้องการเพิ่มความอึดสินะ”

เมลิสซ่าเริ่มพยักหน้าทำความเข้าใจ

“ถูกต้อง”

ไคลน์ตอบเน้นย้ำหนักแน่น

แต่เมลิสซ่ายังไม่กระจ่าง

“น่าแปลก เมื่อก่อนนายเคยบอกเองว่า ต้องการโตไปเป็นสุภาพบุรุษมาดสุขุมลุ่มลึก แต่การฝึกร่างกายจะให้ผลตรงข้ามโดยสิ้นเชิง นายชอบที่จะเป็นผู้รอบรู้ และใช้ปัญญาไขปริศนายากๆ ของโลกไม่ใช่หรือ? ทำไมจู่ๆ ถึงอยากออกผจญภัย? แต่ช่างเถอะ จะเป็นแบบไหนฉันก็ไม่เกี่ยง ขอเพียงแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวเอง จะกำปั้นหรือสมองก็ได้ทั้งนั้น”

เมลิสซ่ายิ้ม

ไคลน์เสริมอย่างเจ้าเล่ห์

“เธอเข้าใจผิดแล้ว เมลิสซ่าภาพพจน์ของศาสตราจารย์ที่เธอจินตนาการนั้นไม่ถูกต้องทั้งหมด อาจจะจริงที่นักปราชญ์ต้องถ่ายทอดความรู้ด้วยปัญญากว้างขวางและกิริยามารยาทสง่างาม แต่หากมีไอ้บัดซบหน้าไหนบังอาจขัดแข้งขัดขานักปราชญ์ก็ต้องใช้หลักฟิสิกส์ลงโทษกลับไปด้วยไม้ค้ำ”

“หลักฟิสิกส์?”

เมลิสซ่าไม่เข้าใจในตอนแรก แต่เมื่อประเมินจากความกวนประสาทของพี่ชาย สมองของเธอเริ่มตามทันทีละนิด

ไคลน์ไม่กล่าวสิ่งใดต่อ มันเร่งฝีเท้าเพื่อไปให้ถึงห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกล

เมลิสซ่ายืนมองราวสองสามวินาที ก่อนตัดสินใจเอ่ยปากถามพร้อมกับทำท่าทาง

“ให้ช่วยไหม?”

“ไม่เป็นไร อันที่จริง อาการของฉันดีขึ้นมากแล้ว”

ไคลน์ยิ้มแห้ง มันอับอายเล็กน้อยที่ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากน้องสาวตัวเล็กๆ ไคลน์รีบยืนตัวตรงและเดินเข้าไปในห้องน้ำด้วยสีหน้าเฉยเมย

เมื่อเห็นพี่ชายเดินได้ตามปรกติ เมลิสซ่าขมวดคิ้วและพึมพำแก้มป่อง

“ในพักหลัง ไคลน์ชักจะมารยาเก่งขึ้นทุกวัน ไอเราก็หลงนึกเป็นห่วง”

ภายในห้องน้ำ หลังจากมันปิดประตู สีหน้าของไคลน์พลันบิดเบี้ยวอย่างทุกข์ทรมานด้วยท่าทางเจ็บปวด

การฝืนเก๊กเดินเมื่อครู่ทำให้อาการแย่ลง

แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก!

ไคลน์หายใจเหนื่อยหอบ ร่างกายสั่นเทา มันยืนค้างเช่นนั้นราวเจ็ดถึงแปดวินาที

หลังจากอาบเสร็จ ชายหนุ่มฝืนลากสังขารเดินลงไปชั้นล่างอย่างยากลำบาก ทานอาหารเช้าร่วมกับสองพี่น้อง

เมื่อเมลิสซ่าและเบ็นสันแยกย้ายออกไปเรียนและทำงาน ไคลน์นั่งพักเช่นนั้นจนความเจ็บปวดเริ่มบรรเทา

มันไม่รีรอที่จะทำตามเป้าหมายเดิม ไคลน์สวมหมวกทรงกึ่งสูงและเดินออกไปรอที่ป้ายรถม้าสาธารณะด้วยย่างก้าวไม่รีบเร่ง

ในฤดูร้อน บรรยากาศของมหาวิทยาลัยโฮอี้เป็นไปอย่างร่มรื่น แสงแดดส่องกระทบต้นไม้ใหญ่จนเกิดเงาดำบนถนน พืชพรรณนานาชนิดสองข้างทางกำลังเบ่งบานงดงาม

