บทที่ 447 ยิ่งแสดงยิ่งเลยเถิด
ผู้ที่บอกว่าตัวเองเป็นผู้สืบสายเลือดเผ่าเซียนพิบัติก็คือหนิงเหยียนนั่นเอง
สวี่ชิงจำได้ว่านายกองบอกว่าหลังจากที่หนิงเหยียนสอบผ่านการสอบเสริม ก็หายตัวไร้ร่องรอย นายกองหาอยู่ตั้งนานก็หาไม่เจอ
เดิมแผนการครั้งนี้ก็คิดจะพาคนคนนี้มาร่วมกันทำการใหญ่ด้วย เอามาใช้เป็นโล่ในช่วงวิกฤตอันตราย
ดูจากตอนนี้เจ้าเด็กนี่แอบมาเซียนแท้สิบลำไส้เงียบๆ…
‘หรือที่เขาบอกว่าสายเลือดตื่นขึ้นจะเป็นเผ่าเซียนพิบัติ หรือจะบอกว่าฐานะนี้ของเขาเป็นการแสดงละคร’ สวี่ชิงในใจความคิดขยับ แต่สีหน้ากลับเป็นปกติไม่เปิดเผยออกมาแม้เพียงน้อยนิด สายตายังคงแฝงไว้ด้วยความเย็นชา กวาดตามองไปทางหนิงเหยียนอย่างราบเรียบ
ส่วนเฉินเอ้อร์หนิวที่อยู่ข้างๆ ตอนนี้มุมปากฉายรอยยิ้มที่มีความหมายล้ำลึก
ชิงชิวยังคงทำเป็นไม่รู้จักเหมือนเดิม
ส่วนหนิงเหยียน…ตอนนี้ใจสั่นสะท้าน เขาไม่รู้จักเผ่าฟ้าทมิฬสองคนนั้น
แต่สัมผัสได้โดยสัญชาตญาณว่ากระดูกสันหลังเย็นวาบนิดๆ โดยเฉพาะเผ่า ฟ้าทมิฬที่ยิ้มอย่างมีความหมายลึกซึ้งตนนั้น ทำให้เขารู้สึกใจคอไม่ดี
‘เผ่าฟ้าทมิฬตนนี้ยิ้มให้ข้าแบบนี้ทำไม’
หนิงเหยียนตื่นกลัว สายตากวาดมองชิงชิวอย่างรวดเร็ว แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ใส่หน้ากาก เสื้อผ้าก็เปลี่ยนไป แต่กลิ่นอายไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น เขาย่อมจำตัวตนของอีกฝ่ายได้ในพริบตาเดียว
จะอย่างไรทุกคนก็มาจากมณฑลรับเสด็จราชันกันทั้งนั้น ตอนแรกเป็นคู่แข่งกัน ดังนั้นหนิงเหยียนจับตามองชิงชิวมานานมาก
แต่ตอนนี้เขาไม่อยากรู้ว่าทำไมชิงชิวจึงอยู่ที่นี่ แต่แอบโอดครวญในใจ เพราะเขารู้ว่าตัวเองความจริงแล้วมีช่องโหว่อยู่ข้อหนึ่ง นั่นก็คือไม่ได้เปลี่ยนแปลงโฉมหน้า
แต่ว่านี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาปรารถนา เนื่องจากเหตุผลพิเศษบางอย่าง เขาทำถึงขั้นเปลี่ยนแปลงรูปโฉมและกลิ่นอายจากแก่นแท้ไม่ได้ จึงทำได้เพียงใช้อาวุธเวทอำพราง แต่ก่อนหน้านี้หลังจากที่ถูกจับได้ อาวุธเวทอะไรพวกนั้นก็ถูกยึดไปแล้ว
ดังนั้นเขาในตอนนี้แค่อยากรีบออกไปเท่านั้น มีเค้าความรู้สึกหวาดระแวงรุนแรงผุดขึ้นในใจ
ความจริงแล้วก็เป็นเช่นนั้น หนิงเหยียนไม่ทันได้เดินไปไกลเท่าไร หลังจากที่เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ที่จับกุมเขาพวกนั้นเตรียมจะจากไป นายกองก็พลันเอ่ยขึ้นมา
“เผ่าเซียนพิบัติอย่างนั้นหรือ น่าสนใจ ข้าจะเอาตัวคนคนนี้”
นายกองยกมือชี้หนิงเหยียน
หนิงเหยียนหนังศีรษะชาวาบ ลมหายใจถี่กระชั้น ในใจพลันสั่นสะท้าน
‘หรือเขาจะมองฐานะของข้าออก เป็นไปไม่ได้!’ หนิงเหยียนร้อนใจ มากกว่านั้นคือตื่นตระหนกหวาดกลัว ในสมองมีข่าวลือเกี่ยวกับเผ่าฟ้าทมิฬผุดขึ้นมากมาย
แต่เรื่องนี้ไม่อนุญาตให้เขาได้ตัดสินใจ ผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นเมื่อ ได้ยินก็รีบรับคำอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเลใดๆ ควบคุมตัวหนิงเหยียนมาข้างหน้า เฉินเอ้อร์หนิวทันที ยิ่งยื่นเชือกที่มัดตัวหนิงเหยียนเอาไว้ออกไปสองมืออย่างเคารพนอบน้อม
