บทที่ 543 ที่เก่า คนเดิม เรื่องในอดีต
นอกมณฑลรับเสด็จราชัน บนทะเลต้องห้ามสีดำ ระลอกคลื่นซัดขึ้นลง ไอพลังประหลาดเข้มข้นแปรเปลี่ยนเป็นพลังเย็นเยียบ กัดกินเผ่าพันธุ์ทั้งหลายบนทะเล ต่อให้แสงอาทิตย์ยามเที่ยงจะแผ่ความร้อนแผดเผา แต่ก็ไม่อาจหลอมละลายไอพลังประหลาดได้
ทั้งยิ่งสาดส่องลงไปไม่ถึงส่วนลึกของมหาสมุทรอันลึกลับ
เป็นเพราะเหตุนี้ ในเวลาหลายปีมานี้ ตำนานเกี่ยวกับทะเลต้องห้ามมีมากมาย โดยเฉพาะเรื่องสิ่งมีชีวิตคุณสมบัติเทพยิ่งมีมากมายมหาศาล
มีเพียงเผ่าใหญ่บนทะเลหรือผู้บำเพ็ญระดับระดับสูง พวกเขาถึงจะรู้ว่าสิ่งมีชีวิตคุณสมบัติเทพเหล่านั้นแม้จะแข็งแกร่ง แต่ความจริงแล้วใช่ว่าเอาชนะไม่ได้
และเทพเจ้าในฟ้าดินแห่งนี้ไม่ได้มีแค่เสี้ยวหน้าเทพเจ้าเท่านั้น ดังนั้น…ในส่วนลึกของทะเลต้องห้าม สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่สิ่งมีชีวิตคุณสมบัติเทพ แต่เป็นเทพเจ้าที่หลับใหล
เทพเจ้าหลับอยู่บนดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ได้ สามารถพักอาศัยในพระราชนิเวศน์แดนต้องห้ามเซียนได้ สามารถอยู่ในดินแดนกาฬกาลกิณีได้ เช่นนั้นทะเลต้องห้ามที่ล้อมรอบแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ผืนนี้ ย่อมเป็นตัวเลือกในการหลับใหลของเทพเจ้าเช่นกัน
โดยเฉพาะ…ทะเลต้องห้ามกว้างใหญ่นัก
ลำพังเพียงอาณาเขตทะเลระหว่างมณฑลรับเสด็จราชันและทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณก็กว้างใหญ่ไพศาลมากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนอกทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณเลย
ความจริงต่อให้ผืนทะเลที่ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณตั้งอยู่ เทียบกับทั้งผืนทะเลต้องห้ามแล้ว ก็นับได้ว่าเป็นแค่ชายฝั่งเท่านั้น
ชื่อในอดีตของทะเลต้องห้ามชื่อว่าทะเลโอฬาร นี่ก็บ่งบอกถึงขอบเขตของมันแล้ว
เหมือนว่าเป็นโลกเองใบหนึ่ง ประจัญหน้ากับแผ่นดินใหญ่ ประจัญหน้ากับท้องฟ้า
ตอนนี้ นอกมณฑลรับเสด็จราชัน ท่ามกลางคลื่นทะเลที่ซัดโหมลูกแล้วลูกเล่า บนท้องฟ้า เรือศึกบรรพกาลสีดำลำหนึ่งกำลังเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
นี่คือเรือศึกบรรพกาลของนายท่านเจ็ด อนุญาตให้สวี่ชิงใช้ที่เขตปกครองผนึกสมุทร
และเรือศึกบรรพกาลมีจิตวิญญาณ ไม่ต้องบังคับเอง ขอเพียงแหล่งกำเนิดพลังเพียงพอ ภายใต้การเพิ่มพลังจากสิทธิ์อำนาจ ใครก็ล้วนควบคุมได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ได้ทั้งนั้น
คนที่ร่วมเดินทางมากับสวี่ชิงคือผู้ครองกระบี่พันคนจากเขตปกครองหลวงและนักพรตซือหนาน และยังมีชิงฉินที่สยายปีกบินอยู่บนท้องฟ้าที่สูงขึ้นไปอีก
ภายใต้เสียงแกว๊กๆ หมู่มวลวิหคที่อยู่บนท้องฟ้าก็ไม่กล้าบินบนท้องฟ้าในระดับความสูงที่สบายใจคุ้นเคย ทำได้แค่เลือกที่จะบินต่ำๆ ประเดี๋ยวๆ ก็พุ่งไปในทะเล จับเหยื่อแล้วรีบกลับไปอย่างรวดเร็ว
และก็เพราะเหตุนี้ จึงดึงดูดอสูรคอยาวบรรพกาลมามากมาย พวกมันมักจะแหวกผิวน้ำขึ้นมาในชั่วพริบตา กัดนกที่บินต่ำ แล้วทิ้งตัวลงไปยังผิวน้ำ เกิดเป็นคลื่นที่ลูกใหญ่ยิ่งกว่าเดิม
สวี่ชิงยืนอยู่บนหอคอยของเรือศึกบรรพกาล สายตาจับจ้องไปบนผิวน้ำ มองอสูรคอยาวบรรพกาลที่สร้างคลื่นลูกใหญ่ เขานึกถึงภาพแต่ละฉากๆ ที่ตัวเองออกเดินทางสู่ทะเลครั้งแรกในตอนนั้นขึ้นมา
นานหลังจากนั้น สวี่ชิงก็ดึงสายตากลับมา มองหนามก้างปลาที่ถืออยู่ในมือเล่มนี้
ภายใต้แสงอาทิตย์ หนามสีดำเล่มนี้ เหมือนเป็นหลุมดำ ขณะเดียวกับที่ดูดซับแสง ระลอกคลื่นที่แผ่ออกมาจากในนั้นยิ่งน่าครั่นคร้าม
นอกหอคอยมีผู้ครองกระบี่จำนวนไม่น้อย หลังจากสัมผัสรับรู้ล้วนสีหน้าเคร่งขรึม มีเพียงสวี่ชิงทางนี้ เนื่องจากกายเนื้อ ดังนั้นถืออยู่ในมือแม้จะมีความรู้สึกกดดัน แต่ที่มีมากกว่านั้นคือความรู้สึกที่มีแหล่งต้นกำเนิดพลังเดียวกัน
ตอนนี้จ้องเพ่งหนามเคราะห์หายนะ ดวงตาสวี่ชิงฉายแววขบคิด หลังจากนั้นเขาพลันเอ่ยขึ้นมา
“โหยวหลิงจื่อ”
ทันใดนั้น เหล็กแหลมสีดำก็พุ่งออกมาจากในถุงเก็บของของสวี่ชิง ลอยอยู่ข้างหน้าเขา ขณะที่สั่นเทา ก็ปรากฏเงาร่างบรรพจารย์สำนักวัชระออกมา ก่อนจะโค้งคารวะสวี่ชิง
“นายท่าน!”