หลังจากเดินเลียบแม่น้ำ ไคลน์หักเลี้ยวเข้าสู่คณะประวัติศาสตร์ มันพบอาคารสูงสามชั้นลักษณะค่อนข้างเก่า ที่นี่คือสำนักงานของอาจารย์ที่ปรึกษาสมัยเรียน ศาสตราจารย์ที่ปรึกษาไคลน์ เคว็นติน·โคเฮ็น

มันเคาะประตูและบิดเปิดออก ขณะเดินเข้าไป ไคลน์พลันตะลึงงันเมื่อเหลือบเห็นบุรุษที่นั่งหลังโต๊ะทำงานไม่ใช่อาจารย์ของตน แต่เป็นนักวิชาการประวัติศาสตร์คนเก่ง

มิสเตอร์อะซิก

“อรุณสวัสดิ์ครับ มิสเตอร์อะซิก อาจารย์อยู่ไหม? วันนี้ผมนัดเขาไว้”

มันถามด้วยสีหน้าฉงน

อะซิก เพื่อนสนิทของโคเฮ็นที่ชอบถกเถียงข้อมูลทางประวัติศาสตร์กันบ่อยครั้ง ส่งยิ้มให้เล็กน้อย

“โคเฮ็นถูกเรียกประชุมด่วนในนาทีสุดท้าย เขาจึงต้องไปมหาวิทยาลัยทิงเก็นอย่างไม่มีทางเลือก แต่ก็ไม่ลืมที่จะกำชับให้ผมอยู่รอพบคุณก่อน”

ผิวทองแดง สูงปานกลาง ผมดำ นัยน์ตาน้ำตาลสว่าง บรรยากาศรอบตัวอบอุ่นเป็นกันเอง

แต่แววตาลุ่มลึกกึ่งเหม่อลอยของมัน คล้ายกับผู้ที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมากมายนับไม่ถ้วน ใต้ติ่งหูขวามีไฝเม็ดเล็กๆ ซึ่งหากไม่ตั้งใจมองจะหาไม่พบ

หลังจากอธิบายเหตุผลกับไคลน์ อะซิกสำรวจชายหนุ่มหัวจรดเท้า

เมื่อเผชิญสายตาจ้องจับผิดจากอีกฝ่าย มันรีบสำรวจตัวเองซ้ำด้วยท่าทีประหม่า

“ผมแต่งกายผิดธรรมเนียมหรือ?”

ทักซิโด้ กั๊กดำ เชิ้ตขาว โบว์หูกระต่ายดำ กางเกงขายาวดำสนิท รองเท้าหนังที่ปราศจากเชือกรัด

ตนแต่งตัวตรงตามมารยาททางสังคมแล้ว

อะซิกขมวดคิ้วหนึ่งอึดใจก่อนแสยะยิ้มอย่างมีเลศนัย

“อย่าถือสากันเลย ผมเพียงสัมผัสได้ว่า บรรยากาศรอบตัวคุณเปลี่ยนไปจากเดิมมาก ไม่ได้พบกันครู่เดียว กลายเป็นสุภาพบุรุษเต็มตัวไปแล้ว”

“ขอบคุณที่ชมครับ”

ไคลน์รับไว้ด้วยไมตรี จากนั้นก็ถาม

“มิสเตอร์อะซิกครับ ไม่ทราบว่าอาจารย์ค้นหาเอกสารวิจัย ‘การค้นคว้าร่องรอยอารยธรรมบนยอดเขาโฮนาซิส’ ในห้องสมุดมหาวิทยาลัยพบหรือยัง?”

“พบแล้ว ด้วยความช่วยเหลือจากผม”

อะซิกยิ้มอ่อนโยน มันก้มหน้าเปิดลิ้นชักและหยิบหนังสือปกสีเทาออกมาวาง

“คุณไม่ใช่นักศึกษาของโฮอี้ จึงนั่งอ่านได้เฉพาะในเขตมหาวิทยาลัยเท่านั้น ไม่สามารถนำกลับ”

“เข้าใจแล้วครับ”

ไคลน์เอื้อมมือออกไปรับเอกสารวิจัยปกเทาด้วยสีหน้าตื่นเต้น แต่ภายในใจก็แฝงอาการหวาดหวั่นหลายส่วน