เฉินเอ้อร์หนิวพยักหน้าเล็กน้อย รับเชือกมา หลังจากกระตุกเล็กน้อย หนิงเหยียนก็จำต้องก้าวขึ้นมาสามสี่ก้าวท่ามกลางเนื้อตัวที่สั่นเทา
มองเฉินเอ้อร์หนิวที่รอยยิ้มค่อนข้างน่าขนลุก ใบหน้าของหนิงเหยียนฉายแววประจบประแจงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“ข้าน้อยคารวะใต้เท้า”
“รสชาติของลำไส้เผ่าเซียนพิบัติไม่รู้ว่าเป็นเช่นไร” นายกองแสยะแยกเขี้ยวไปทางหนิงเหยียน จากนั้นก็เลียริมฝีปาก
หนิงเหยียนจิตใจเกิดคลื่นกระหน่ำซัด สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว กำลังจะถอยไป แต่ถูกนายกองกระตุกเชือก ไม่สามารถดิ้นรนได้ไปในทันที ทั้งตัวสั่นงันงกรุนแรงเอ่ยเสียงสั่น
“ใต้เท้าอย่าได้ล้อข้าน้อยเล่น…ข้าน้อยเลือดเนื้อทั้งตัวเหม็นตลบอบอวล ไม่อร่อยหรอกขอรับ”
เห็นภาพนี้ ชิงชิวแอบทอดถอนใจ เดิมทีนางไม่ได้ชอบหรือเกลียดอะไรหนิงเหยียน เพียงคนรู้จักก็เท่านั้น แต่ตอนนี้ตัวอยู่ต่างบ้านต่างเมือง เห็นคนบ้านเดียวกันอเนจอนาถน่าสังเวชแบบนี้ เผชิญกับอันตรายจะถูกกิน ในใจก็เกิดระลอกคลื่นอารมณ์ สีหน้าฉายแววหมองเศร้าอย่างอดไม่ได้
สังเกตเห็นสีหน้าชิงชิว สายตาขอสวี่ชิงก็มองไปทางนายกองทางนั้น เอ่ยอย่างสงบนิ่งขึ้นมา
“เจ้าจะเอาตัวเผ่าเซียนพิบัตินี่ไปทำไม สนใจลำไส้ของเผ่าเซียนพิบัติหรือ”
“ใต้เท้าบุตรเทวะย่อมไม่ใช่แบบนั้นขอรับ” นายกองโค้งคารวะสวี่ชิง เอ่ยอย่างเคารพนอบน้อม
หนิงเหยียนได้ยินก็แอบโล่งใจ แต่ไม่นานนายกองก็พูดต่อไปว่า
“ก่อนหน้านี้ข้าน้อยได้ค้นคว้าหลอมลูกกลอนโลหิต เผ่าต่างๆ ล้วนเคยเอามาใช้ทั้งนั้น มีเพียงเผ่าเซียนพิบัติเท่านั้นที่ยังไม่เคยลอง จึงคิดเอาตัวเขาไปหลอมทั้งเป็น”
นายกองพูดพลางประเมินหนิงเหยียน ก้าวขึ้นไปบีบคาง ดูๆ ฟัน ในดวงตาฉายแวววาดหวัง เหมือนกำลังมองลูกกลอนล้ำค่า กระทั่งว่าเลียริมฝีปากด้วย
หนิงเหยียนเหมือนมีสายฟ้าฟาดผ่าในสมอง ก่อนหน้านี้เขาได้ยินอีกฝ่ายพูด จิตใจเพิ่งจะผ่อนคลาย ตอนนี้ได้ยินประโยคนี้ ก็สะสะท้านรุนแรงหนักกว่าเดิม ทั้งกายและใจล้วนถูกความหวาดกลัวมหาศาลเข้าครอบงำ น้ำตาไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
“ใต้เท้า…ข้า…ข้ารู้สถานที่ที่เผ่าเดียวกับข้ามากมายอาศัย ในนั้นมีสายเลือดที่เข้มข้นพอกพูนกว่าข้าจำนวนไม่น้อย ข้าเอาพวกเขามาแลกได้หรือไม่”
นายกองลูบๆ คาง คล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ไม่พูดอะไร ประเมินหนิงเหยียนตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่หยุด
หนิงเหยียนยิ่งกลัวขึ้นไปอีก ในดวงตาฉายแววโศกเศร้า
สวี่ชิงไม่สนใจนายกองกับหนิงเหยียน ตอนนี้มองๆ ท้องฟ้า แล้วมองไปยังจุดลึกของป่า
เขาพบว่าผลมรรคาที่ยังไม่สุกที่นี่มีจำนวนมากถึงเก้าส่วน อีกทั้งมีจำนวนไม่น้อยที่มีขนาดแตกต่างกัน ไม่เหมือนจะสุกทั้งหมดได้ในวันเดียว
