Skip to content

Outside Of Time 557

บทที่ 557 แสงหิ่งห้อยในราตรีดำมืด

ในถ้ำที่มืดสลัว ตวนมู่ฉางลอยอยู่กลางอากาศ หันหน้ากลับมามองสวี่ชิง

เสียงของเขาสะท้อนก้อง กลายเป็นเสียงแว่วไปรอบด้าน

สวี่ชิงลุกขึ้น คารวะไปทางตวนมู่ฉาง พยักหน้า

“ขอบคุณ”

ก่อนหน้านี้ตวนมู่ฉางขอบคุณเขา เพราะเขาสาธยายโลกภายนอกไว้อย่างงดงาม มอบความหวังให้กับคนที่นี่

เขาขอบคุณตวนมู่ฉาง เพราะความเชื่อใจของอีกฝ่าย

ตวนมู่ฉางโบกมือ เบื้องหน้าเขาก็ปรากฏคลื่นวน เขาก้าวเข้าไป และรอสวี่ชิงอยู่ในคลื่นวน

สวี่ชิงก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าวเข้าไปในคลื่นวน

นี่เป็นครั้งแรกในช่วงหนึ่งเดือนนี้ที่เขาออกจากสุสานชั้นที่หนึ่ง เวลานี้จากการเดินเข้าไปในคลื่นวน โลกธรรมดาใบหนึ่งก็สะท้อนเข้ามาในดวงตาสวี่ชิง

ยังคงเป็นใต้ดิน แต่อาณาเขตกว้างกว่าที่เขาอยู่ก่อนหน้ามากนัก เป็นเมืองใต้ดินเมืองหนึ่งได้

ขวักไขว่จอแจ เสียงหัวเราะมีความสุขดังออกมาจากในเมืองชั่วพริบตานี้ข้างหูสวี่ชิง หลิงเอ๋อร์ก็โผล่ศีรษะออกมา มองไปที่เมือง

ในเมืองนั้นล้วนเป็นเผ่ามนุษย์ มีจำนวนนับแสนคน

นี่เป็นครั้งแรกที่สวี่ชิงเห็นเมืองเผ่ามนุษย์นับตั้งแต่มาถึงแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา และเป็นครั้งแรกที่เห็นเผ่าพันธุ์เดียวกันมากมายถึงเพียงนี้

ต่อให้เตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่เสี้ยวขณะนี้ในใจสวี่ชิงก็ยังคงโหมระลอกคลื่น เขายิ่งเห็นว่าเพดานดินของที่นี่มีผ้าม่านสีน้ำเงินขนาดยักษ์บดบังไว้

ผ้าม่านนี้ขนาดใหญ่มหึมา กางแผ่อยู่บนท้องฟ้า ราวกับทองฟ้าสีคราม

บนนั้นยังวาดพวกเมฆขาวเอาไว้ สวยงามอย่างยิ่ง

ส่วนบนพื้น แม้จะเป็นเมืองใต้ดินเช่นนี้ แต่กลับมีพืชสีเขียว ยิ่งพื้นที่ว่างที่ไกลๆ ก็มีพืชผลกำลังงอกงามอีกด้วย

ระหว่างฟ้าดิน ยังมีกลุ่มแสงขนาดยักษ์ดวงหนึ่ง สิ่งที่ประกอบอยู่ในนั้นคือเพลิงสวรรค์ ใช้วิธีการพิเศษผนึกเอาไว้ในขวด และทำให้มันกลายเป็นดวงอาทิตย์

แสงสาดส่อง ความก้าวหน้าแผ่ซ่านไปทั้งถ้ำตามเสียงอ่านหนังสือของเด็กๆ

ตลอดทางที่เดินมา เผ่ามนุษย์ที่สวี่ชิงเห็นทั้งหมดถ้าไม่ใช่ชินชา ก็เป็นอาหาร ฐานะต่ำต้อยด้อยค่า

สวี่ชิงจึงทราบดีอย่างยิ่งว่าการสร้างเมืองเผ่ามนุษย์แห่งหนึ่งขึ้นที่นี่ ปกป้องเผ่าพันธุ์เดียวกันให้อยู่รอดปลอดภัยเป็นจำนวนมากเช่นนี้ ต้องมีพละกำลังและจิตใจกว้างขวางถึงจะทำได้

ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งทุกคนที่จะยอมปกป้องคนธรรมดา สำหรับผู้วิเศษผู้แข็งแกร่งมากมาย ทำให้ตนเองมีชีวิตที่ดี สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

“ที่นี่ คือบ้านของข้า” ตวนมู่ฉางเอ่ยเสียงแผ่วเบา

สวี่ชิงรู้สึกนับถือในใจ คารวะอีกครั้ง

ความรู้สึกของเขาที่มีต่อตวนมู่ฉางก็เปลี่ยนแปลงตามเวลาที่ไหลผ่านไป โดยเฉพาะตอนนี้ สิ่งที่ตาเห็นสิ่งที่ใจรู้สึก ทำให้ความรู้สึกเปลี่ยนไปขนาดพลิกฟ้าพลิกดิน

ตวนมู่ฉางมองเมืองแห่งนี้ด้วยสีหน้าอบอุ่น ในแววตาสะท้อนแสงเพลิงสวรรค์ที่หักเหอยู่บนฟากฟ้า ใบหน้าเผยรอยยิ้ม

ดั่งชายชราที่มีใจเมตตาคนหนึ่งกำลังมองลูกหลานชนรุ่นหลัง

“เผ่ามนุษย์ในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ด้วยเหตุผลทางประวัติศาสตร์บางอย่าง ทำให้ชีวิตตกระกำลำบาก ทุกระทมขมขื่นมาทั้งชีวิต ตอนข้าเด็กๆ ก็เป็นเช่นนี้

“สิ่งที่เจ้าเห็นเบื้องหน้า ส่วนใหญ่ผู้ที่ต้องแบกรับความทุกข์ทรมานและเจ็บปวดในพื้นที่ความร่วมมือสองเผ่า”

ตวนมู่ฉางเอ่ยเสียงแผ่วเบา เขาในตอนนี้ ราวกับเป็นคนละคนกับตอนที่ปะทะกับต่างเผ่าเหนือทะเลเพลิงสวรรค์

ราวกับเมื่อกลับมาที่นี่ ความเจ้าเล่ห์ ความชั่วร้าย ความโหดเหี้ยมทั้งหมดของเขาก็หายไปโดยสัญชาตญาณ

ที่เหลืออยู่ มีเพียงความอบอุ่น

“ความสามารถข้ามีจำกัด ช่วยเหลือทุกภาคส่วนไม่ได้ ทำได้เพียงช่วยเหลืออย่างเต็มที่เท่านั้น ช่วยได้ก็ช่วย ทีละเล็กทีละน้อย ก็มากมายถึงเพียงนี้เสียแล้ว”

คำพูดของตวนมู่ฉาง รวมถึงภาพตรงหน้า ทำให้สวี่ชิงสั่นสะท้านอย่างยิ่ง เขายิ่งเข้าใจว่าสถานที่หลบภัยเผ่ามนุษย์เช่นนี้ในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ต้องเอาชีวิตรอดอยู่ตามซอกหลืบอย่างไม่ต้องสงสัย

ขณะที่ระลอกคลื่นโหมซัดในใจ สวี่ชิงเดินตามตวนมู่ฉางอยู่ด้านหลัง เข้าไปในเมืองแห่งนี้ด้วยกัน

สิ่งปลูกสร้างในเมืองส่วนใหญ่ล้วนธรรมดา เสื้อผ้าของผู้คนส่วนใหญ่ก็เรียบง่าย ได้หรูหราอะไร และรอบๆ ไม่มีร้านรวงอยู่เลย

ที่นี่ไม่มีการแลกเปลี่ยน มีเพียงช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

รอยยิ้มบนหน้าทุกคนที่สวี่ชิงเห็นล้วนอิ่มเอม เขาเห็นทั้งวัยกลางคน วัยหนุ่มสาวและเด็กน้อย

เพียงแต่ไม่มีวัยชรา

“พวกคนแก่ๆ ยอมเลือกที่จะตาย พวกเขาไม่อยากจะสิ้นเปลืองเสบียง”

ตอนที่ตวนมู่ฉางพูดประโยคนี้ สีหน้าก็โศกเศร้า แต่ไม่นานนักความโศกเศร้านั้นก็เก็บซ่อนลงไปท่ามกลางเสียงตื่นเต้นของคนรอบๆ ทั้งหมด

“เจ้ารัฐ!”