มันชำเลืองรอบห้องเพื่อมองหาเก้าอี้

เมื่อพบ ไคลน์เดินรีบไปนั่งลงและเปิดหนังสืออ่านอย่างตั้งใจ ทุกบรรทัด ทุกตัวอักษร ไม่ปล่อยให้คลาดสายตา

ขณะห้วงความคิดกำลังดำดิ่ง รู้ตัวอีกทีก็สูดกลิ่นหอมจากกาแฟชงสดใหม่

“จัดการน้ำตาลและนมเองนะ”

อะซิกวางจานรองแก้วสีเงินไว้ข้างหนังสือเล่มที่ไคลน์กำลังอ่าน ปลายนิ้วชี้ไปยังโหลบรรจุน้ำตาลและนมภายในห้องทำงาน

“ขอบคุณครับ”

มันพยักหน้านอบน้อม ก่อนจะเดินไปหยิบน้ำตาลสามก้อนและตักนมใส่หนึ่งช้อนโต๊ะ

จากนั้นก็เดินกลับมานั่งอ่านที่เก่า

หนังสือ ‘การค้นคว้าร่องรอยอารยธรรมบนยอดเขาโฮนาซิส’ มีขนาดไม่หนามาก ไคลน์อ่านจบทั้งหมดในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน ระหว่างอ่านก็จดบันทึกส่วนสำคัญเป็นระยะ

ประการแรก อารยธรรมที่ตั้งรกรากรอบยอดเขาโฮนาซิสนั้นเจริญก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ระดับเดียวกับอาณาจักรเก่าแก่โบราณก็มิปาน

ประการที่สอง หากวิเคราะห์จากจิตรกรรมฝาผนัง มีความเป็นไปได้สูงว่า สิ่งที่อาศัยอยู่รอบยอดเขาจะมีวัฒนธรรมการดำรงชีวิตคล้ายคลึงเผ่าพันธุ์มนุษย์

หรืออาจเป็นมนุษย์

ประการที่สาม พวกมันเคารพนับถือกลางคืน แต่ขณะเดียวกันก็หวาดกลัว ชาวเมืองที่นี่เรียกขานเทพของมันว่า ‘ผู้ปกครองยามรัตติกาล มารดาแห่งผืนนภา’

ประการที่สี่ และเป็นปริศนาที่ยังหาคำตอบไม่ได้ เพราะเหตุใด บนยอดเขาถึงไม่มีสุสานหรือหลุมศพแม้แต่แห่งเดียว คล้ายกับว่าชาวเมืองที่นี่มีอายุขัยชั่วนิรันดร์ ไม่จำเป็นต้องฝัง

แต่ภาพวาดจิตรกรรมกลับอธิบายในสิ่งตรงกันข้าม มีการวาดถึงชีวิตหลังความตาย และพวกมันเชื่อว่า ดวงวิญญาณของบรรพบุรุษที่ตายไป จะคอยปกป้องคนในครอบครัวยามค่ำคืน มนุษย์ที่นี่จึงนิยมเก็บรักษาซากศพคนตายไว้ในบ้านตัวเองอย่างน้อยสามวัน

กระนั้น ภาพวาดก็มิได้ระบุว่าชาวเมืองนำศพไปฝังไว้ที่ใด

ไคลน์จิบกาแฟเพิ่มหนึ่งอึก ก่อนจะเขียนสรุปสิ่งที่ตนตกผลึกจากการอ่านหนังสือลงบนกระดาษ

มารดาแห่งท้องนภา นับเป็นพระนามที่ยิ่งใหญ่อลังการ คงไม่ใช่ตัวตนธรรมดาแน่

ส่วนผู้ปกครองยามรัตติกาล ชื่อนี้คล้ายคลึงกับเทพธิดารัตติกาลมาก

หรือจะเป็นรากฐานของโบสถ์รัตติกาล?

อารยธรรมรอบยอดเขาโฮนาซิสที่คณะเดินทางบังเอิญพบเข้า ยังถูกคงสภาพไว้เหมือนใหม่อย่างน่าเหลือเชื่อ คล้ายกับไม่เคยมีใครเดินทางไปสำรวจที่นั่นมาก่อน

ภาพวาดและจิตรกรรมหลายชิ้นมีสภาพสมบูรณ์ไร้รอยตำหนิ บ้านบางหลังยังมีเครื่องครัววางเรียงรายบนโต๊ะอาหาร บางหลังพบอาหารที่ทานค้างไว้ แห้งแข็งเกรอะกรังคาอยู่เช่นนั้น บางห้องมีถ้วยแอลกอฮอล์ซึ่งถูกเจือจางจนมีสภาพไม่ต่างจากน้ำเปล่า

เกิดอะไรขึ้นกับผู้คนชนชาติดังกล่าว?