จึงเอ่ยเนิบนาบกับมู่เยี่ยที่ยืนอยู่ข้างกายตัวเองอย่างนอบน้อม
“พรุ่งนี้ผลมรรคาจะสุกทั้งหมดหรือไม่”
มู่เยี่ยลังเล หลังจากคิดๆ ก็เอ่ยเสียงต่ำทุ้มออกมา
“นายท่าน ปกติแล้วคือวันพรุ่งนี้ แต่จากบันทึกในตำราโบราณ ความจริงแล้วระยะเวลาที่ผลมรรคาจะสุกทุกครั้งล้วนเป็นเพียงเวลาโดยประมาณเท่านั้น ไม่แม่นยำ แต่ว่า ต่อให้พรุ่งนี้ยังไม่สุก อย่างมากภายในเจ็ดวันจะต้องสุกแน่นอนขอรับ”
สวี่ชิงขมวดคิ้ว เขาไม่อยากอยู่ที่เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์นานเกินไป กังวลว่าจะควบคุมการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่หากจากไปแบบนี้ ก็ค่อนข้างเจ็บใจ
‘หากเป็นเวลาเจ็ดวันก็อดทนต่อไปได้!’ สวี่ชิงพึมพำในใจ หันหลังเดินไปทาง รัฐยอดฟ้า
มู่เยี่ยรีบตามติดอยู่ข้างหลัง คนกลุ่มหนึ่งเดินจากไป
นายกองสีหน้าเป็นปกติ เชือกในมือแค่กระตุก หนิงเหยียนก็ถูกลากเดินตามไปด้วยร่างที่สั่นสะท้าน ในใจสับสนลนลาน โกรธแค้นเศร้าโศก หวาดกลัว เสียใจ ความรู้สึกผสมปนเป
ทุกอย่างนี้ช่างไม่ตรงกับแผนการของเขาเอาเสียเลย จากแผนการของเขาครั้งนี้แม้ล้มเหลวก็ไม่มีอันตราย ฐานะเผ่าเซียนพิบัติอย่างมากเขาก็แค่ถูกคุมขังช่วงหนึ่งก็จะได้รับการปล่อยตัว
อย่างไรเสีย ที่นี่ก็แปลงมาจากสมาชิกในเผ่าเผ่าเซียนพิบัติสายเลือดบริสุทธิ์คนสุดท้ายสำเร็จเป็นเซียน และในแผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ เผ่าเซียนพิบัติถึงจะเป็นชนพื้นเมือง ดังนั้นผู้สืบสายเลือดก็มีจำนวนไม่น้อย
เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ในฐานะที่เป็นผู้มาทีหลังก็ไม่อยากสร้างความขัดแย้งระหว่างสองเผ่าง่ายๆ
กระทั่งมีความเป็นไปได้สูงว่า ก่อนเขาจะไปยังเอาผลมรรคาไปได้สักลูกสองลูกด้วยซ้ำ การค้านี้คุ้มค่า เขาจึงมาที่นี่
แต่จะอย่างไรเขาก็คาดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับเผ่าฟ้าทมิฬที่นี่…
หนิงเหยียนถูกลากให้เดินไปข้างหน้า ขณะที่ในใจเศร้าโศกอัดอั้นก็เงยหน้ามอง ชิงชิวผาดหนึ่ง พบว่าความรู้สึกในดวงตาของชิงชิวเหมือนกับตน
คนทั้งสองที่อัดอั้นในก็เดินตามสวี่ชิงและนายกองไปเช่นนี้เอง ภายใต้การคุ้มกันจากองครักษ์เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์กลุ่มหนึ่ง ก็กลับมาถึงวังหลวงรัฐยอดฟ้า
หลังจากมาถึงที่นี่ สวี่ชิงก็นั่งสมาธิในตำหนักใหญ่เหมือนอย่างปกติ ชิงชิวนั่งข้างๆ เขา กัดฟันกรอดๆ ในใจ นางไม่ได้ยอมรับฐานะบ่าวรับใช้ของตนโดยสมบูรณ์ แต่หาโอกาสหนีอยู่ทุกชั่วขณะ
ส่วนนายกองกลับต่างไปจากปกติ หลังจากกลับมาเขาก็จูงหนิงเหยียน ในตาฉายความวาดหวังแรงกล้า เดินไปยังตำหนักข้าง หนิงเหยียนไม่อาจขัดขืนได้ ทำได้เพียงถูกลากเข้าไปทั้งๆ ที่สีหน้าร้อนรนตื่นกลัว ในดวงตาเต็มไปด้วยแววอ้อนวอน ปากร้องขอไม่หยุด
ไม่นานนัก ตำหนักข้างก็มีเสียงร้องคร่ำครวญน่าสังเวชของหนิงเหยียนดังขึ้น
“ใต้เท้า ท่านๆๆๆ ท่านจะทำอะไร
“อ๊าก!”