“คารวะเจ้ารัฐ!”

“ท่านปู่เจ้ารัฐนี่นา คารวะท่านปู่ขอรับ”

“ท่านปู่เจ้ารัฐ เมฆบนฟ้าข้ามองอยู่นานสองนานแล้ว ทำไมถึงไม่ขยับเลยขอรับ”

คนรอบๆ หลั่งทะลักเข้ามา สีหน้าคนวัยกลางคนล้วนเป็นความนอบน้อม สีหน้าของวัยหนุ่มสาวล้วนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ส่วนเด็กๆ ก็เหมือนกับเจอกับญาติผู้ใหญ่ รีบร้อนวิ่งเข้ามาเล่นรอบๆ ตัวตวนมู่ฉาง

ใบหน้าตวนมู่ฉางเปี่ยมรอยยิ้ม อุ้มเด็กชายคนหนึ่งขึ้นมา ยิ้มพลางเอ่ยว่า

“เมฆบนท้องฟ้าย่อมขยับได้ เพียงแต่ตอนนี้มันหลับอยู่ รอมันตื่นมันก็จะขยับ ต้องขยับแน่นอน”

ในเสียงหัวเราะรื่นเริง สายตาของผู้คนล้วนไปหยุดอยู่ที่ร่างสวี่ชิง ตึงเครียดเล็กน้อย แต่ส่วนมากคือเจตนาดี ประหนึ่งขอแค่เป็นผู้ที่ตวนมู่ฉางพามา สำหรับพวกเขาแล้วล้วนเป็นคนกันเอง

สวี่ชิงเดินตามตวนมู่ฉางในเมืองเงียบๆ เขาเห็นสถานการณ์เช่นนี้มากมายตลอดทาง และเห็นว่าในเมืองนี้ยังมีโถงศึกษาอยู่อีกด้วย

“ประวัติศาสตร์ต้องบอกเล่า อารยธรรมก็ต้องสืบสาน ต่อให้เผ่ามนุษย์จะยากลำบากในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา แต่ข้าก็ยังอยากให้เผ่ามนุษย์ส่วนได้รับรู้ถึงความรุ่งโรจน์ในอดีตของพวกเรา

“จะหลงลืมไปไม่ได้”

ตวนมู่ฉางมองโถงศึกษา เอ่ยอย่างทอดถอนใจ

สวี่ชิงเงยหน้ามองโถงศึกษา ที่นั่นมีเสียงอ่านหนังสือดังออกมา พูดถึงประวัติศาสตร์ในอดีตของเผ่ามนุษย์

มีหลายจุดที่ผิด ถูกปรับเปลี่ยนให้ดูดีสวยงาม

นอกจากนี้ ในเมืองนี้ยังมีสถานที่ในการสอนฝึกบำเพ็ญรวมถึงความรู้ด้านพืชพรรณอีกด้วย สามารถทำให้คนธรรมดามีโอกาสที่จะครอบครองพลังที่มากกว่าคนธรรมดาได้

ที่นั่นส่วนใหญ่เป็นเด็ก

ตอนเดินมาถึง สวี่ชิงได้ยินเสียงของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งดังมาจากด้านใน

“ท่านอาจารย์ หญ้าเจ็ดใบที่ท่านพูดถึงข้ารู้จัก แต่ว่าก่อนหน้านี้ข้าไปหามาตั้งหลายที่ก็ยังไม่เจอเลย แล้วก็ไม้โคดีดนั่น ก็หาไม่เจอเหมือนกันเจ้าค่ะ!”