ในใจของบรรพจารย์สำนักวัชระตอนนี้วิตกกังวลกระวนกระวายจนถึงขีดสูงสุด ความรู้สึกเหมือนเคราะห์มหันตภัยกำลังจะมาเยือนรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง เสียงก็สั่นสะท้าน ในใจเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
เขารู้สึกว่าขอเพียงตัวเองไม่ขยันก็จะต้องถูกสวี่ชิงฆ่าตายแน่นอน ความคิดนี้มาจากนิสัยของเขาหยั่งรากฝังลึก ดังนั้นทุกครั้งที่สวี่ชิงพลังบำเพ็ญยกระดับขึ้น ความจริงเขาล้วนอกสั่นขวัญแขวน
และวันนี้ การปรากฏขึ้นของก้างปลา ทำให้เขารู้ว่าอะไรที่จะต้องเผชิญสุดท้ายก็มาเยือนจนได้
แม้ตัวเองจะทุ่มเทสุดกำลังหายใจ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจตามฝีเท้าของสวี่ชิงได้ทัน
ไม่ใช่เขาไม่ขยัน แต่อีกฝ่ายเดินเร็วเหลือเกิน
“นายท่าน ข้าเตรียมพร้อมแล้ว ในนิยายที่ข้าอ่านชั่วชีวิตนี้ ตัวละครหลักทุกตัวในนั้นล้วนหนึ่งวันพลังบำเพ็ญยกระดับพันลี้ คนธรรมดายากจะคอยติดตามไปชั่วชีวิต
“นี่ยิ่งเป็นการบอกว่านายท่านเป็นตัวตนที่เหมือนกับตัวละครหลักในนิยาย
“แต่ข้ารู้ ข้าจะเป็นตัวถ่วงของท่านไม่ได้ ข้าไม่ปรารถนาสิ่งอื่น ขอเพียงนายท่านเห็นแก่ความจริงจังตั้งใจของข้าในหลายปีที่ผ่านมานี้ ให้ข้าตายอย่างไม่ทรมาน
“หากมีชาติหน้า ข้าจะต้องติดตามนายท่านของข้าอีกแน่นอน คอยปรนนิบัติรับใช้ มองท่านเดินไปยังจุดสูงสุดของฟ้าดิน”
บรรพจารย์สำนักวัชระใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ต่อให้เป็นเวลานี้ สายตาที่เขามองไปทางสวี่ชิงก็ยังแฝงไว้ด้วยความจงรักภักดี นี่คือโอกาสเพียงหนึ่งเดียวที่เขาคิดว่าจะช่วยชีวิตตัวเองไว้ได้…
เขารู้ว่าตัวเองรู้ความลับมากมาย หากเปลี่ยนเขาเป็นสวี่ชิงก็จะต้องเกิดจิตคิดสังหารอย่างแน่นอน จึงพยายามทำให้สวี่ชิงประทับใจหวั่นไหว ให้สวี่ชิงเห็นแก่ความเหนื่อยยากลำบากที่ตนกระทำมาทั้งหลาย เก็บความคิดสังหารลงไป
หากภายใต้การทำให้ใจอ่อนได้สำเร็จ เกิดความคิดวู่วามปล่อยให้ตนเป็นอิสระ เช่นนั้นก็สมบูรณ์แบบยิ่ง
สวี่ชิงมองบรรพจารย์สำนักวัชระด้วยความหมายล้ำลึกผาดหนึ่ง
เขาสัมผัสไม่ได้ถึงความจงรักภักดีของอีกฝ่าย แต่เขาเห็นการกระทำที่เป็นจริงของบรรพจารย์สำนักวัชระในหลายปีมานี้ ช่วยเหลือสนับสนุนตนมามากมาย
บุญคุณความแค้นในตอนนั้นก็หักลบได้แล้ว
อย่างไรเสีย เหล็กแหลมก็ไม่พอที่จะทนรับพลังบำเพ็ญของตนได้ ต่อให้ทำการหลอมอีกครั้ง แต่เทียบกับก้างปลาแล้ว ระดับขั้นห่างกันไม่น้อยเลย
ดังนั้นวันนี้ เดิมสวี่ชิงคิดจะปลดผนึกให้อีกฝ่าย ปล่อยให้เป็นอิสระ ตัดสิ้นกรรมเวร ส่วนความลับ เขามีวิธีอื่นๆ ในการป้องกัน
แต่คำพูดของบรรพจารย์สำนักวัชระทำให้สวี่ชิงหลังจากที่คิดๆ แล้วก็เก็บคำพูดที่จะพูดออกไป ดวงตาฉายแววเคร่งขรึม เขาคิดว่าตัวเองบางทีอาจจะให้โอกาสอีกฝ่าย
ในขณะเดียวกับที่บรรพจารย์สำนักวัชระวิตกกังวล ก็แอบลอบถอนหายใจ
เขาคิดว่าคำพูดของตัวเองได้ผล ดาวพิฆาตดวงข้างหน้าดวงนี้หวั่นไหวแล้ว แววเคร่งขรึมในดวงตาตอนนี้ก็คือหลักฐาน อีกฝ่ายกำลังชั่งน้ำหนักคุณงามความชอบของตนว่าสามารถหักล้างกับความตายได้หรือไม่
‘ยากเหลือเกิน ข้าก็แค่อยากได้อิสระ อยากมีชีวิตรอดต่อไป ทำไมมันถึงได้ยากเช่นนี้’