เสียงร้องคร่ำครวญกลายเป็นเสียงร้องโหยหวนอย่างรวดเร็ว
ชิงชิวร่างสั่นสะท้าน นางไม่รู้ว่าในตำหนักข้างเกิดอะไรขึ้น สัมผัสรับรู้ก็ไม่อาจสืบสำรวจได้ แต่นางสามารถจินตนาการภาพน่าหวาดสะพรึงมากมายจากในเสี้ยงร้องโหยหวนนี้ได้
จึงมองสวี่ชิงที่สีหน้าเป็นปกติเหมือนเดิมผาดหนึ่ง ในใจยิ่งรู้ถึงความโหดเหี้ยมของเผ่าฟ้าทมิฬมากยิ่งขึ้น
‘เผ่าฟ้าทมิฬล้วนสมควรตาย โดยเฉพาะไอ้สองตนนี้!’ ความคิดในใจชิงชิวซัดกระหน่ำ
สวี่ชิงไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เสียงร้องโหยหวนที่ดังมาบ่งบอกแน่ชัดว่าหนิงเหยียนถูกนายกองกัด
“ท่าทางด้วยฐานะผู้ครองกระบี่ก่อนหน้านี้ เขาลงมือเกินสมควรไม่สะดวก ตอนนี้ฐานะเปลี่ยนไป ด้วยนิสัยของนายกองจะต้องศึกษาเลือดเนื้อของหนิงเหยียนให้ดีอย่างแน่นอน”
สวี่ชิงแผ่ประสาmสัมผัสรับรู้ ผสานไปในเทวรูปฟ้าทมิฬที่ลอยอยู่เหนือวังอีกครั้ง ศึกษาค้นคว้าเองต่อ นี่เป็นเรื่องที่เขาสนใจที่สุดในช่วงการรอคอยนี้
‘หากเอากลับเขตปกครองผนึกสมุทรไปด้วยได้…’
ในใจสวี่ชิงเกิดความวาดหวัง
เทวรูปฟ้าทมิฬนี้ก็ไม่ธรรมดา ในนั้นแฝงไว้ด้วยพลังพระจันทร์สีชาดเข้มข้น แผ่ไอพลังประหลาดออกมาอยู่ตลอดเวลา แม้สวี่ชิงจะออกคำสั่งกับมันได้ แต่คิดจะเอากลับไปจะอย่างไรก็ไม่ค่อยเหมาะ
ประการแรก เทวรูปนี้ไม่สามารถใส่ไปในถุงเก็บของได้ อีกทั้งยังเป็นจุดเด่นเกินไป ประการที่สองคือ หากเผชิญหน้ากับพระจันทร์สีชาดจริงๆ เทวรูปนี้เกรงว่าคงชี้หอกเข้าใส่ในทันที
หากเอาไปก็จะต้องเป็นระเบิดเวลาที่พร้อมจะระเบิดทุกเมื่ออย่างไม่ต้องสงสัย
‘นอกเสียจากว่าข้าจะใช้พลังพระจันทร์สีม่วงของตัวเองเข้าแทนที่ดวงจันทร์สีแดงในตัวมันได้โดยสมบูรณ์’
สวี่ชิงหรี่ตา นี่ก็คือแนวคิดในการศึกษาค้นคว้าของเขาในช่วงนี้
จากการศึกษาค้นคว้าของสวี่ชิง พลบค่ำก็มาเยือน ท้องฟ้านอกฉัตรค่อยๆ มืดมิด ในพื้นที่บริเวณขอบเขตนั้น โคมรูปมนุษย์ที่ลอยอยู่ ใช้ไฟชีวิตเป็นแสงสว่างพวกนั้น เปลวเพลิงก็ค่อยๆ อ่อนแสงลง
ฟ้าดินท่ามกลางแสงสลัว นอกวังรัฐยอดฟ้า บนแท่นพิธีที่คุณสมบัติเทพฟ้าทมิฬอยู่ ตอนนี้มีผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์หลายสิบตน กำลังยืนอย่างเคร่งขรึม
รอบๆ ถูกปิดล้อมตั้งนานแล้ว อีกทั้งยังวางค่ายกลไว้อีกด้วย ทำให้คนนอกไม่สามารถสัมผัสได้
และผู้บำเพ็ญหลายสิบบนแท่นพิธีนี้ ในนั้นส่วนมากล้วนเป็นระดับปราณก่อกำเนิดบริบูรณ์ มีเพียงห้าตนเท่านั้นที่พลังบำเพ็ญเหนือกว่าคนทั้งหลาย ถึงระดับสมบัติวิญญาณ
หนึ่งในนั้นคือเจ้ารัฐยอดฟ้า
ข้างหน้าคนทั้งหลายยังมีชายชราสวมชุดคลุมดำตนหนึ่งยืนอยู่ ชายชราตนนี้ผิว สีแดงก่ำ ดูแล้วแปลกประหลาดยิ่งนัก ข้างหลังยิ่งมีสมบัติลับสี่คลังแผ่พลังกดดันน่ากลัวออกมา
เขาก็คือราชครูรัฐยอดฟ้าตอนนี้สีหน้าเคร่งเครียด เงยหน้ามองไปทางวังหลวง แล้วมองไปทางคนทั้งหลาย แค่นเสียงขึ้นจมูกออกมาทีหนึ่ง
“เรื่องนี้ช่างเหลวไหลนัก
“พวกเจ้าแต่ละคนในฐานะที่เป็นผู้ปกครองของรัฐ ข้าไม่เชื่อว่าพวกเจ้าจะเลอะเลือนไร้ความสามารถเช่นนี้ แม้แต่การคิดวิเคราะห์ที่เป็นพื้นฐานที่สุดก็ไม่มีแล้วหรือไร
“เผ่าฟ้าทมิฬ นั่นเป็นฐานะระดับใดกัน จะมาที่นี่ด้วยขบวนสินค้าได้อย่างไร!
“ทั้งยังพอดีกับช่วงผลมรรคาสุกงอม
“ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าหนึ่งในผู้ที่ปลอมตัวมาไม่ใช่แค่ความเชื่อมั่วไปหมด สายเลือดยิ่งผสมปนเป จะเป็นเผ่าฟ้าทมิฬไปได้อย่างไร!