ตวนมู่ฉางก็ได้ยินเสียงนี้เช่นกัน เอ่ยเสียงแผ่วว่า

“วิชาฝึกบำเพ็ญรวมถึงความรู้เรื่องพืชพรรณที่นี่ บางอย่างเป็นสิ่งที่ข้ารู้ บ้างก็เป็นสิ่งที่ข้าแย่งชิงหรือแลกเปลี่ยนมาจากโลกภายนอก ส่วนใหญ่เป็นบันทึกโบราณ ไม่ค่อยจะมีประโยชน์อะไรแล้ว เช่นพวกพืชพรรณ ส่วนใหญ่ในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรานี้ไม่มีอยู่แล้ว

“แต่ก็อย่างไรเสียก็เป็นความรู้ ไม่แน่…อนาคตอาจจะมีประโยชน์”

เมื่อสวี่ชิงได้ยินก็พยักหน้าเงียบๆ

ทั้งสองคนปลีกตัวออกมา เดินไปทั่วเมือง สวี่ชิงยังเห็นผู้บำเพ็ญระดับล่างอย่างสือพั่นกุยอีกมากมาย พวกเขาล้วนเป็นองครักษ์คอยคุ้มครองในเมือง รับผิดชอบออกไปด้านนอกแลกเปลี่ยนสิ่งของจำเป็นต้องใช้ในเมืองยามที่ไม่มีเพลิงสวรรค์

เวลาค่อยๆ เคลื่อนคล้อย

ตอนที่ผ้าม่านสีน้ำเงินบนท้องฟ้าค่อยๆ กลายเป็นสีดำตามการหม่นแสงของเพลิงสวรรค์ ตอนที่วัตถุจำนวนมากคล้ายแสงดารากระพริบวูบวาบ สวี่ชิงก็เดินจนทั่วทั้งเมือง

แสงดาราเหล่านั้น คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากกระจกของเผ่าเงาคันฉ่อง

ใต้ม่านราตรี ตวนมู่ฉางยืนอยู่ด้านนอกบ้านที่ว่างเปล่าแห่งหนึ่ง หันมาสบตาสวี่ชิง มองอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยเสียงแหบพร่าออกมาว่า

“บ้านของข้า เป็นอย่างไรบ้าง”

สวี่ชิงเอ่ยขึ้นอย่างหนักแน่น

“ไม่ถึงกับเป็นคุณธรรมอันยิ่งใหญ่หรอก” ตวนมู่ฉางส่ายศีรษะ

“สิ่งที่เจ้าเห็นทั้งหมด คือข้ากำลังปกป้องพวกเขา แต่ความจริง…พวกเขาก็กำลังอยู่เป็นเพื่อนข้าเช่นกัน

“ดังนั้นข้าจึงบอกว่าที่นี่ คือบ้านของข้า”

ตวนมู่ฉางเอ่ยเสียงแผ่วเบา เดินไปไกลๆ สวี่ชิงกำลังจะตามไป เสียงของตวนมู่ฉางก็ดังก้องมา

“เพลิงสวรรค์ผ่านท้องฟ้า ยังอยู่อีกสองเดือน เจ้าอยู่ที่นี่ชั่วคราวก่อนแล้วกัน”

สวี่ชิงชะงักฝีเท้า เขารับรู้น้ำหนักของประโยคนี้ เพราะสำหรับตวนมู่ฉางแล้ว นี่เท่ากับให้เขาเข้ามาอยู่ในบ้าน

ดังนั้นสวี่ชิงทำหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ประสานหมัดคารวะ

ตวนมู่ฉางเดินไปไกลๆ เขาก็พักอยู่ในเมืองนี้ จนร่างของเขาหายลับไปจากสายตา สวี่ชิงจึงหันหน้ามองบ้านที่อยู่ด้านหลัง

สิ่งปลูกสร้างเรียบง่าย ในความรู้สึกเขา กลับแผ่ความอบอุ่นที่แผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราไม่มีออกมา

สวี่ชิงจึงเข้ามาอยู่ที่นี่เช่นนี้

หลิงเอ๋อร์ก็เลือกแปลงร่างชั่วคราว ใบหน้าเล็กเบิกบาน จัดการบ้านหลังน้อย เหมือนพยายามจะใช้การกระทำบอกกับสวี่ชิงว่า นางก็ทำงานบ้านเป็น