คล้ายกับวิ่งหนีออกจากบ้านอย่างลนลานพร้อมกันทั้งหมด และไม่ได้หวนกลับมาอีกเลย

เมื่อพิจารณาว่าที่นั่นไม่มีสุสาน เรื่องราวก็ยิ่งลึกลับซับซ้อนจนยากหาข้อสรุป

ผู้เขียนเอกสารวิจัยเล่มนี้ มิสเตอร์โจเซฟ ได้สารภาพความเห็นของตัวเองลงไปว่า ในวินาทีแรกที่ค้นพบอารยธรรม มันรู้สึกเหมือนกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด สลายตัวกลายเป็นอากาศธาตุอย่างฉับพลัน

ไคลน์หยุดอ่าน มันกวาดมองภาพถ่ายที่ถูกแนบภายในหนังสือ

การเดินทางไปเยือนครั้งที่สามของโจเซฟ มันพกกล้องฟิล์มขาวดำติดตัวไปด้วย

ณ ภาพหนึ่งที่ปรากฏในเอกสารวิจัย ไคลน์สะดุดหยุดมองด้วยสีหน้าตกตะลึง มันคือภาพของกำแพงสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่เริ่มผุพัง เถาวัลย์สีเขียวเลื้อยปกคลุม แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังปรากฏกลิ่นอายความยิ่งใหญ่ในอดีต

ความรู้สึกแรกที่ได้เห็นภาพถ่าย ไคลน์พบว่ามันคล้ายกับราชวังเสื่อมโทรมที่ปรากฏในความฝันของตนมาก

สถาปัตยกรรมเป็นแบบเดียวไม่ผิดแน่ แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือ สถานที่ในฝันตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของยอดเขาและมีขนาดใหญ่กว่า แถมบัลลังก์ยักษ์ก็มโหฬารเกินกว่าจะให้มนุษย์นั่ง

มิหนำซ้ำ บนบัลลังก์ยังมีหนอนโปร่งแสงน่าขยะแขยงชอนไชจวนอาเจียน

ตนสามารถสรุปได้ว่า ภาพในความฝันต้องเกี่ยวข้องกับอารยธรรมโบราณบนเทือกเขาโฮนาซิสแน่นอน และชุมชนดังกล่าวอาจเป็นแคว้นรัตติกาลที่ถูกระบุไว้ในสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัส

ขณะเดียวกัน เมื่ออะซิกเห็นไคลน์ได้ข้อสรุปบางสิ่ง มันใช้มือขวาลูบไฝบริเวณใต้ติ่งหูตามความเคยชิน และไต่ถามด้วยท่าทีสนใจ

“เป็นอย่างไรบ้าง? พบอะไรไหม?”

“พอสมควรครับ ดูนี่สิ ผมเขียนสรุปได้ตั้งหลายแผ่น”

ไคลน์ชี้นิ้วไปที่กองกระดาษบนโต๊ะ

“ผมไม่เข้าใจ ทำไมจู่ๆ คุณถึงสนใจเรื่องราวเกี่ยวกับเทือกเขาโฮนาซิสขึ้นมาได้”

อะซิกถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ

“ไคลน์ สมัยยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเบ็คลันด์ ผมเคยศึกษาศาสตร์การทำนายมาบ้าง และสามารถบอกได้ว่า โชคชะตาของคุณมีความไม่กลมกลืนแฝงอยู่ มันไม่เป็นไปตามครรลองธรรมชาติ”

อะไรนะ? ศาสตร์การทำนาย?

คุณกำลังพูดกับนักทำนายตัวจริงอยู่

ในฐานะผู้วิเศษเส้นทางนักทำนาย ไคลน์มองว่างานอดิเรกของนักวิชาการอะซิกช่างน่าขบขัน

“ไม่กลมกลืน?”

ไคลน์ถามพร้อมขมวดคิ้ว

อะซิกครุ่นคิดก่อนอธิบายเสริม

“ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา คุณเผชิญความบังเอิญที่ผิดปรกติกี่ครั้ง?”

“ความบังเอิญ?”