“นอกจากนี้หญิงรับใช้ของพวกเขาก็คือผู้ครองกระบี่หน้าใหม่รอบนี้ของเผ่ามนุษย์ ชื่อว่าชิงชิว เรื่องนี้พวกเจ้าล้วนสืบได้แล้ว ยังมีอะไรต้องลังเลอีก”
ชายชราตำหนิติเตียน คนทั้งหลายเงียบนิ่งก้มหน้าไม่พูดจา แต่สายตากวาดไปยังเจ้ารัฐยอดฟ้าตนนั้น
ความจริงแล้วสำหรับฐานะของสวี่ชิงและนายกอง ต่อให้จนถึงตอนนี้พวกเขาล้วนมีความไม่เชื่อมากกว่า แต่เทวรูปคุกเข่า กลิ่นอายการประทานพรเป็นของจริง
นี่ทำให้พวกเขาเกิดความสับสน
“แล้วก็เจ้ารัฐ บุตรชายของท่านได้รับการประทานพร ก่อนหน้านี้ข้าได้ทำการสืบแล้ว นั่นเป็นเพียงแค่วิชาอำพรางตาเท่านั้น หากท่านไม่เชื่อก็ส่งเขาไปที่ราชวงศ์รัฐบน ให้รัฐบนดูก็พอแล้ว” ชายชราเอ่ยปากเสียงเย็น จากนั้นก็มองไปทางวังหลวง
“ที่น่าขำเป็นที่สุดก็คือทั้งสองคนนี้แม้จะมีวิชาหลอกลวงพวกเจ้า แต่ช่องโหว่ที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขาก็คือ…ปลอมตัวเป็นใครไม่ปลอม ปลอมเป็นบุตรเทวะฟ้าทมิฬอย่างนั้นหรือ
“หึ ข้าฝึกบำเพ็ญที่เผ่าฟ้าทมิฬมาหลายปี สหายเผ่าฟ้าทมิฬมากมาย ไม่เคยได้ยินว่าตำหนักเทวะฟ้าทมิฬมีบุตรเทวะ!
“ส่วนเทวรูปฟ้าทมิฬจะอย่างไรก็เป็นแค่วัตถุ พวกเจ้าไม่เคยไปเผ่าฟ้าทมิฬจึงไม่รู้ ความจริงแล้วเทวรูปฟ้าทมิฬก็เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นหลายครั้ง ส่วนใหญ่แล้วเนื่องจากพลังเทพในนั้นเปลี่ยนแปลงขึ้นเองตามรอบน้ำขึ้นน้ำลง
“ผู้ปลอมตัวทั้งสองคนนี้น่าจะมีความรู้ความเข้าใจในเผ่าฟ้าทมิฬเป็นอย่างมาก ช่วงเวลาที่คว้าก็บังเอิญเหมาะเจาะนัก”
ในดวงตาชายชราฉายประกายเย็นวาบ
“แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็พลาด เพราะข้าตอนนั้นไปฝึกบำเพ็ญที่เผ่าฟ้าทมิฬเคยได้รับวิญญาณผีฟ้าทมิฬตนหนึ่งจากตำหนักเทวะ!
“วิญญาณผีของตำหนักเทวะฟ้าทมิฬมีสติปัญญา ความแม่นยำเทียบกับวัตถุอย่างเทวรูปแล้ว มันเพียงแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อย ก็สามารถเปิดเผยทุกอย่าง!”
ระหว่างพูด มือขวาของชายชราก็ยกขึ้นแล้วชี้ไปที่หว่างคิ้ว ทั่วทั้งร่างสั่นสะท้านกระอักเลือดออกมาคำโต ทันใดนั้นหว่างคิ้วก็แยกออก เงาสีดำทางหนึ่งพุ่งออกมาจากเนื้อโชกเลือดอย่างรวดเร็ว
เพิ่งปรากฏออกมาก็เกิดลมเย็นเป็นระลอกๆ พัดกวาดไปรอบๆ ยิ่งทำให้จิตใจของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ทุกตนที่อยู่ที่นี่สั่นสะท้าน สายเลือดที่เป็นของเผ่าฟ้าทมิฬก็ล้วนถูกเหนี่ยวนำ เส้นสีดำที่หว่างคิ้วของทุกตนยิ่งชัดเจน
“อัญเชิญวิญญาณผีตรวจสอบ!”
ชายชราสูดลมหายใจลึก เอ่ยอย่างเคารพนอบน้อม จากเสียงเคี้ยกๆ ที่วิญญาณผีส่งออกมา ร่างลอยขึ้นกลางอากาศ ยามมองไปทางวังหลวง ชายชราส่งเสียงไปหาคนทั้งหลายด้วยสีหน้าอึมครึม
“รอเมื่อวิญญาณผีตรวจสอบเสร็จแล้ว เจ้ารัฐยอดฟ้า ท่านลงมือจับเป็นเจ้าโจรกำเริบเสิบสานสองคนนี้ด้วยตัวเอง ข้าเตรียม…”
ชายชราเพิ่งพูดถึงตรงนี้ ไม่รอให้ทันได้สั่งการเสร็จ ผีร้ายตนนั้นที่อยู่บนท้องฟ้าจู่ๆ ร่างก็สั่นเทิ้ม ทั่วร่างปะทุแสงสีดำทันที แผ่ไปทั่วทุกสารทิศประดุจทะเลแสง ในดวงตายิ่งฉายประกายแรงกล้าอย่างไม่เคยมีมาก่อน ร่างสั่นสะท้านรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
จนถึงในตอนสุดท้าย ก็ร้องอย่างโหยหวนออกมา ตาผีระเบิดทันที
ร่างของมันขดงอ ร่วงลงสู่แท่นบูชา หมอบคารวะไปทางวังหลวงทันที โขกศีรษะไม่หยุด
“นายท่าน!