เห็นหลิงเอ๋อร์ก้มหน้าก้มทำงานบ้าน สวี่ชิงก็แย้มยิ้ม ทั้งตัวคนค่อยๆ ผ่อนคลาย ลองปรับตัวให้กลมกลืนกับเมืองนี้

การปรับตัวให้กลมกลืนไม่ได้ยากเย็น

เจตนาดีที่มาจากทุกคน สามารถละลายช่องว่างทั้งหมดได้ และทำให้จิตใจของสวี่ชิงยิ่งมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ

ฟ้าสีดำเข้ามาแทนที่สีคราม เพลิงสวรรค์มืดลง ครึ่งเดือนผ่านไป

ในครึ่งเดือนนี้ สือพั่นกุยมาหาเจ็ดแปดครั้ง ทุกครั้งที่มาล้วนติดของอร่อยมาด้วย ฝีมือของภรรยาเขาดีมาก ของว่างที่ส่งมาให้หลิงเอ๋อร์ชอบเป็นพิเศษ

ทว่าตอนแรกหลิงเอ๋อร์ไม่จำแลงกายต่อหน้าคน เมื่อคุ้นเคยแล้ว จึงปรากฏตัวต่อหน้าสือพั่นกุยในภายหลัง

หลังจากสังเกตเห็นหลิงเอ๋อร์ สือพั่นกุยก็ตกตะลึง หลังจากนั้นตอนที่มาหาครั้งถัดไป เขาก็ไม่ได้มาคนเดียว แต่ยังพาหญิงสาวที่รุ่นราวคราวเดียวกับเขาและเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งมาด้วย

สือพั่นกุยเอ่ยอย่างนอบน้อม หญิงสาวข้างกายเขารวมถึงเด็กผู้หญิงคนนั้นก็ตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด โค้งคารวะมาทางสวี่ชิง

สวี่ชิงใบหน้าฉายแววอ่อนโยน ก่อนหน้านี้เขาถามสือพั่นกุยว่าทำไมวันนั้นจึงออกไปด้านนอก อีกฝ่ายก็กล่าวตามตรงว่าเขาไปซื้อยาให้ภรรยา

ภรรยาของเขาร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยบ่อยๆ สองเดือนก่อนอาการป่วยกำเริบหนัก สือพั่นกุยก็ร้อนใจ ดังนั้นต่อให้รู้ว่ามีเพลิงสวรรค์จะมา ก็ยังต้องเสี่ยงออกไปเมืองของสองเผ่าเพื่อหาซื้อยา

เป็นการกระทำที่เสี่ยงอันตรายมาก แต่เขาไม่มีทางเลือก

“เจ้ารัฐปกป้องเผ่ามนุษย์นับแสนคน แต่เมื่อทุกคนมีเรื่องจะไปหาแต่ท่านเจ้ารัฐไม่ได้”

ตอนที่สือพั่นกุยตอบคำถามสวี่ชิงครั้งนั้น เอ่ยออกมาเช่นนี้

ผู้คนของที่นี่ พวกเขาซาบซึ้งและเคารพตวนมู่ฉาง จึงไม่อยากให้มีเรื่องใดๆ ไปกวนใจเขา พวกเขาดูแลตัวเองได้

ความดีงามของที่นี่ ทั้งชีวิตของสวี่ชิงเจอมาไม่มากนัก ดังนั้นหลังจากที่สายตาเขากวาดไปที่ร่างภรรยาสือพั่นกุย ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็ล้วงพวกยาลูกกลอนออกมาจากถุงเก็บของ ส่งให้สือพั่นกุย

“คู่ฝึกเต๋าของเจ้าพิษหยินในถ้ำรวมถึงหยางชั่วร้ายจากเพลิงสวรรค์สะสมอยู่ ทำให้ขัดแย้งกัน ยาลูกกลอนนี้ทำให้เป็นกลางได้ ให้กินติดต่อกัน แม้จะแก้ไม่ได้อย่างหมดจด แต่ก็สามารถสะกดไว้ได้ระดับหนึ่ง”

