บทที่ 541 วิสัยทัศน์กว้างไกล จิตใจเอื้ออารี
ศิษย์พี่สามสาวเท้าเดินผ่านฝูงชนสองสามก้าว ท่ามกลางสายตาแปลกๆ ของผู้บำเพ็ญเมืองหลวงเขตปกครอง ก็กระโดดขึ้นมาบนเรือศึกบรรพกาล คุกเข่าคารวะเบื้องหน้านายท่านเจ็ด
“ท่านอาจารย์ ครั้งนั้นท่านบอกกับศิษย์ว่าความรักคือความทุกข์ จึงมอบหมวกอักษรต้องห้ามนี้ให้ศิษย์ วันนี้ศิษย์หยั่งใจกระจ่าง ปล่อยวางได้แล้ว จึงขอร้องอาจารย์ให้ศิษย์ได้กลับไป”
ขณะที่เสียงของศิษย์พี่สามคร่ำครวญก็แฝงแววนุ่มนวล กล่างจบก็ยิ้มให้สวี่ชิง เพียงแต่เขาในสภาพเช่นนี้ ยิ้มออกมาน่าเกลียดยิ่ง ไม่สง่างามเฉกเช่นในอดีตแล้ว
ขณะเดียวกัน เหล่าศิษย์ชายหญิงสำนักเซียนล้ำบารมีที่อุ้มเด็กๆ อยู่ตามมาด้วยสัญชาตญาณ แต่เห็นสายตาจับจ้องของเหล่าผู้ครองกระบี่ จงหยุดเท้าที่ด้านหน้าเรือศึกบรรพกาล
“เพิ่งจะแปดคน ยังไม่พอ รอให้ได้เก้าสิบเก้าคนแล้วค่อยกลับสำนักแล้วกัน”
นายท่านเจ็ดเอ่ยเสียงเรียบ สะบัดแขนเสื้อ ร่างของศิษย์พี่สามม้วนลอยกลับไป ถูกไล่ออกไปนอกเรือศึกบรรพกาล
กลางอากาศ ศิษย์พี่สามถอนหายใจ คุกเข่าคารวะไปทางเรือศึกบรรพกาลไม่ยอมลุกต่อหน้าคนทั้งหมด
เรือศึกบรรพกาลนี้ก็ลอยไปเบื้องหน้าด้วยการสนับสนุนของนายท่านเจ็ด
ส่วนผู้อาวุโสใหญ่โถงครองกระบี่ รวมถึงบรรพจารย์ลัทธินอกวิถีและสำนักเซียนล้ำบารมี ก็ถูกเชิญขึ้นมา
ขณะที่อยู่ในหอคอย พวกเขาก็รายงานสถานการณ์ของแต่ละสำนักกับนายท่านเจ็ด และผู้อาวุโสโถงครองกระบี่รายงานการฟื้นฟูมณฑลรับเสด็จราชันในช่วงครึ่งเดือนนี้
ระหว่างนี้ สวี่ชิงยืนอยู่ข้างๆ ตลอด เขามองศิษย์พี่สามที่ไกลออกไปเรื่อยๆ หลายครั้ง
ศิษย์พี่สามเอาแต่คุกเข่าอยู่ตรงนั้น คู่ฝึกเต๋าด้านหลังก็เช่นกัน
ส่วนบรรพจารย์สองสำนักที่รายงานสถานการณ์กับนายท่านเจ็ดก็กำลังลอบสังเกตสวี่ชิง พวกเขารู้ฐานะสวี่ชิงในเขตปกครองผนึกสมุทรเป็นอย่างดี
“ใต้เท้าปลัดเขตปกครอง ตอนนี้การซ่อมแซมและการก่อสร้างใหม่ในมณฑลรับเสด็จราชันสำเร็จไปแล้วเจ็ดส่วน คาดว่าอีกประมาณครึ่งเดือนจะแล้วเสร็จ นอกจากนี้ร่างทดสอบเทพเจ้าครึ่งร่างนั้นที่ท่านสั่งก่อนหน้านี้ก็เตรียมการเรียบร้อยแล้วขอรับ”
สวี่ชิงสีหน้านอบน้อม เขาเคารพผู้อาวุโสใหญ่คนนี้มาโดยตลอด
เมื่อนายท่านเจ็ดได้ยินก็มอบหมายงานไปอีกหลายคำ ผู้อาวุโสใหญ่โถงครองกระบี่จากไป บรรพจารย์ลัทธินอกวิถีก็จากไปอย่างนอบน้อมเช่นกัน
มีเพียงบรรพจารย์สำนักเซียนล้ำบารมี หรือก็คือศิษย์น้องของนักพรตซือหนาน ตอนนี้ยืนชั่งใจอยู่ตรงนั้น หันหน้ากลับไปมองศิษย์พี่ที่อยู่ด้านนอกตามสัญชาตญาณ
นักพรตซือหนานสีหน้าไร้อารมณ์
บรรพจารย์สำนักเซียนล้ำบารมี ประสานหมัดไปทางนายท่านเจ็ด
“ใต้เท้าปลัดเขตปกครอง องค์ชายสามเขา…”
“นั่นเป็นเรื่องสำนักเซียนล้ำบารมีของพวกเจ้า และข้าเคยจะรับตัวเขามาจากพวกเจ้าแล้ว แต่ตอนนั้นเจ้าแจ้งกับข้าไม่ใช่หรือว่าเขาสร้างเรื่องทำผิดมหันต์ ย่อมต้องถูกลงโทษ”