“นั่นเป็นกลิ่นอายของนายท่าน!
“พวกข้าผู้ต่ำต้อย ไม่อาจจ้องมองได้!!”
วิญญาณผีตาบอดแล้ว ร่างสั่นเทิ้มไม่หยุด แต่เสียงกลับแฝงด้วยความตื่นเต้นและคลั่งไคล้สุดขีด ภาพนี้ทำให้เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดที่อยู่รอบๆ ในสมองเหมือนมีสายฟ้าฟาดผ่าทันที
เจ้ารัฐยอดฟ้าหายใจหอบถี่ ต่อให้เป็นคนที่ขี้ระแวงแบบเขา ตอนนี้ก็เชื่อจริงๆ แล้ว
เจ้ารัฐคนอื่นๆ ก็ต่างหนังศีรษะชาวาบ ในใจเกิดคลื่นยักษ์ซัดโหม ไม่มีเหตุผลใดๆ ให้ไปสงสัยอีกต่อไป แต่ละตนในดวงตาฉายแววคลั่งไคล้ออกมา
ส่วนชายชราที่ปล่อยวิญญาณผีนั่นตอนนี้ตัวสั่นสะท้านเช่นกัน ดวงตาเบิกโพลงฉายความไม่อยากเชื่อออกมา
“นี่…นี่…”
ในเสี้ยวพริบตาที่จิตใจของพวกเขาทางนี้เกิดระลอกคลื่น ทางวังหลวง เทวรูป ฟ้าทมิฬที่ลอยอยู่กลางอากาศทางนั้น แขนที่กอดอกอยู่พลันกางออก ลอยขึ้นไปบนฟ้าพันจั้ง ดวงตาฉายประกายแสงสีดำ ก้มมองไปทางแท่นบูชา
และบนศีรษะของมัน ตอนนี้ทางกลางความรางเลือน ร่างของนายกองกับสวี่ชิงก็ปรากฏขึ้นมา
สวี่ชิงสายตาเย็นชาแฝงด้วยความไม่พอใจ ก้มมองไปยังพื้นดิน
นายกองที่อยู่ข้างๆ สีหน้าโกรธเคืองเป็นอย่างยิ่ง เพลิงพิโรธที่เหมือนว่าบุตรเทวะของตนถูกหยามหมิ่นปะทุออกมาจากดวงตา ยิ่งมีเสียงเย็นชาเหมือนลมหนาวยะเยือกแฝงไว้ซึ่งความโกรธดังก้องไปทั่ว
“พวกเจ้าขี้ระแวงเดิมไม่ใช่ข้อบกพร่อง แต่หากเกินสมควร นั่นคือพวกเจ้าหยามหมิ่นเบื้องสูง”
นายกองขณะที่พูด บนท้องฟ้าก็มีเสียงฟ้าคำราม ฟ้าดินเปลี่ยนสี
หว่างคิ้วของสวี่ชิงในเสี้ยวขณะนี้มีสัญลักษณ์ทรงพระจันทร์ฉายวาบขึ้นมา ร่างยิ่งแผ่ระลอกคลื่นพลังที่เหนือกว่าคนทั่วไปจากวังสวรรค์พระจันทร์สีม่วงออกมา
เพียงพริบตา คนเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในรัฐยอดฟ้าทั้งหมด เลือดกลุ่มนั้นที่เป็นของฟ้าทมิฬในสายเลือดต่างเดือดพล่านขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
เจ้ารัฐทั้งสามสิบหกนครรัฐล้วนสั่นสะท้านไปทั้งร่างก้มศีรษะไปทางเทวรูปที่อยู่บนท้องฟ้า
ราชครูรัฐยอดฟ้าใจสั่นสะท้านไปเช่นกัน มองวิญญาณผีฟ้าทมิฬที่คุกเข่าโขกศีรษะคารวะไม่หยุดผาดหนึ่ง เขาลมหายใจถี่กระชั้น สุดท้ายก็ก้มศีรษะ โค้งคารวะไปทางท้องฟ้า
พลังบำเพ็ญของพวกเขาไม่ว่าใครล้วนเหนือสวี่ชิงทั้งนั้น เผชิญหน้ากับเผ่าฟ้าทมิฬที่พลังบำเพ็ญต่ำยังพอใช้พลังบำเพ็ญดึงให้สถานะเสมอกัน แต่ตอนนี้สัมผัสได้ถึงความทรงอำนาจน่าเกรงขามที่มาจากบุตรเทวะและการสยบจากสายเลือด ทำให้พวกเขาจิตใจต่างเกิดระลอกคลื่นอารมณ์
แต่ก็ไม่มีความรู้สึกอัปยศอดสูอะไร เพราะนับตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เผ่าฟ้าทมิฬทั้งสองที่มาเยือนไม่ได้ถือตัว กลับเป็นพวกเขาที่หยั่งเชิงอยู่ตลอด
“พวกเจ้า จะไม่มีครั้งต่อไป” บนท้องฟ้า สวี่ชิงเอ่ยปากเป็นครั้งแรก
เสียงสงบนิ่งดังก้อง เขามองไปยังคนทั้งหลายอย่างด้วยความหมายลึกซึ้ง ยกมือเพียงสะบัด เงาร่างก็อำพรางซ่อนเร้นไป
ส่วนเทวรูปก็กลับมาที่ที่เดิม ลอยอยู่เหนือตำหนัก ดวงตาทั้งสองหลับลงอีกครั้ง
ทั้งเมืองเงียบสงัด
นอกแท่นบูชา ราชครูรัฐยอดฟ้าสูดลมหายใจลึก สะกดความตื่นตะลึงในใจ รีบส่งกระแสจิตบัญชาเจ้ารัฐยอดฟ้าทันที
“เรื่องนี้รีบรายงานลับไปถึงราชวงศ์ เซียนแท้สิบลำไส้มีเผ่าฟ้าทมิฬมาเยือน สงสัยว่าสายเลือดจะสูงส่งมาก พวกเราไม่มีคุณสมบัติต้อนรับ นอกจากนี้บุตรที่ได้รับการประทานพรของเจ้าก็รีบส่งไปที่ราชวงศ์ด้วยเช่นกัน!