ในยามที่ในใจของบรรพจารย์สำนักวัชระยิ่งโศกเศร้าโกรธแค้น ในดวงตาสวี่ชิงก็ฉายแววเด็ดเดี่ยว ขณะที่มือขวายกขึ้นประสานปางมือก็เกิดเปลวไฟพวยพุ่งขึ้นมา ปกคลุมไปบนเหล็กแหลมทันที
ทำการเผาเหล็กแหลม จะทำการหลอมมัน
บรรพจารย์สำนักวัชระสะดุ้ง
“นายท่าน ข้า…”
“ข้าจะให้โอกาสเจ้า เจ้าอดทนหน่อย” สวี่ชิงเอ่ยเสียงต่ำทุ้ม สองมือประสาน ทันใดนั้นปราณทั้งสิบสองก็ลืมตาขึ้นพร้อมกัน ต่างพ่นไฟชีวิตออกมา
ยิ่งมีตะเกียงแห่งชีวิตห้าดวงปรากฏขึ้นมา เพิ่มพลังเปลวไฟ
เพียงพริบตา ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนของบรรพจารรย์สำนักวัชระ เหล็กแหลมที่หลอมรวมกับร่างที่ผ่านเคราะห์อัสนีมาสองครั้งก็เริ่มละลาย ค่อยๆ กลายเป็นเหล็กหลอมเหลว
เหล็กหลอมเหลวนี่ความจริงก็คือร่างเดิมของบรรพจารย์สำนักวัชระ
เสียงร้องครวญครางน่าสังเวชของบรรพจารย์สำนักวัชระยิ่งน่าเวทน่าขึ้นเรื่อยๆ ทำเอาเจ้าเงากลัวจนบิดเบี้ยวสั่นระริกไม่หยุด ประจบประแจงหลิงเอ๋อร์ที่มองภาพทุกอย่างนี้อย่างรวดเร็ว
เวลาไหลผ่านไปเช่นนี้เอง เสียงร้องครวญคร่ำของบรรพจารย์สำนักวัชระอ่อนแรงลงเรื่อยๆ จวบจนกระทั่งในยามที่เกือบจะไม่ได้ยิน เหล็กแหลมหลอมละลายกลายเป็นเหล็กหลอมเหลวสีแดงก่ำโดยสมบูรณ์
สวี่ชิงประสานปางมือชี้ไป ทันใดนั้นเหล็กหลอมเหลวสีแดงก่ำเหล่านี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นเส้นๆ แล้วพุ่งเข้าไปในก้างปลา ไม่ได้ผสานเข้าไปข้างใน แต่ไหลวนอยู่ในลวดลายของก้างปลา
ขณะเดียวกัน สวี่ชิงปรับปราณเทพในร่าง ร่างแผ่ระลอกคลื่นพลังออกมา ใส่เข้าไปข้างในเพิ่มพลังให้กับมัน
ในที่สุด ทันทีที่อุณหภูมิของเหล็กหลอมเหลวลดลงแข็งตัว ก็ฝังติดไปบนก้างปลาโดยสมบูรณ์
รูปลักษณ์ของก้างปลาเปลี่ยนไปอย่างมหาศาล
พื้นสีดำ ลวดลายสีแดง กลิ่นอายสังหารทำลายล้างที่เข้มข้นยิ่งขึ้นไหลวนอยู่ข้างใน
และบรรพจารย์สำนักวัชระในฐานะที่เป็นวิญญาณศัสตรา ก็ผ่านจากวิธีนี้เป็นตัวกลางกึ่งผสานไปบนก้างปลา
ตัวตนของมันเมื่อเทียบกับก้างปลาแล้วห่างชั้นกันอย่างมาก ดังนั้นวิธีธรรมดาไม่สามารถเป็นวิญญาณศัสตราของหนามเคราะห์หายนะได้ มีเพียงวิธีฝังติดภายนอกแบบนี้เท่านั้น ถึงจะทำให้มันเป็นตัวกลางในการควบคุมหนามเคราะห์หายนะ
แม้จะไม่คล่องแคล่วแต่ภายใต้การสนับสนุนจากสวี่ชิงก็สามารถทำการสังหารศัตรูเองได้ และดีกว่าไม่มีวิญญาณศัสตราอย่างก่อนหน้านี้มาก
อีกทั้งได้รับอิทธิพลจากก้างปลาเทพเจ้าอยู่ตลอดเวลา สภาวะของบรรพจารย์สำนักวัชระก็จะค่อยๆ ถูกเปลี่ยนไป
เช่นนี้แล้วบางทีอาจจะมีสักวัน ไม่แน่นว่าบรรพจารย์สำนักวัชระก็อาจเปลี่ยนแปลงกลายเป็นวิญญาณศัสตราอาวุธเทพได้
เพียงแต่ขั้นตอนนี้ ระดับความเจ็บปวดรุนแรงกว่าในอดีตมากมายนัก อย่างไรเสียการเปลี่ยนแปลงนี้เท่ากับการเปลี่ยนเนื้อผลัดกระดูกอย่างช้าๆ ความทรมานเช่นนี้นี้ยากจะบรรยาย
อีกทั้งมันยังต้องทำให้ในอนาคตไม่ตาย และไม่ถูกกลืนกินอีกด้วย…
ทุกอย่างนี้ทำให้บรรพจารย์สำนักวัชระอึ้งตะลึงเล็กน้อย มันสัมผัสทุกอย่างนี้ได้ หลังจากในใจสับสนงุนงง ก็เกิดความปิติยินดี แม้ขั้นตอนจะเจ็บปวด อีกทั้งในอนาคตจะตายหรือเปล่าก็ยังไม่แน่ แต่อย่างน้อยเคราะห์ในวันนี้มันก็นับว่าผ่านมาได้แล้ว
‘ดีที่ข้าหัวไว ไม่เช่นนั้นวันนี้ก็ซี้แหงก๋ไปแล้ว!’