นายท่านเจ็ดเอ่ยเสียงราบเรียบ
“แม้ข้าจะเป็นปลัดเขตปกครองก็ไม่อาจเล่นพรรคเล่นพวก ใช้อำนาจเบียดเบียนผู้อื่นได้ ในเมื่อเจ้าสามของข้ามีความผิด หากคู่ฝึกเต๋าแปดคนยังลงโทษไม่สาสม เช่นนั้นเก้าสิบเก้าคนแล้วกัน ให้เขาได้รับบทเรียนเสียบ้าง”
เมื่อบรรพจารย์สำนักเซียนล้ำบารมีได้ยินก็ขมขื่น เขารู้ว่าการกระทำของตนในตอนนั้นทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ และวันนี้จะไม่พาองค์ชายสามมาก็ไม่ได้ ถึงอย่างไรอาจารย์เขาก็กลายเป็นปลัดเขตปกครองแล้ว หากสำนักเซียนล้ำบารมียังคงดื้อรั้น จะต้องเจอกับหายนะแน่นอน
ดังนั้นภายใต้ความจำใจ เขาจึงทำได้แค่มอบยาบำรุงมากมายให้อีกฝ่าย แต่ยังยากที่จะปกปิดความจริงที่ถูกควักจนกลวง
ตอนนี้จึงทำได้แค่กัดฟันกล่าว
“ใต้เท้าปลัดเขตปกครอง พวกเราสำนักเซียนล้ำบารมีไม่ได้มีธิดาเทพมากปานนั้น…”
“นั่นเป็นเรื่องของพวกเจ้า จำเอาไว้ การลงโทษเจ้าสาม จะต้องมีฐานและสายเลือดของธิดาเทพเท่านั้น ส่งแขก”
นายท่านเจ็ดสีหน้าไร้อารมณ์
บรรพจารย์สำนักเซียนล้ำบารมียังคิดจะกล่าวอะไรอีก แต่เมื่อเห็นว่านายท่านเจ็ดสายตาฉายประกายเยือกเย็น จึงลอบถอนใจ รู้สึกหดหู่และรู้สึกว่าเหมือนเป็นความฝัน
ความจริงเขาคิดไม่ถึงเลยว่าเดิมเจ้าสำนักเล็กๆ สำนักหนึ่งที่ตนไม่ได้สนใจ จะกลายเป็นปลัดเขตปกครองในชั่วข้ามคืนได้อย่างไร ทั้งยังเก็บงำพลังบำเพ็ญเอาไว้ลึกล้ำเช่นนี้
และเรื่องนี้ เขารู้ดีว่าต้องคลี่คลาย ไม่เช่นนั้นอนาคตของสำนักเซียนล้ำบารมีในเขตปกครองผนึกสมุทรคงจะยากลำบากมากเป็นแน่
บรรพจารย์สำนักเซียนล้ำบารมีกระวนกระวาย แต่ก็ทำได้เพียงจากไป ตอนที่เดินผ่านนักพรตซือหนานศิษย์พี่ของเขาด้านนอกหอคอย เขาก็อ้าปากเหมือนจะเอ่ยอะไร
“อย่าได้ปรารถนาสิ่งของของผู้อื่น สิ่งที่ต้องคืนก็คืนไปเสียเถิด”
นักพรตซือหนานเอ่ยราบเรียบ
บรรพจารย์สำนักเซียนล้ำบารมีเงียบนิ่งไปสองสามอึดใจ ราวกับว่าแก่ลงเล็กน้อย ออกจากเรือศึกบรรพกาลอย่างอ้างว้าง
ในหอคอย จากการที่เรือศึกบรรพกาลลอยไปยังพันธมิตรแปดสำนัก นายท่านเจ็ดยืนอยู่ตรงนั้นไม่พูดจา
จนผ่านไปหนึ่งก้านธูป สวี่ชิงที่ลังเล เอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบา
“ท่านอาจารย์ ศิษย์พี่สามทางนั้น…”
“ไม่ต้องสนใจเขา!” นายท่านเจ็ดแค่นเสียงเย็นชา
“จิตใจของเจ้าสามล้ำลึกมาตลอด ทำอะไรล้วนมีผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง ยิ่งชอบเก็บเรื่องราวไว้ในใจและพยายามอดทนอดกลั้น ทั้งอารมณ์ไม่แน่ไม่นอน
“เจ้าคิดว่าไยเขาถึงต้องไปยั่วโมโหธิดาเทพสำนักเซียนล้ำบารมีเล่า ไยต้องทำเรื่องอย่างการหนีการแต่งงาน เขาไม่รู้หรือว่าเมื่อสำนักเซียนล้ำบารมีรู้ตัวตนเขา ต้องจับเขากลับไปแน่นอน
“ทุกเป้าหมายของเขา ก็ทำเพื่อให้สำนักเซียนล้ำบารมีมาจับเขากลับไป จับกลับไปด้วยวิธีที่เขาต้องการ”