“เรื่องนี้ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ…ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ทั้งนั้น!
“หากเป็นเรื่องจริง…” ชายชราสูดลมหายใจ
“เกรงว่าตำหนักเทวะฟ้าทมิฬของทั้งสี่ราชวงศ์เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ล้วนสั่นสะเทือน อีกทั้งตำแหน่งในอนาคตของบุตรเจ้าก็จะสูงส่งเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน!”
ราชครูขณะพูดก็มีลมพัดมาจากบนพื้น ต้นเซียนแท้สิบลำไส้บนท้องฟ้าโอนเอน ฉัตรส่งเสียงซู่ซ่า
ลมพัดแล้ว
ลมคืนนี้พัดแรงนัก
ขณะที่ฉัตรที่เกิดจากเซียนแท้สิบลำไส้ไหวโอนเอนบนท้องฟ้า เสียงดังไปทั่ว ลมพัดผ่านฟ้าดิน หอบม้วนฝุ่นธุลีทั่วทั้งพื้น พัดพาไปยังสิ่งก่อสร้างทุกแห่งในรัฐ ยอดฟ้า
กระดิ่งที่แขวนไว้ใต้หลังคาบ้านทุกหลังล้วนส่งเสียงก้องกังวานท่ามกลางสายลม โดยเฉพาะในวังหลวงยิ่งเป็นเช่นนั้น
ท่ามกลางเสียงที่ดังไม่ขาดสาย ในวังหลวง สวี่ชิงดึงสายตากลับมาจากความมืด มองไปทางนายกองที่อยู่ข้างๆ
“ศิษย์พี่ใหญ่ พวกเรารออีกนานไม่ได้แล้ว อย่างมากสองวัน หากเซียนแท้สิบลำไส้ยังไม่เกิดผลสุกงอม พวกเราก็ต้องไปแล้ว” สวี่ชิงเอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
นายกองถอนหายใจ ค่อนข้างกลัดกลุ้ม
หลังจากที่พวกเขารับรู้ถึงการหยั่งเชิงของอีกฝ่าย แม้จะคลี่คลายได้ แต่เขาก็รู้ว่า นี่หมายถึงเรื่องจะดำเนินไปในทิศทางที่ไม่อาจควบคุมได้
“ข้ารู้สึกว่าความจริงก็ไม่มีอะไร” นายกองพึมพำ มองสวี่ชิงผาดหนึ่ง
สวี่ชิงทางนั้นไม่ว่าเขาจะสัมผัสอย่างไรก็เป็นเผ่าฟ้าทมิฬของจริงอย่างจริงสุดๆ
ไม่ใช่แค่เทวรูปคุกเข่าคารวะ ยิ่งให้การประทานพรเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ได้ ตอนนี้แม้แต่วิญญาณผีฟ้าทมิฬที่มีสติปัญญาก็ยังคุกเข่า…
สามเรื่องนี้รวมกันทำให้ความคิดของนายกองแล่นอย่างรวดเร็ว
“อาชิงน้อย เจ้าทำได้อย่างไร นี่ไม่มีทางเป็นกลิ่นอายของพระจันทร์สีแดง” ความสงสัยใคร่รู้ของนายกองรุนแรงอีกครั้ง ถามขึ้นประโยคหนึ่ง
สวี่ชิงคิดๆ ครั้งนี้ไม่ได้ปกปิด ส่งกระแสจิตตอบไป
‘เทพองค์นั้นที่เผ่าฟ้าทมิฬเคารพบูชา ตอนนั้นที่เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะข้าชิงเอาอำนาจมากลุ่มหนึ่ง ดังนั้นน่าจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นพระจันทร์สีแดงกระมัง’
คำพูดนี้เพิ่งออกไป นายกองเบิกตากว้าง สูดลมหายใจลึก แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะเดาได้บ้าง แต่คำตอบของสวี่ชิงในตอนนี้ก็ยังทำให้จิตใจเกิดคลื่นยักษ์อยู่ดี
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นายกองก็ผุดลุกขึ้น หลังจากเดินวนสองสามรอบก็หันไปมองสวี่ชิง
“ศิษย์น้องเล็ก พวกเราลงมือทำให้สุดกันไปเลยดีหรือไม่!”