บรรพจารย์สำนักวัชระรู้สึกโชคดี ทอดถอนใจ กำลังจะเอ่ยปาก ในดวงตาสวี่ชิงก็ฉายแววให้กำลังใจ เอ่ยออกไปว่า
“โหยวหลิงจื่อ เดิมข้าคิดจะมอบอิสระให้กับเจ้า แต่ในเมื่อเจ้าอยากติดตามไปตลอดกาล เช่นนั้นข้าก็จะช่วยเจ้าสักครั้ง”
“เอ๋”
บรรพจารย์สำนักวัชระได้ยินดังนั้นก็เบิกตาโต จากนั้นในใจก็เกิดคลื่นยักษ์ซัดกระหน่ำ ร่างกายสั่นเทารุนแรง แต่เสี้ยวขณะต่อมา เขาก็พลันตั้งสติขึ้นมาได้
‘นี่เป็นการหยั่งเชิงข้า กำลังหลอกข้า ไม่ผิด ต้องเป็นเช่นนี้แน่ นี่คือการทดสอบความจงรักภักดีของข้า เจ้าเล่ห์นัก’
นึกถึงตรงนี้ บรรพจารย์สำนักวัชระก็เอ่ยขึ้นเสียงดัง
“นายท่าน ข้าโหยวหลิงจื่อผู้นี้หลังจากที่ติดตามท่าน ก็บรรลุสัจธรรมข้อหนึ่งได้ตั้งนานแล้ว สบายใจสำคัญกว่าอิสระภาพมากนัก!
“หลายปีมานี้ข้ามีความสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในชีวิตนี้ ความรู้สึกสบายใจแบบนั้น ข้าไม่อยากเสียมันไป หากไม่สามารถติดตามท่านได้ข้าจะต้องทุกข์ระทมใจแสนสาหัสแน่นอน กระทั่งว่าแค่ข้าคิดในตอนนี้ก็รู้สึกเจ็บปวดเสียเหลือเกิน
“นายท่าน ข้าไม่ต้องการอิสระ ขอติดตามอยู่ข้างกายท่านเท่านั้น เพราะเทียบกับอิสระแล้ว ข้าปรารถนาในความสบายใจมากกว่า”
คำพูดของบรรพจารย์สำนักวัชระทำให้หลิงเอ๋อร์ประทับใจ นางมองบรรพจารย์สำนักวัชระพลางเอ่ยกระซิบกับสวี่ชิง
“พี่สวี่ชิง ตาแก่คนนี้เป็นคนดีเจ้าค่ะ”
สวี่ชิงสายตามีแววล้ำลึกแต่ไม่ได้อธิบาย หลังจากให้กำลังใจสองสามประโยคก็เก็บก้างปลาลงไป จากนั้นก็ก้มหน้ามองเจ้าเงาที่เท้า
เจ้าเงาตกใจตัวสั่น แผ่ระลอกคลื่นอารมณ์มาอย่างรวดเร็ว
“ทะลวงขั้น…ใกล้แล้ว…คารวะนายท่าน…นายหญิงแข็งแรงเร็ว…ข้าเก่งกาจ…มีประโยชน์!!”