นายท่านเจ็ดเอ่ยอย่างกระตุ้นความคิด ทั้งเอ่ยกับสวี่ชิง และกล่าวกับนักพรตซือหนานที่อยู่ด้านนอกหอคอยด้วย
นักพรตซือหนานเงียบนิ่ง
สวี่ชิงครุ่นคิด ในคำพูดของอาจารย์มีข้อมูลสำคัญหนึ่ง นั่นก็คือ…ตัวตนของศิษย์พี่สาม
สังเกตเห็นความสงสัยของสวี่ชิง นายท่านเจ็ดก็เอ่ยเสียงเรียบ
“เดิมทีมณฑลรับเสด็จราชันไม่มีอะไรพิเศษ จนหมื่นปีก่อนจักรพรรดิภูตนั่งมรณภาพอยู่ที่นี่ ร่างหล่อเลี้ยงดินแดนทั้งมณฑล สามจิตกลายเป็นไตรวิญญาณ เจ็ดวิญญาณกลายเป็นเจ็ดพิฆาต สายโลหิตหล่อเลี้ยงสรรพชีวิต หลักคำสอนกระจัดกระจาย ทำให้แต่ละสำนักค่อยๆ รุ่งโรจน์ จึงทำให้มณฑลรับเสด็จราชันไม่เหมือนเดิม
“สำนักเซียนล้ำบารมีในบรรดานี้มีหลักคำสอนมากที่สุด เชี่ยวชาญเขตแดนจิต ดังนั้นสำนักเล็กๆ ไม่โดดเด่นในตอนนั้นก็กลายเป็นสำนักอันดับหนึ่งของมณฑลรับเสด็จราชันในปัจจุบันอย่างก้าวกระโดด
“เพราะว่าปีนั้นที่จักรพรรดภูตแตกดับในท่านั่งสมาธิ ในสำนักเซียนล้ำบารมีก็ให้กำเนิดทารกคนหนึ่ง เขากำเนิดขึ้นจากการที่สายเลือดจักรพรรดิภูตรวมตัวเข้ากับฟ้าดิน จากนั้นเขาก็นำพาสำนักเซียนล้ำบารมีผงาดขึ้นมา แม้ดับสูญไป แต่ก็ทิ้งสายเลือดเอาไว้
“สายเลือดนี้ ถูกเข้าใจว่าเป็นลูกหลานของจักรพรรดิภูต และจะเป็นผู้นำสำนักเซียนล้ำบารมีทุกยุคสมัย”
“เพียงแต่สายเลือดก็เข้มข้นน้อยลงทุกยุค จนเสียตำแหน่งไป แต่บางครั้งก็ยังมีผู้ที่สายเลือดเข้มข้นปรากฏตัวขึ้น ศิษย์พี่สามของเจ้า คือลูกหลานจักรพรรดิภูตผู้มีสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวของยุคนี้
“สามสิบปีก่อน ศิษย์พี่สามของเจ้าถือกำเนิด จากสายเลือดเข้มข้นที่แสดงออกมา ตอนที่เขาอายุได้สิบกว่าปี มีคนในสำนักเซียนล้ำบารมีอยากหลอมเขาให้กลายเป็นสมบัติ แต่เขาหนีออกมาได้ด้วยการช่วยเหลือของผู้สนับสนุน ต่อมา ก็กลายเป็นศิษย์คนที่สามของข้า
“ทว่าใจที่อยากแก้แค้นของเขาแรงกล้า รอได้ไม่นานนัก จึงใช้แผนการและการเตรียมการที่ทำมานานปี กลับไปที่สำนักเซียนล้ำบารมี
“เขาไม่กลัวตาย ดูคล้ายเผ่ามนุษย์ แต่จริงๆ ไม่ใช่เผ่ามนุษย์ สายเลือดพรสวรรค์ของเขาทำให้หลังจากที่เขาตาย สามารถไปฟื้นคืนชีพในทายาทคนใดก็ได้ เพียงแต่จะฟื้นคืนจิตสำนึกได้ยากมาก ดังนั้นหลายปีก่อนศิษย์พี่สามของเจ้าจึงมั่วนารีอยู่ในทะเลต้องห้ามนับไม่ถ้วน มีทายาทไปไม่รู้มากมายเท่าไร เกรงว่าตัวเขาเองก็ไม่รู้
“ที่เขาทำก็เพื่อให้บรรพจารย์คนก่อนๆ ทั้งหมดที่มีความเป็นไปได้ที่จะฟื้นคืนชีพกลับมา ใช้สิ่งที่ตระเตรียมมานี้โค่นล้มพลังของสำนักเซียนล้ำบารมี และสักวันก็จะมีบรรพจารย์คนก่อนๆ ฟื้นคืนชีพขึ้นมาในร่างตัวเขาเองเช่นกัน สิ่งต้องห้ามบนศีรษะเขาจึงเกิดขึ้นด้วยเหตุนี้ แต่พลังบำเพ็ญอาจารย์มีขีดจำกัด จะช่วยเขาสะกดได้หรือไม่ก็ไม่ทราบได้