ตอนแรกอาจเห็นเป็นเรื่องตลก แต่ปัจจุบันคงคิดแบบนั้นไม่ได้

หากให้นึกถึงเหตุการณ์บังเอิญ สิ่งที่น่าจดจำที่สุดคงหนีไม่พ้นคดีลักพาตัว

ผลพวงจากคดีดังกล่าว มันเกิดความรู้สึกเดจาวูและพบเบาะแสของสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสในห้องฝั่งตรงข้ามเข้าโดยบังเอิญ

ถัดมา รีเอล·บีเบอร์ไม่ยอมหนีออกจากทิงเก็น แต่เลือกเก็บตัวเพื่อย่อยพลังผู้วิเศษภายในโกดังสินค้าท่าเรือ ส่งผลให้ของวิเศษต้องห้ามรหัส 2-049 พบเบาะแสได้ง่ายดาย

เหตุการณ์ทั้งหมดประจวบเหมาะอย่างน่าเหลือเชื่อ ถึงอายร์·ฮาสันจะมอบคำอธิบายที่ฟังขึ้น แต่จวบจนปัจจุบัน ไคลน์ก็ยังสลัดความรู้สึกคาใจออกไปไม่ได้

พูดถึงความบังเอิญ เรื่องของเซเลน่าก็ไม่แพ้กัน เธอแอบมองเฮเนส·ประกอบพิธีกรรมกระจกวิเศษ และนำมาเลียนแบบที่บ้านในวันเกิดตัวเอง

สาเหตุที่ไคลน์ไปพบเข้า เพราะมันบังเอิญเดินไปทางห้องน้ำจนสัมผัสถึงแรงกระเพื่อมวิญญาณบนชั้นสอง

หากไม่แล้ว บุคคลที่ต้องตายฉับพลันจะไม่ได้มีเพียงเฮเนส·วินเซนต์แค่คนเดียวแน่

ไคลน์นั่งนึกอย่างละเอียดนานหลายนาที จนกระทั่งได้ข้อสรุปและตอบกลับไป

“ทั้งหมดสามเหตุการณ์ครับ ไม่บ่อยจนผิดปรกติ และไม่น้อยจนเกินไป ทุกครั้งปราศจากร่องรอยการชักนำจากบุคคลที่สาม”

อะซิกผงกศีรษะเบาๆ

“เป็นดังคำจักรพรรดิโรซายล์กล่าว สำหรับมนุษย์เราทุกคน ภายในสองเดือน ความบังเอิญหนึ่งครั้งถือเป็นเรื่องปรกติ สองครั้งก็ยังปรกติ แต่ถ้าเป็นสามครั้ง ควรเริ่มตระหนักไว้ว่า อาจมีใครบางคนกำลังแอบชักนำ”

“คุณช่วยบอกรายละเอียดมากกว่านี้ได้ไหม? ว่าชะตาของผมไม่กลมกลืนอย่างไร?”

ไคลน์ถามร้อนรน

อะซิกส่ายหัว

“ผมเพียงบอกได้ว่า ดวงชะตาของคุณมีความไม่กลมกลืนแฝงอยู่ ไม่ทราบมากหรือน้อยไปกว่านี้แล้ว คุณต้องเข้าใจด้วย ผมไม่ใช่นักทำนาย”

ตอบแบบนี้ สู้อย่าทักตั้งแต่แรกจะดีกว่า

มิสเตอร์อะซิกมีท่าทีแปลกไป เขากำลังทำตัวเป็นนักต้มตุ๋น ต่อหน้านักต้มตุ๋นอย่างเรางั้นหรือ?

ไคลน์ถอนหายใจยาว พร้อมกับฉวยโอกาสนี้ใช้ปลายนิ้วแตะหว่างคิ้วเพื่อเปิดเนตรวิญญาณ

หลังจากเงยหน้าขึ้น แสงออร่าที่ปรากฏบนตัวมิสเตอร์อะซิกนับว่าปรกติ ทั้งสุขภาพร่างกายและอารมณ์

น่าเสียดาย เราไม่สามารถมองเห็นวิญญาณดาราและกายอากาศของบุคคลอื่นได้ด้วยพลังตัวเอง ต้องพึ่งพามิติสายหมอกเท่านั้น

ไคลน์ลุกยืนอย่างผ่อนคลายพร้อมกับแตะหว่างคิ้วซ้ำอีกสองหน

……………………

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!