เจ้าเงากลัวแล้วจริงๆ ก่อนหน้านี้มันเห็นการปะทุของผลึกวารีสีม่วง เห็นแม้แต่นิ้วเทพเจ้ายังหนีออกไปไม่ได้ จึงสิ้นหวังไปตั้งนานแล้ว ขอเพียงมีชีวิตรอดต่อไปเท่านั้น
ดังนั้นท่ามกลางความหวาดวิตก จึงพูดสิ่งที่พูดได้ออกมาทั้งหมด
สวี่ชิงเงียบนิ่ง ในใจเขามีความคิดหนึ่ง บางทีอาจจะเร่งความเร็วการทะลวงขั้นของเจ้าเงาได้ ก่อนหน้านี้เขาไม่สามารถทำได้ แต่ตอนนี้เขามีความมั่นใจ
ดังนั้นสวี่ชิงจึงไม่มองเจ้าเงาอีก ขัดสมาธินั่งลง เริ่มนั่งสมาธิ
วังสวรรค์ทั้งสิบสามของเขาในตอนนี้มีสิบสองวังที่เกิดเป็นปราณแล้ว อีกทั้งยังผ่านเคราะห์สวรรค์มาแล้วครั้งหนึ่ง
มีเพียงวังสวรรค์ที่แปรเปลี่ยนมาจากตะเกียงปีกโลหิตวิญญาณทมิฬที่ได้มาเป็นดวงสุดท้ายเท่านั้นที่ยังไม่มีปราณปรากฏขึ้น แต่ภายใต้การช่วยเหลือจากปราณอื่นๆ ก็มีท่าทีดูดซับอย่างมหาศาล ทำให้ปราณของตะเกียงดวงที่ห้า กำลังอยู่ในขั้นก่อเค้าร่างขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
‘ใกล้แล้ว’
สวี่ชิพึมพำในใจ หลับตาบำเพ็ญเพียร
เวลาไหลไป หลังจากนั้นเจ็ดวัน เรือศึกบรรพกาลข้ามผ่านมหาสมุทร ในที่สุดก็มาถึงทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ สวี่ชิงมองเห็นสำนักเจ็ดเนตรโลหิตที่ตัวเองใช้ชีวิตอยู่มานานจากที่ไกลๆ
เทียบกับตอนที่จากมา ที่นี่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปสักเท่าไร ยังคงเจริญรุ่งเรือง ยังคงคึกคัก ในขณะที่ผู้คนสัญจรผ่านไปมา ก็จะเป็นเรือของลูกศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ดเข้าๆ ออกๆ ท่าเรือ
ยอดเขาลำดับเจ็ดที่อยู่ไกลๆ แม้ตอนนั้นจะถูกนำไปที่มณฑลรับเสด็จราชัน แต่ตอนนี้ก็ถูกสร้างขึ้นมาใหม่แล้ว ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม มีเพียงบนยอดเขาที่ไม่มีเนตรโลหิตเท่านั้น
การมาถึงของเรือศึกบรรพกาลสร้างระลอกคลื่นอารมณ์ให้กับคนทั้งหลายของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ขณะที่คนนับไม่ถ้วนเงยหน้ามอง สวี่ชิงสื่อเสียงให้ศิษย์พี่หญิงสองแต่ไม่ได้รับการตอบกลับ
ก่อนหน้านี้ในตอนออกเดินทางจากพันธมิตรแปดสำนัก นายท่านเจ็ดมาส่ง พูดไว้ว่าศิษย์พี่หญิงสองกำลังปิดด่านทะลวงขั้น
สวี่ชิงจึงไม่ได้หยุดที่สำนักเจ็ดเนตรโลหิต เรือศึกบรรพกาลเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว ไปจากที่นี่ มุ่งหน้าไปทางตะวันออกของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างเร็วรี่
สำหรับสวี่ชิงในอดีตแล้ว ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณใหญ่มาก ใหญ่จนเขาไปที่ใดก็ล้วนต้องใช้ค่ายกลส่งข้าม แต่หลังจากผ่านเรื่องราวมามากมายเช่นนี้ แล้วมองทวีปปักษาสวรรค์ สวี่ชิงเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนนั้นนายท่านเจ็ดถึงได้บอกว่าทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณเป็นเกาะ
เทียบกับแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์แล้ว ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณเป็นเพียงแค่เกาะเท่านั้น
ภายใต้ความความเร็วของเรือศึกบรรพกาล ใช้เพียงแค่ครึ่งวัน สวี่ชิงก็มาถึงฐานที่มั่นคนเก็บกวาดเมื่อตอนนั้นแล้ว
ที่นี่ก็ยังคงสกปรกเช่นนั้น คนเก็บกวาดที่นั่นมีไม่กี่คนที่สวี่ชิงคุ้นตาแล้ว
คนเก็บกวาดที่โลดแล่นไปในความเป็นตายเหล่านั้น นอกเสียจากจะโชคดีมากๆ ไม่เช่นนั้นเวลาเพียงไม่กี่ปี ก็มักจะกลายเป็นชั่วชีวิตหนึ่ง
สวี่ชิงก้มหน้าจากบนท้องฟ้า จ้องมองทุกอย่าง หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็เดินไปเพียงลำพัง เหยียบย่างเข้าไปในฐานที่มั่นคนเก็บกวาดที่ในความคุ้นเคยมีความแปลกตา