“สำนักเซียนล้ำบารมีรู้ทุกอย่างนี้ แต่ก็ยังคงส่งคู่ฝึกเต๋ามาทำให้ผนึกต้องห้ามอ่อนกำลังลงเสมอ คิดดูแล้วคงจะมีวิธีหลอมสายเลือดและวิธีพลิกกระดานอย่างอื่น แต่สุดท้ายแล้วนี่เป็นการกระทำที่ไม่มีสัจจะ หากไม่ใช่ศิษย์ของข้า ข้าก็คร้านจะสนใจใจ แต่นี่เป็นศิษย์ของข้า ก็ไม่เหมือนกันแล้ว
“วิธีการฟื้นฟูความสัมพันธ์ ต้องให้สำนักเซียนล้ำบารมีพิจารณาเอง แต่มีอยู่จุดหนึ่ง ศิษย์ของข้าเคยโขกศีรษะให้กับข้าแล้ว ดังนั้นข้าก็จะปกป้อง ใครกล้าแตะต้องเขา ข้าจะทำลายสำนักทำลายชนเผ่าของมันเสีย”
นายท่านเจ็ดเอ่ยเสียงเรียบ หลังจากสวี่ชิงได้ยินก็ใจสั่นสะท้าน พรสวรรค์เช่นนี้ของศิษย์พี่สาม คล้ายกับการสิงร่างของเผ่าพรางมารยา แต่ชั่วร้ายกว่า
นักพรตซือหนานที่อยู่ด้านนอกหอคอย ไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้ ในฐานะที่เป็นบรรพจารย์ยุคก่อนของสำนักเซียนล้ำบารมี เขาย่อมรู้เรื่องราวมากมาย ดังนั้นหลังจากเงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาก็หันไปคารวะทางหอคอย
“ปลัดเขตปกครอง เรื่องนี้เป็นความผิดศิษย์น้องของข้า ข้าจะให้เขากล่าวคำที่น่าพึงพอใจออกมาแน่นอน”
นายท่านเจ็ดไม่พูดอะไร
สวี่ชิงเงียบนิ่ง เรื่องนี้ในจุดยืนของเขา กล่าวอะไรมากไม่ได้
เป็นเช่นนี้ เรือศึกบรรพกาลส่งเสียงหวีดหวิว หลังจากผ่านภูเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัย ก็แล่นไปตามลำน้ำสาขาของแม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเทพ ตรงไปยังทะเลต้องห้าม จนกระทั่งพันธมิตรแปดสำนักปรากฏขึ้นตรงหน้า
เสียงระฆังยี่สิบเอ็ดครั้งสั่นสะเทือนท้องนภา นี่คือพิธีการขั้นสูงสุด เป็นตัวแทนของความนอบน้อมสูงสุดของพันธมิตรแปดสำนัก
ท่ามกลางเสียงระฆังดังก้องนี้ ประธานพันธมิตรแปดสำนักรวมถึงบรรพจารย์สำนักต่างๆ ทั้งหมดมารอรับด้านนอกสำนัก
เสี่ยเลี่ยนจื่อ จื่อเสวียนก็อยู่ในนี้ด้วย
สีหน้าเสี่ยเลี่ยนจื่อฉายแววภาคภูมิใจ บนใบหน้าจื่อเสวียนฉายแววอ่อนโยน
บรรพจารย์สำนักอื่นก็เป็นเช่นนี้ มีเพียงบรรพจารย์สำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าที่สีหน้าอ้างว้าง
ส่วนสีหน้าอ่อนโยนของประธานพันธมิตรแปดสำนัก มองความยินดีหรือโกรธเคืองไม่ออกแม้แต่น้อย มีเพียงพริบตาเดียวที่เรือศึกบรรพกาลปรากฏก็เหม่อลอยและซับซ้อน ทว่าไม่นานก็กลับเป็นปกติ คารวะไปทางเรือศึกบรรพกาลอย่างนอบน้อม
คนอื่นๆ ก็ล้วนโค้งคำนับ
ในเมืองหลักแปดสำนักแขวนโคมไฟหลากสี สีหน้าของศิษย์นับไม่ถ้วนฮึกเหิม มองไปบนท้องฟ้าอย่างรอคอย โดยเฉพาะศิษย์ของเจ็ดเนตรโลหิตในนี้ล้วนภาคภูมิใจเหลือล้น เปี่ยมไปด้วยพลัง
“ยินดีต้อนรับปลัดเขตปกครอง อาลักษณ์สวี่”
ขณะที่เสียงของแปดสำนักดังก้องไปทั้งขอบฟ้า เสียงหัวเราะของเสี่ยเลี่ยนจื่อชัดเจนอย่างมากในนั้น
นายท่านเจ็ดสะกดเรื่องศิษย์ลำดับสามลงไป คลี่รอยยิ้ม พาสวี่ชิงเดินออกจากเรือศึกบรรพกาล เดินไปทางพันธมิตรแปดสำนัก