ในดวงตานายกองฉายแววบ้าคลั่ง
สวี่ชิงถอนหายใจ เขารู้ว่านายกองจะทำอะไร นี่ก็เป็นเหตุผลที่ก่อนหน้านี้เขาปกปิดเรื่องพระจันทร์สีม่วง
“ในเมื่อเจ้าตอนนี้เป็นของจริงจนไม่รู้จะจริงอย่างไร พวกเรามิสู้ไปตำหนักเทวะ ฟ้าทมิฬ จากนั้นก็ให้ตำหนักเทวะฟ้าทมิฬส่งพวกเราไปเผ่าฟ้าทมิฬ…
“ยันต์ซ่อนอำพรางในตัวข้ามีผลมากที่สุดอีกแค่เดือนครึ่งเท่านั้น หากหมดอำนาจแม้กลิ่นอายของข้าจะไม่เปลี่ยน แต่ก็ถูกสืบออกมาได้ โดยเฉพาะ…เทพในพระจันทร์ สีชาดนั่น แค่มองข้าเพียงผาดเดียวข้าก็ตายแล้ว”
สวี่ชิงส่ายหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว
นายกองกลัดกลุ้ม แค่เขาก็รู้ว่าทำแบบนั้นไม่ใช่บ้าระห่ำแต่เป็นรนหาที่ตาย ดังนั้นหลังจากนิ่งเงียบก็กัดฟันกรอด
“พรุ่งนี้พวกเราพาคนไปหาผลมรรคาต่อ แม้ส่วนมากจะยังไม่สุก แต่ก็สนใจอะไรมากไม่ได้แล้ว ไปหาผลที่สุกในเขตอื่น
“จากนั้นรออีกสองสามวัน อาชิงน้อย ผลมรรคาเป็นแค่เรื่องหนึ่งเท่านั้น ของดีจริงๆ คือเซียนแท้สิบลำไส้นั่น โอกาสของพวกเราตอนนี้หาได้ยากนัก!”
สวี่ชิงลังเล กัดฟันพูด
“อย่างมากสามวัน”
นายกองได้ยินดวงตาฉายแววบ้าคลั่งพยักหน้า
“ได้ อย่างมากห้าวัน!
“นอกจากนี้พรุ่งนี้ข้าจะปล่อยข่าวออกไป ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว พวกเขาอยากจะสงสัยก็สงสัยไป อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นของจริง ข้าจะปล่อยข่าวบอกรัฐพวกนั้นว่าพวกเราประทานพรให้ได้ แต่ต้องเอาของมีค่ามาแลก!”
นายกองดวงตาแดงนิดๆ
สองวันหลังจากนั้น ในตอนที่สวี่ชิงกับนายกองแยกกัน คนหนึ่งไปเก็บผลมรรคาอย่างสุดกำลัง อีกคนออกไปข้างนอกปล่อยข่าวเรื่องประทานพร ในเมืองหลวงราชวงศ์สายลมสวรรค์หนึ่งในสี่ราชวงศ์แห่งเผ่าฟ้าทมิฬ คนกลุ่มหนึ่งของรัฐยอดฟ้าก็ส่งข้ามมาถึง
ผู้นำคือราชครูรัฐยอดฟ้าตนนั้นนั่นเอง มู่เยี่ยก็เป็นหนึ่งในนั้น ทันทีที่พวกเขามาถึงราชวงศ์สายลมสวรรค์ก็รายงานเรื่องเผ่าฟ้าทมิฬทันที
เรื่องนี้เดิมไม่ได้สร้างความสนใจให้กับราชวงศ์สายลมสวรรค์ อย่างไรเสีย สำหรับชนชั้นสูงของสี่ราชวงศ์เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ เผ่าฟ้าทมิฬทั่วไปพวกเขาล้วนไม่สนใจ แต่หลังจากที่รัฐยอดฟ้าฎีกาขึ้นมา หน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบมู่เยี่ย หลังจากตรวจสอบเป็นชั้นๆ ผลลัพธ์ที่น่าตื่นตะลึงเรื่องแล้วเรื่องเล่ารายงานขึ้นมาไม่ขาดสาย เรื่องนี้ก็ค่อยๆ สร้างระลอกคลื่นขึ้นในราชวงศ์
“กลิ่นอายฟ้าทมิฬเข้มข้นจนถึงขั้นหนึ่ง กระทั่งว่ายังเหนือยิ่งกว่านั้น!”
“ผลตรวจสายเลือดทั้งหมดล้วนเป็นของจริง ได้รับการประทานพรอย่างแท้จริง!”
“ต่อให้เป็นตำหนักเทวะฟ้าทมิฬก็ไม่สามารถเลื่อนชนชั้นจากชั้นที่สี่เป็นชั้นที่หนึ่งได้!”
“นี่ไม่ใช่การประทานพรธรรมดาๆ นี่คือเทวะประทานพร!”
หลังจากผลการตรวจสอบรายงานขึ้นไปเป็นชั้นๆ ระดับสูงและเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์สายลมสวรรค์คิดอย่างไร คนนอกไม่รู้ แต่ไม่นานนักก็มีราชโองการลงมาสองฉบับ
ราชโองการแรกคือสั่งให้คนส่งมู่เยี่ยไปตำหนักเทวะฟ้าทมิฬ ขอให้ตำหนักเทวะตรวจสอบและชี้แนะ
ราชโองการที่สองคือส่งองครักษ์ชุดดำให้เดินทางไปรัฐยอดฟ้าทันที เบื้องหน้าคืออารักขา เบื้องหลังจับตาดู แต่ห้ามมิให้ทำการเสียมารยาทเป็นอันขาด