เดินอยู่ในนั้น สวี่ชิงเดินผ่านคนเก็บกวาดแต่ละคนๆ ผ่านสิ่งก่อสร้างไม้และดินแต่ละแห่งๆ ระลอกคลื่นบนร่างของเขาซ่อนอำพรางไปตามธรรมชาติ ทำให้เขาเมื่อปรากฏในสายตาคนธรรมดา เมื่อเห็นก็จะลืมไป
นี่คือพลังของปราณติงหนึ่งสามสอง
สำหรับผู้บำเพ็ญแล้ว ความยากของการได้รับอิทธิพลจากการลืมเลือนจะยากขึ้น แต่ในฐานที่มั่นคนเก็บกวาด พลังลืมเลือนสามารถลบได้ทุกอย่าง
สวี่ชิงเดินผ่านไปเงียบๆ เป้าหมายชัดเจน
ไม่ใช่สถานที่พักอาศัยของเขาในอดีต แต่เป็นถนนที่ย้อมเลือดเมื่อในตอนนั้น
ที่นั่นมีร้านค้าร้านหนึ่ง
ร้านยังอยู่ แต่เจ้าของร้านไม่ใช่คนเดิม
ตอนนี้ตรงข้ามกับร้าน ใต้หลังคามีคนชุดดำนั่งอยู่คนหนึ่ง
ชุดปกคลุมร่างที่ผอมแห้งเอาไว้ มองไม่เห็นใบหน้า เห็นเพียงแค่เคียวยมทูตผีร้ายขนาดมหึมาเล่มหนึ่ง ที่คนคนนี้พาดเอาไว้บนบ่า
เป็นชิงชิวนั่นเอง
รอบๆ นางยังมีศพคนเก็บกวาดที่ไม่มีใครกล้ามาเก็บไปอีกหลายร่าง เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่ทะเล่อทะล่าเข้ามาหาเรื่อง อย่างไรเสีย โลกใบนี้ก็ไม่ใช่ทุกคนจะมีความคิดที่เป็นปกติ
และเพราะการมีตัวตนอยู่ของชิงชิว ดังนั้นถนนเส้นเล็กๆ สายนี้จึงเงียบสงบมาก เจ้าของร้านค้าทุกร้านต่างตัวสั่นเทิ้ม ไม่กล้าพูดจา
และการมาถึงของนางเห็นได้ชัดว่าเป็นช่วงระยะหนึ่งแล้ว บางทีอาจจะเพื่อสืบเบาะแสบางอย่าง และบางทีอาจเป็นเรื่องที่ไม่กล้าจะเชื่อที่เมืองหลวงเขตปกครอง
ดังนั้น นางจึงอยู่ที่นี่ รอคอยเงียบๆ
อาจเป็นเพราะแม้แต่ตัวนางก็ไม่รู้ว่ากำลังรออะไรเช่นกัน
จวบจนกระทั่งวันนี้ ถนนสายเล็กที่ว่างโล่งมีเสียงฝีเท้าดังมา
สวี่ชิงเดินมาทีละก้าว เดินไปหาชิงชิว จวบจนเดินมาถึงข้างกายนาง
ชิงชิวมองไปข้างหน้า ไม่ได้หันมา เพียงแต่มือที่กำเคียวยมทูตผีร้ายแน่นขึ้นเล็กน้อย แล้วค่อยๆ คลายออก ไม่ได้พูดอะไร
สวี่ชิงมองไปทางร้านค้าร้านนั้นตามสายตาของนาง
ระหว่างนั้น เขาเหมือนเห็นเงาร่างของเด็กหญิงตัวน้อยที่ทั่วทั้งร่างสกปรกมอมแมม บนใบหน้ามีรอยแผลเป็น กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ในร้าน
เจ็ดปีแล้ว
เมื่อเจ็ดปีก่อน พวกเขาพบกันที่ฐานที่มั่นคนเก็บกวาด ล้วนผ่านประสบการณ์เทพเจ้าลืมตา โชคดีรอดมาได้เหมือนกัน
เจ็ดปีหลังจากนั้น พวกเขากลับมาอีกครั้ง
สวี่ชิงไม่ได้พูดอะไร ชิงชิวก็เงียบนิ่งเช่นกัน เพียงแต่ไหล่ของนางเริ่มสั่นเทา
นานหลังจากนั้นสวี่ชิงหยิบเอาห่อกระดาษน้ำมันออกมาห่อหนึ่ง วางไว้บนพื้นข้างหน้าชิงชิว
“ในอดีตที่ตรงนี้มีคนให้ลูกกวาดข้าเม็ดหนึ่ง นางบอกกับข้าว่าเวลาที่เศร้าใจ กินมันลงไป จะทำให้ดีใจขึ้นได้ไม่น้อยเลย”
สวี่ชิงเอ่ยเสียงเบา
“ข้าเดาได้คร่าวๆ ถึงระลอกคลื่นในใจของเจ้า แต่ข้าอยากบอกเจ้าว่า ลูกกวาดเม็ดนั้น ตอนนั้นข้ากินมันลงไปแล้ว มันช่วยคลายความทุกข์ในใจข้าได้ และเม็ดนี้ ข้าซื้อมันมาจากสำนักเจ็ดเนตรโลหิตให้เจ้า”
ในเสียงของสวี่ชิงแฝงด้วยความนึกถึงความหลัง หลังจากพูดจบ เขาก็หันหลังเดินออกไปสิบกว่าก้าว ฝีเท้าของสวี่ชิงหยุดชะงัก ไม่ได้หันกลับไป เอ่ยขึ้นอย่างเคร่งขรึม
“แล้วก็ จำไว้ว่ากลับไปรายงานตัวที่กรมอาลักษณ์ด้วย”
“เจ้าค่ะ!” ชิงชิวตอบไปตามสัญชาตญาณ หลังจากพูดจบ นางถึงได้ตั้งสติกลับมาได้ รีบก้มหน้าลงไป กำเคียวแน่น
มุมปากสวี่ชิงยกยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรอีก เดินไปที่ไกล
จวบจนเขาจากไป มีลมพัดมา พัดใบไม้แห้งบนพื้น และพัดกระดาษน้ำมันปลิว และพัดต้องมาบนร่างชิงชิวเช่นกัน สั่นไหวจิตใจของนาง
ก่อนหน้านี้หลังจากที่ได้เห็นปราณของสวี่ชิงที่แท่นพิธีเมืองหลวงเขตปกครอง ในใจนางเกิดระลอกคลื่นลูกยักษ์อย่างไม่เคยมีมาก่อน