มองใบหน้าที่คุ้นเคยทั้งหลายตรงหน้า โดยเฉพาะตอนที่เห็นจื่อเสวียน ในใจสวี่ชิงก็เกิดระลอกคลื่นเล็กน้อย คิดถึงตะเกียงในแดนต้องห้ามเซียนขึ้นมา
จากการเข้าใกล้ นายท่านเจ็ดพาสวี่ชิงเดินไปคารวะเสี่ยเลี่ยนจื่อ
เสี่ยเลี่ยนจื่อหน้าแดงไปหมด ราวกับว่าตอนนี้ คือช่วงที่รุ่งโรจน์ของชีวิตเขา เสียงหัวเราะดังก้องไปทั้งแปดทิศ
จากนั้นก็เป็นการทักทายปราศรัยทุกคนของนายท่านเจ็ด
ครั้งนี้สวี่ชิงหลบออกไปไม่ได้แล้ว ฐานะของเขาไม่ใช่ผู้สืบทอดมรรคาอีกต่อไป ในฐานะเจ้าเขตปกครองในอนาคตที่รู้กันถ้วนทั่ว เขาต้องอยู่กับนายท่านเจ็ด เพราะว่านี่จะเป็นสถานการณ์ที่เขาต้องพบเจอเป็นประจำที่เขตปกครองผนึกสมุทรในอนาคต
พิธีต้อนรับกินเวลายาวไปถึงหนึ่งชั่วยามกว่าจึงสิ้นสุดลงเช่นนี้ ด้วยความนอบน้อมของประธานพันธมิตรแปดสำนัก นายท่านเจ็ดกับสวี่ชิงก็จากไป ตามเสี่ยเลี่ยนจื่อไปที่สำนักเจ็ดเนตรโลหิต
ที่กลับมาด้วย ยังมีผู้ครองกระบี่เมืองหลวงเขตปกครองอีกหนึ่งพันคน พวกเขาจะคอยคุ้มกันอยู่ในสำนัก
ส่วนชิงฉิน มันนอนอยู่บนชั้นเมฆบนท้องฟ้า สายตามองไปทางทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ
‘จะไปหาพี่ใหญ่ดีหรือไม่’
บนผืนแผ่นดิน จื่อเสวียนมองไปยังกลุ่มคนของสวี่ชิงที่เดินไปไกล นางรู้ว่าพวกเขาที่เพิ่งกลับมามีเรื่องมากมายที่ต้องสะสาง ตนไปหาตอนนี้คงจะไม่เหมาะนัก
ขณะที่มีความสุขอยู่นี้ นางก็จะกลับสำนักโลกันต์ทมิฬ แต่สายตาก็กวาดมองที่ประธานพันธมิตรข้างๆ เมื่อเห็นว่าสายตาซับซ้อนของอีกฝ่าย จึงหัวเราะขึ้นมาเบาๆ กลายเป็นสายรุ้งยาวจากไป
แม้จะไม่พูดอะไรออกมา แต่เสียงหัวเราะนี้ ก็แสดงความนัยออกมาทั้งหมดอย่างไม่ต้องสงสัย
ประธานพันธมิตรแปดสำนักเงียบนิ่ง เสียงหัวเราะดังก้องในใจเขา แสบหูอย่างยิ่ง ทำให้ความซับซ้อนที่เขาสะกดลงไปปะทุขึ้นอีกครั้ง
ครู่ต่อมา ประธานพันธมิตรแปดสำนักหลับตาลง ขณะที่ลืมขึ้นอีกครั้งก็ยังคงดูอ่อนโยน
เขาต้องรักษาภาพลักษณ์นี้เอาไว้
ถึงอย่างไรตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ เขาก็ไม่ได้แสดงเจตนาร้ายกับชิงรวมถึงเจ็ดเนตรโลหิตออกมาในที่แจ้งเลย
ดังนั้น การรักษาความอ่อนโยนไว้จึงเป็นลักษณะพื้นฐานของเขา
นี่ก็เป็นรูปแบบการแสดงอย่างหนึ่งของมนุษญ์
อันที่จริงโลกใบนี้ความชั่วร้ายมากมายล้วนอยู่ในจิตใจ ส่วนจะปิดซ่อนได้นานเท่าไร ต้องดูว่าโลกภายนอกลิขิตสถานการณ์ให้ปลดปล่อยออกมาหรือไม่
บางคนที่ซ่อนไว้ได้หลายปี บางคนที่อาจซ่อนไว้ได้ทั้งชีวิต กระทั่งเก็บซ่อนไว้ไปจนตาย
ไม่รู้ว่าประธานพันธมิตรแปดสำนักจะเก็บซ่อนได้นานเท่าไร
และในเจ็ดเนตรโลหิตเวลานี้ สวี่ชิงกำลังรินชาให้บรรพจารย์เสี่ยเลี่ยนจื่อ
อาการบาดเจ็บของเสี่ยเลี่ยนจื่อยังไม่ฟื้นฟูสมบูรณ์ ระลอกคลื่นอารมณ์วันนี้ทำให้หน้าเขาแดงก่ำไปหมด แม้จะส่งเสียงไอออกมาบ้างบางครั้ง แต่วันที่กระปรี้กระเปร่าถึงเพียงนี้ไม่ได้เจอมานานมากแล้ว
“ดีๆๆ!”
เมื่อเห็นสวี่ชิงรินชาให้ เสี่ยเลี่ยนจื่อก็รับมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ดื่มจนเกลี้ยงในรวดเดียว ไม่เหลือสักหยด ดวงตาฉายแววพึงพอใจและชื่นชม เอ่ยเสียงดัง
“เจ้าเจ็ด เจ้ารับศิษย์คนนี้มาได้ดีจริงๆ หากไม่มีศิษย์คนนี้ เจ้าก็ไม่มีทางได้เป็นปลัดเขตปกครองหรอก ครั้งนี้นับว่าเจ้ายืมแสงของศิษย์เจ้ามา”
นายท่านเจ็ดที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินก็ภาคภูมิใจ
“ดังนั้น ข้าแนะนำให้เจ้าไล่พวกศิษย์คนอื่นออกให้หมด เหลือไว้แค่เจ้าสี่กับเจ้าสองก็พอแล้ว
“เจ้าใหญ่กับเจ้าสาม สองคนนี้ไม่ได้เรื่อง เห็นแล้วขัดหูขัดตา”
สวี่ชิงก้มหน้าไม่พูดจา เขาได้ยินคำพูดพวกนี้จากปากเสี่ยเลี่ยนจื่อมาหลายครั้งแล้ว
“ที่บรรพจารย์พูดมาก็มีเหตุผล เรื่องนี้ไว้ข้าจะกลับไปขบคิด” นายท่านเจ็ดพยักหน้า เอ่ยด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเอ่ยต่อว่า
“บรรพจารย์ เรื่องที่ข้าพูดกับท่านก่อนหน้านี้เล่าขอรับ”
“ข้าไม่ไปหรอก แต่ข้าสนับสนุนให้เจ้าย้ายเจ็ดเนตรโลหิตไปที่เมืองหลวงเขตปกครองนะ” เสี่ยเลี่ยนจื่อวางจอกชา มองนายท่านเจ็ด สีหน้าฉายแววทอดถอนใจ
“เจ็ดเนตรโลหิตพัฒนามาจนถึงวันนี้ได้ไม่ง่ายเลย แต่หลายปีมานี้ข้าเคยเห็นการขึ้นไปจุดสูงสุด เคยเห็นยอดเขาถล่มลงมา พวกเราต้องเตรียมพร้อมสิ่งต่างๆ มากมายเอาไว้ เผื่อเกิดเรื่องไม่คาดฝัน
“ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ เป็นรากฐานแรกของเรา มีเจ้าสองของเจ้าอยู่ ข้าก็วางใจ
“แต่มณฑลรับเสด็จราชัน จะไร้คนนั่งปกครองไม่ได้ นี่คือรากฐานที่สองของเจ็ดเนตรโลหิตเรา และเป็นการคุ้มครองหนึ่งชั้นด้วย
“เมืองหลวงเขตปกครอง คือรากฐานที่สามที่พวกเจ้าศิษย์อาจารย์ไปบุกเบิกมา
“เมื่อเป็นเช่นนี้ หากเกิดปัญหาขึ้นในอนาคต มณฑลรับเสด็จราชาที่นี่ก็จะเป็นทางหนีทีไล่ของพวกเจ้า ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณยิ่งเป็นทางหนีทีไล่ของพวกเจ้าด้วย
“มีเพียงเช่นนี้ ถึงจะสามารถปกป้องกิจการพื้นฐานเจ็ดเนตรโลหิตของข้าไว้ให้คงอยู่ชั่วนิรันดร์ได้”
สายตาเสี่ยเลี่ยนจื่อล้ำลึก อายุกับประสบการณ์ของเขาทำให้มองเรื่องความมั่นคงเป็นปัจจัยแรก
ขณะที่นายท่านเจ็ดทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้เช่นกัน
เห็นว่าทั้งสองคนจะพูดคุยกันต่อ สวี่ชิงจึงลุกขึ้นขอตัว หลังเดินออกจากตำหนักใหญ่ เขาเดินอยู่ในสำนักที่คุ้นเคย ระหว่างทางก็พบกับศิษย์ร่วมสำนักในอดีตบางคน
เห็นสิ่งเหล่านี้ สวี่ชิงก็หันหน้าไปมองด้านหลัง
ด้านหลังเขาห่างออกไปร้อยจั้ง เจ้าใบ้น้อยกำลังยืนอยู่ตรงนั้น มองสวี่ชิงอย่างไม่วางตา และเหมือนกับเมื่อก่อน ทุกครั้งที่สวี่ชิงกลับมา เขาก็จะปรากฏตัวคุ้มกันให้เงียบๆ
สวี่ชิงพยักหน้าให้ หันหลังเดินต่อไปยังสุสานของนายท่านหก ไม่นานนักก็มาถึง มองป้ายสุสาน ใบหน้าของนายท่านหกก็ผุดขึ้นมาในสมองสวี่ชิง
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ล้วงกาสุรากาหนึ่งออกมา เทลงไปบนหลุมศพ
“นายท่านหก นกเขาราตรีตายแล้วนะขอรับ”
สวี่ชิงเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“น่าเสียดายที่หัวของมันเละเป็นเศษเนื้อ นำกลับมาไม่ได้
“แต่ก็ไม่เป็นไร ในอนาคตข้าจะรักษาหัวของจื่อชิงให้ดี จะเก็บกลับมาในสภาพสมบูรณ์ที่สุด”
สวี่ชิงพึมพำ ยืนอยู่หน้าหลุมศพนายท่านหกเนิ่นนาน งูขาวตัวน้อยก็เลื้อยออกมาจากในแขนเสื้อไปบนคอของสวี่ชิง ถูไถกับแก้มสวี่ชิงเบาๆ เหมือนกำลังปลอบประโลม