ภาพที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้นางไม่อาจรับได้นิดๆ
นางไม่กล้าที่จะเชื่อว่า ต้นเหตุที่ทำให้ตัวเองพยายาม อยากจะแข็งแกร่งขึ้น คนที่ตนคอยนึกถึงอยู่ตลอดเวลาอยากไปตามหาที่ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ สองปีมานี้ล้วนอยู่ข้างกายตัวเองมาโดยตลอด
อีกทั้งยังเก่งกาจยอดเยี่ยมถึงปานนั้นด้วย ทำให้นางที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองสู้ไม่ได้ จำต้องยอมรับความจริงนี้
นี่ทำให้นางค่อนข้างสับสนทำตัวไม่ถูก ในใจเกิดความซับซ้อนท่วมท้น เพราะความพยายามทั้งหมดในอดีต ความลำบากในการบำเพ็ญเพียรทุกอย่าง ล้วนเพื่อในวันหนึ่งสามารถไปปกป้องเงาร่างที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง
เหมือนตอนนั้นที่อีกฝ่ายยืนอยู่ข้างหน้าตน แลกเปลี่ยนแผ่นป้ายไม้ไผ่ ปกป้องตนเช่นนั้น
นี่เป็นสิ่งที่นางเฝ้าไขว่คว้า และเป็นความฝัน
แต่ตอนนี้ คนที่นางอยากไปปกป้อง ไม่จำเป็นต้องให้นางทำอะไรเลย
กระทั่งว่าหลายวันนี้นางนึกย้อนอดีตที่เมืองหลวงเขตปกครอง หลังจากการเดินทางที่ต้นเซียนแท้สิบลำไส้ ความจริงนางล้วนถูกปกป้องอย่างเงียบๆ มาโดยตลอด
ดังนั้น นางมาถึงที่นี่ด้วยจิตใจที่ซับซ้อน ขณะเดียวกันกับที่จัดระเบียบทุกอย่างเหล่านี้ช้าๆ ก็มีความคาดหวังเล็กๆ ว่าที่นี่จะได้พบพี่เด็กน้อยหรือไม่
นางได้พบแล้ว
“บ้าเอ๊ย!”
ชิงชิวกัดฟัน นึกถึงปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณของตัวเองเมื่อก่อนหน้านี้ จึงยกมือเอื้อมไปยังกระดาษน้ำมันที่อยู่ข้างหน้าอย่างโมโหพุ่งพล่าน แต่ในตอนที่สัมผัส ก็เปลี่ยนมาอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง มองราวเป็นสมบัติล้ำค่า ถือห่อกระดาษน้ำมันเอาไว้ในมือ
เปิดออกอย่างแผ่วเบา เผยให้เห็นน้ำตาลกรวดใสแวววาวเม็ดหนึ่งในนั้น
นางไม่ได้กิน มองไปๆ มุมปากใต้หน้ากากก็เผยรอยยิ้มออกมา
เคียวยมทูตผีร้ายมองทุกอย่าง เอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น
“อาชิว จะต้องกำโอกาสนี้เอาไว้นะ นี่เป็นโอกาสยอดเยี่ยมที่สวรรค์ประทานให้เชียว วันหน้าเจ้าต้องเชื่อฟังคำของใต้เท้าสวี่ชิง เขาให้เจ้าทำอะไรเจ้าก็ทำ ห้ามปฏิเสธเด็ดขาด
“เช่นนี้แล้ว…วันหน้าพวกเราก็จะมีโอกาสได้ตายตกตามกันกับผู้แข็งแกร่งระดับหวนสู่อนัตตา กระทั่งว่า…ตายตกไปตามกันกับเทพเจ้าก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!
“สวรรค์ หากพวกเราชีวิตนี้ได้ตายตกไปตามกับเทพเจ้า เช่นนั้นก็จะเป็นเกียรติยศสูงสุดของพวกเรา!!”
เคียวยมทูตผีร้ายตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง ร่างสั่นสะท้านขึ้นมา ดวงตาฉายประกายแดงก่ำ
ชิงชิวครั้งนี้ไม่ได้ตวาดให้หุบปาก แต่คล้ายครุ่นคิดอะไร
ขณะเดียวกัน สวี่ชิงที่ไปจากฐานที่มั่นคนเก็บกวาด กำลังเดินอยู่ในพื้นที่ต้องห้าม เดินไปทางหลุมฝังศพของหัวหน้าเหลย
หลิงเอ๋อร์ครั้งนี้ไม่ได้พูดอะไร จริงๆ นางอยากพูด แต่สัมผัสได้ว่าหลังจากสวี่ชิงเดินเข้ามาในพื้นที่ต้องห้าม อารมณ์ค่อนข้างจะหม่นหมอง จึงแนบไปกับใบหน้าของสวี่ชิงอย่างเรียบร้อยว่าง่าย
แต่ว่าในใจ นางพึมพำเสียงต่ำ
‘พี่สาวตัวน้อยคนนั้นก็คือสหายในตอนเด็กของพี่สวี่ชิงอย่างนั้นหรือ เดิมระลอกคลื่นอารมณ์นางรุนแรงมาก แต่เมื่อเห็นลูกกวาดเม็ดนั้นก็ดีขึ้นทันที
‘ลูกกวาดได้ผลขนาดนั้นเชียวหรือ เช่นนั้นเมื่อข้ากลับไปก็จะซื้อบ้าง
‘จากนั้นหากวันหนึ่งพี่สวี่ชิงไม่มีความสุข ข้าก็จะเอาออกมาให้เขา’