จนกระทั่งดวงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า สวี่ชิงจึงลุกขึ้นคารวะก็จากไป
เดินอยู่บนบันไดสำนัก เขาก็ได้พบกับคนคุ้นเคยคนหนึ่ง
เป็นหญิงสาววัยแรกแย้มคนหนึ่ง สวมชุดนักพรตสีส้มเหลือง หน้าตาสะสวย ร่างแผ่กลิ่นหอมยาลูกกลอนออกมา เพียงแต่สีหน้าเศร้าสร้อย เหมือนมีอารมณ์มากมายทับถมอยู่ในใจ ไม่อาจสลายออกไปได้
หลังจากเห็นสวี่ชิง นางก็รู้สึกไม่สบายอย่างชัดเจน
“ศ…ศิษย์พี่สวี่ชิง”
“ศิษย์น้องกู้ ไม่พบกันนานเลย” สวี่ชิงสีหน้าปกติ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
หญิงสาวคนนี้ คือกู้มู่ชิง
ได้ยินเสียงของสวี่ชิง กู้มู่ชิงก็สติหลุดลอย ราวกับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยืนอ้ำอึ้วอยู่ตรงนั้น สวี่ชิงก็ค่อนข้างประหลาดใจ รออยู่ครู่หนึ่งจึงเลือกจากไป
จนสวี่ชิงเดินไปไกล กู้มู่ชิงจึงก้มหน้าลง บางคำพูด นางก็ไม่กล้าที่จะพูดมันออกมา
ที่ไกลๆ หลิงเอ๋อร์เลื้อยออกมาจากแขนเสื้อสวี่ชิง มองไปทางกู้มู่ชิง ดวงตาฉายแววสงสัยใคร่รู้
“พี่สวี่ชิง ข้ารู้สึกว่าพี่สาวตัวน้อยคนนั้น เมื่อครู่คล้ายจะประหม่ามาก ทำท่าอยากจะพูดอะไร นางเป็นอะไรหรือเปล่า พวกเราไปถามดูดีหรือไม่เจ้าคะ”
สวี่ชิงส่ายหน้า
“ไม่น่าจะมีเรื่องใหญ่อันใดหรอก ไว้ข้าไปถามจากอาจารย์ก็ได้”
“เจ้าค่ะ หากมีเรื่องลำบากอยู่จริงๆ พี่สวี่ชิงของพวกเราสามารถช่วยได้”
หลิงเอ๋อร์ผงกหัว
ช่วงนี้สวี่ชิงสัมผัสความโอบอ้อมอารีของหลิงเอ๋อร์ได้ จึงยิ้มเห็นด้วย และเดินออกจากสำนักไปไกลเรื่อยๆ
ตอนที่ร่างของสวี่ชิงหายลับไป ข้างกายกู้มู่ชิงก็มีเสียงถอนหายใจ อาจารย์ของนางเดินออกมา โอบกอดกู้มู่ชิงไว้ในอก
“ท่านอาจารย์”
เห็นอาจารย์ที่เปรียบเสมือนมารดา กู้มู่ชิงก็ดวงตาแดงรื้น
“เด็กโง่ เจ้ายังมีโอกาสนะ พยายามเข้า!” เมื่ออาจารย์ของกู้มู่ชิงเห็นศิษย์ของตนก็ทำได้แค่ปลอบประโลม
กู้มู่ชิงออกแรงพยักหน้า ดวงตาฉายแววหนักแน่น
ขณะเดียวกัน สวี่ชิงที่ออกจากสำนัก ก็ล้วงแผ่นหยกสื่อเสียงออกมา สื่อเสียงไปหาจางซาน
จางซานรออยู่นานแล้ว พริบตาที่สวี่ชิงส่งสื่อเสียงไป ก็ตอบกลับทันที
“ฮ่าๆ สวี่ชิง ข้าอยู่ที่ท่าเรือนี่”
สวี่ชิงแย้มยิ้ม เก็บแผ่นหยกสื่อเสียง ร่างไหววูบพุ่งไปทางท่าเรือ ไม่นานก็มองเห็นจางซานที่อยู่ตรงนั้น
พลังบำเพ็ญจางซานมาถึงไฟชีวิตดวงที่สามแล้ว อีกทั้งสองปีนี้ที่ไม่ได้พบกันก็ร่ำรวยกว่าแต่ก่อนเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ามีชีวิตที่ดีไม่หยอก รอบๆ ยังมีเหล่าศิษย์หญิงยอดเขาลำดับสองอยู่อีกหลายคน
ไม่รู้ว่าเขาจัดการอย่างไร ความสัมพันธ์กลับดูสมัครสมานสามัคคียิ่ง
เห็นสวี่ชิงมาถึง สีหน้าจางซานก็ฮึกเหิม ก้าวไปกอดสวี่ชิงไว้แน่น หัวเราะเสียงดัง
เขาภูมิใจมากจนไม่อาจพรรณนาออกเป็นคำพูดได้ อันที่จริงช่วงนี้ ขนาดจางซานนั่งสมาธิยังมีรอยยิ้ม เขารู้สึกว่าการลงทุนในครั้งนั้นของตัวเอง งอกงามมาไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า
ใครจะไปคิดว่ากรมปราบพิฆาตตัวเล็กๆ คนหนึ่งในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณในตอนนั้น จะกลายเป็นคนใหญ่คนโตของเขตปกครองผนึกสมุทรได้ ทั้งยังเป็นเจ้าเขตปกครองในอนาคตอีกด้วย
เขากระทั่งจินตนาการออกว่านับแต่วินาทีนี้ ก็นับว่าตนเองในเขตปกครองผนึกสมุทร ก็ประหนึ่งล่องลอยขึ้นไปบนฟ้าแล้ว
สวี่ชิงสัมผัสความตื่นเต้นของจางซานได้ก็ยิ้มออกมาเช่นกัน กลับมาเจอสหายเก่าในเจ็ดเนตรโลหิต เขารู้สึกผ่อนคลายมาก ความเหนื่อยล้าก่อนหน้านี้จากที่ประสบมาทั้งหมดในเมืองหลวงเขตปกครองเบาบางลงไม่น้อย
เขาจึงล้วงเรือศึกเวทของตนออกมาให้จางซาน
“ศิษย์พี่จาง ต้องรบกวนท่านช่วยข้ายกระดับเรือศึกเวทนี้ให้เสียหน่อยแล้วขอรับ”
จากการผ่านเคราะห์ทัณฑ์สวรรค์ครั้งที่หนึ่ง พลังบำเพ็ญของสวี่ชิงก็ยกระดับขึ้นไปถึงปราณก่อนกำเนิดแล้ว ตอนนี้เรือศึกเวทของเขาดูจะไม่ค่อยเหมาะสม สิ่งที่เขาต้องการคือเรือกลวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่าในด้านพลานุภาพ ความเร็วรวมถึงด้านต่างๆ
เรือเล็ก เรือใหญ่ เรือศึก เรือกล
นี่คือระดับเรือทั้งสี่ขั้นของเจ็ดเนตรโลหิต อยู่เหนือเรือกลขึ้นไป ก็คือเรือศึกบรรพกาลอย่างของนายท่านเจ็ด
เพียงแต่เรือศึกบรรพกาลของนายท่านเจ็ด ระดับชั้นสูงยิ่งกว่า
“ไม่มีปัญหา แม้พลังบำเพ็ญข้าจะยังไม่พอ แต่พวกเราตอนนี้มีเงิน ข้าจะไปเชิญผู้อาวุโสยอดเขาลำดับหกมา ข้าจะเป็นผู้นำหลัก ให้พวกเขามาหลอม จะต้องหลอมเรือกลวิญญาณที่ยอดเยี่ยมไร้เทียมทานออกมาได้แน่
“ส่วนเรือศึกเวทของเจ้า มันไม่มีความหมายแล้ว ถ้าจะยกระดับมัน สู้สร้างใหม่เสียจะดีกว่า”
จางซานไม่รับเรือศึกเวท ตบหน้าอก
สวี่ชิงเก็บเรือศึกเวทลงไป คารวะขอบคุณด้วยรอยยิ้ม
“จริงสิสวี่ชิง ส่วนแบ่งของท่าเรือในช่วงหลายปีมานี้อยู่ที่ติงเสวี่ยทางนั้นนะ นางเก็บเอาไว้ให้เจ้า เด็กคนนี้ไม่ยอมเชื่อใจข้าเลย ตรวจเหรียญทีละเหรียญทุกครั้ง ขาดไปสักเหรียญก็โมโหข้า”
จางซานคิดแต่จะสร้างเรือกลวิญญาณ ต่อให้กลางคืนจะมาเยือนแล้วก็ไม่หยุดพัก เริ่มตระเตรียมทันที
ใต้ท้องฟ้าสีราตรี สวี่ชิงเดินอยู่ในเขตท่าเรือ มองแสงที่กระทบกับคลื่นน้ำทะเล เสียงคลื่นน้ำสาดซัดดังมาข้างหู ในสมองก็ผุดภาพชีวิตประจำวันในเจ็ดเนตรโลหิตขึ้นมาทีละฉาก
สักพัก เขาอยู่ที่ท่าจอดเรือของตัวเองในตอนนั้น วางเรือศึกเวทของตนเอง เดินขึ้นไป
น้ำทะเลไหวกระเพื่อม เรือศึกโยกไหวเล็กน้อย ความรู้สึกที่คุ้นเคยนี้ ทำให้สวี่ชิงรู้สึกปลอดภัยไม่เหมือนก่อน
“พี่สวี่ชิง ข้าสัมผัสได้ว่าท่านเหมือนกำลังจะบอกลา ท่านคิดจะไปวังศึกษาที่เมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์ของพวกท่านหรือเจ้าคะ” หลิงเอ๋อร์เลื้อยออกมาจากแขนเสื้อสวี่ชิง ถามอย่างสงสัยใคร่รู้
สวี่ชิงส่ายหน้า
คำบอกเล่าของท่านอาจารย์ ทำให้เขารู้เรื่องวังศึกษาในเมืองหลวงจักรพรรดิ หากไปด้วยพลังบำเพ็ญของเขาในตอนนี้ ไม่ค่อยมีประโยชน์มากนัก
“ข้ากำลังคิดถึงศิษย์พี่ใหญ่ ไม่รู้ว่าเขาตรวจสอบแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราไปถึงไหนแล้ว” สวี่ชิงเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“แผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา? ถึงอย่างไรหากพี่สวี่ชิงไปที่ใด หลิงเอ๋อร์ก็จะตามไปที่นั่นด้วย หลังจากข้าแปลงร่างได้แล้วก็เก่งกาจอยู่นะเจ้าคะ”
หลิงเอ๋อร์เอ่ยอย่างน่ารัก
เมื่อสวี่ชิงได้ยินก็ยิ้มออกมา การปรากฏตัวของหลิงเอ๋อร์ ทำให้เขาที่อยู่คนเดียวในวันธรรมดามีสหายเพิ่มขึ้น
ตอนนี้กำลังจะเอ่ยปาก แต่ประสาทสัมผัสเทพ ทำให้เขาสัมผัสได้ว่าด้านนอกมีคนมาเยือน จึงเงยหน้ามองออกไป
ผ่านไปสิบกว่าอึดใจ ด้านนอกเรือศึกเวท เสียงดัดอ่อนโยนที่แฝงด้วยความไพเราะของติงเสวี่ยก็ดังเข้ามา
“พี่สวี่ชิงอยู่หรือไม่เจ้าคะ”