หลิงเอ๋อร์ในใจคิดเช่นนี้ ขณะที่รู้สึกว่าตัวเองได้เรียนรู้เรื่องที่เป็นประโยชน์ สวี่ชิงก็มาถึงหน้าหลุมฝังศพหัวหน้าเหลยแล้ว
พงหญ้ารกที่นี่เพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย
ป้ายหลุมศพยังคงเหมือนเดิม
สวี่ชิงนั่งลงข้างๆ เงียบๆ พิงต้นไม้ใหญ่พลางมองป้ายหลุมศพ
ตอนนี้ฟ้าสลัวแล้ว รอบๆ มีหมอกเบาบาง กำลังหนาขึ้นอย่างช้าๆ
สวี่ชิงไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เขาเอาสุราออกมาสองกา กาหนึ่งวางไว้ข้างหน้าหลุมศพ อีกกาหนึ่งถือไว้ในมือ ยกขึ้นสูง
“หัวหน้าเหลย เมื่อหลายวันก่อนข้าทำเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง…”
สวี่ชิงยิ้มพลางเอ่ยขึ้น ดื่มสุราพลางพูดไปด้วย
เขาพูดถึงเมืองหลวงเขตปกครอง พูดถึงผู้ครองกระบี่ พูดถึงสงคราม พูดถึงเจ้าวัง
“ศิษย์พี่ใหญ่บอกว่าข้าเติบโตขึ้นแล้ว ใช่แล้ว เจ็ดปีแล้ว…หัวหน้าเหลย แต่ก่อนท่านบอกข้า เวลาจะทำให้ทุกอย่างรางเลือนไป ดังนั้น ท่านรอมานานขนาดนั้น ไม่อยากรอแล้ว
“แต่ทำไมบางครั้งเมื่อข้าหลับตา ก็ยังอยากกินข้าวที่ท่านทำเมื่อตอนนั้นอีกสักมื้อหนึ่งกันเล่า…”
สวี่ชิงพึมพำ หลังจากที่เมืองเป็นเอกถูกทำลายหายไป ตัวเองพเนจรไปในโลก สำหรับคนที่มอบความรู้สึกอบอุ่นเหมือนบ้านเป็นคนแรกให้กับตนที่พบเจอความทุกข์ยากลำบากมา เขาไม่อาจลืมได้เลย
สวี่ชิงก้มหน้า ดื่มสุรา อึกแล้วอึกเล่า
จวบจนยามย่ำค่ำหมุนผ่านไป ราตรีมาเยือน หมอกรอบๆ หนาขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่ท่วมจมทุกอย่าง ในหมอกก็มีเสียงรำพึงรำพันของสวี่ชิงดังขึ้น
“หัวหน้าเหลย ข้าคิดถึงท่าน…”
นานหลังจากนั้น สวี่ชิงถอนหายใจอย่างแผ่วเบาในหมอก โขกศีรษะคารวะหลุมศพ จากนั้นก็ลุกขึ้น ไปจากที่นั่น เดินไปในส่วนลึกพื้นที่ต้องห้ามทีละก้าวๆ
เขาในตอนนั้นได้เจ้าเงาจากที่นี่ จึงคิดจะพามันกลับมาที่นี่อีกครั้ง ให้มันดูดซับไอพลังประหลาดพื้นที่ต้องห้ามแห่งนี้ ดูว่าจะช่วยให้เจ้าเงาทะลวงขั้นได้หรือไม่
ส่วนเจ้าเงาเมื่อสวี่ชิงเข้ามาในพื้นที่ต้องห้ามก็เกิดระลอกคลื่น
อีกทั้งจากการที่สวี่ชิงเดินลึกเข้ามาในตอนนี้ ระลอกคลื่นก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกับที่แผ่ความปรารถนาออกมา ก็แผ่ลามออกไปพื้นที่รอบๆ ใต้เท้าสวี่ชิง
ทุกที่ที่ผ่าน ต้นไม้ทุกต้นเริ่มไหวเอน ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นโลงศพ มีดวงตาเต็มไปหมด
และหมอกที่นี่ก็แผ่ออกไปตามเงา แล้วเปลี่ยนมาหนาแน่นขึ้นอย่างกะทันหัน อีกทั้งยังแผ่ความละโมบออกมาเป็นระลอกๆ เหมือนว่าในจุดลึกของหมอกมีสายตาชั่วร้ายจับจ้องมาที่ร่างของสวี่ชิงและเจ้าเงา
สิ่งที่ตามมาคือเสียงแซ่กๆ ซู่ซ่า เหมือนมีตัวตนนับไม่ถ้วนกำลังซุบซิบกันอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามที่เงียบสงบ ลอยมาในหมอกนี้
สวี่ชิงมองหมอกผาดหนึ่ง ในดวงตาฉายประกายเย็นเยียบ แต่ก็ยังคงเคลื่อนไปข้างหน้า จวบจนสวี่ชิงเดินผ่านหมู่ศาลเจ้าในอดีตตอนนั้น เดินเข้าไปในจุดลึกพื้นที่ต้องห้าม หมอกที่นี่หนาแน่นเป็นอย่างมาก ขณะที่แผ่ออกไปอยู่ตลอด ท่ามกลางความรางเลือน เขาได้ยินเสียงเพลง
นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาได้ยินเสียงเพลงในพื้นที่ต้องห้าม
พื้นที่ต้องห้ามแห่งนี้มีตำนานหนึ่ง หากคนที่ได้ยินเสียงเพลงไม่ตาย เช่นนั้นก็จะได้รับของขวัญจากพื้นที่ต้องห้าม ในยามที่ได้ยินเสียงเพลงเป็นครั้งที่สองจะได้เห็นคนที่อยากพบเจอ
ตอนนี้จากเสียงก้องกังวานของเพลง รอบๆ เปลี่ยนมาเยียบเย็น ความเย็นยะเยือกแผ่มาจากทั่วทุกสารทิศ
ฝีเท้าสวี่ชิงหยุดชะงัก เขาเงยหน้าขึ้น ทอดสายตามองไปในหมอกที่ไกล ที่นั่น…มีเสียงฝีเท้าดังมา