สือพ่ายกุยตื่นเต้น ภรรยาเขาก็ซาบซึ้งเช่นกัน สองสามีภรรยาคุกเข่าลงคารวะขอบคุณ แต่ถูกสวี่ชิงประคองตัวขึ้นมา

“กินขนมของพวกเจ้าไปตั้งมากมาย ยาลูกกลอนเหล่านี้เป็นสิ่งที่สมควรอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้หรอก”

สองสามีภรรยาสือพั่นกุยยิ่งซาบซึ้งมากกว่าเดิม เด็กผู้หญิงข้างๆ ก็แอบมองถุงเก็บของที่สวี่ชิงหยิบขวดยาออกมา คล้ายครุ่นคิด

ไม่นานนัก พวกเขาก็จากไป พวกเขาต้องส่งเด็กผู้หญิงคนนั้นไปเรียนหนังสือ

หลังจากพวกเขาออกไป หลิงเอ๋อร์ก็หยิบของว่างมากินอย่างชื่นมื่น จากนั้นก็มองสวี่ชิง ดวงตากลายเป็นรูปจันทร์เสี้ยว รู้สึกภาคภูมิ

‘พี่สวี่ชิงของข้าเที่ยงธรรมกับผู้อื่นมากที่สุดแล้ว ไม่มีทางถือตัวเพียงเพราะอีกฝ่ายพลังบำเพ็ญด้อยกว่า เขาเป็นคนอบอุ่นอยู่นะ’

เห็นหลิงเอ๋อร์มองตนเองเช่นนี้ สวี่ชิงก็ประหลาดใจ

“เป็นอะไรไปหลิงเอ๋อร์”

“เปล่าเจ้าค่ะ” หลิงเอ๋อร์หน้าแดง วิ่งไปอยู่ข้างกายสวี่ชิง ดึงแขนของเขา เอ่ยเสียงแผ่วเบา

“พี่สวี่ชิง พวกเราออกไปเดินเล่นกันดีหรือไม่เจ้าคะ”

สวี่ชิงเงยหน้ามองสีท้องฟ้าผาดหนึ่ง ตอนนี้ท้องฟ้าโลกภายนอกเป็นช่วงเวลากลางวัน จึงพยักหน้า เดินออกจากบ้านไปกับหลิงเอ๋อร์ ออกเดินเล่นในเมืองแห่งนี้

หลิงเอ๋อร์ตื่นเต้นตลอดทาง กระโดดโลดเต้นอยู่ข้างๆ สวี่ชิงเหมือนเด็กน้อย และความน่ารักของนาง ก็ทำให้ชาวบ้านในเมืองนี้หลังจากที่เห็นก็ยิ้มออกมา

มีบางคนหยิบของกินของบ้านตนออกมา เมื่อหลิงเอ๋อร์เดินไปทักทายทุกคนอย่างร่าเริง มีของกินให้ก็เป็นเรื่องน่ายินดีมิใช่หรือ

เห็นท่าทางไร้เดียงสาของหลิงเอ๋อร์ สวี่ชิงก็ยิ้มออกมา

พวกเขาเดินไปเรื่อยๆ ผ่านหัวถนน ผ่านถนนยาว เดินตรงไปยังโถงศึกษา

วันนี้บทเรียนในโถงศึกษาก็อธิบายเรื่องพืชพรรณ สวี่ชิงก็หยุดฝีเท้ามองเข้าไปจากเสียงที่ดังมาออกมา

โถงศึกษานั้นเปิดกว้าง เด็กในเมืองล้วนมาเรียนได้ ผู้ที่อธิบายเรื่องพืชพรรณคือหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง นางไม่มีร่างกายท่อนล่าง นั่งอยู่บนรถเข็น สอนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

เด็กรอบๆ ที่อายุน้อยสุดคือเจ็ดแปดขวบ ที่โตสุดก็สิบสามสิบสี่ ฟังกันอย่างตั้งอกตั้งใจ โดยเฉพาะในบรรดานั้นมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เบิกตากว้าง ฟังพลางจดบันทึกไปด้วยคล้ายลืมเลือนสิ่งรอบข้าง

เด็กสาวคนนี้คือน้องสาวของสือพั่นกุยนั่นเอง

มองเด็กๆ เหล่านี้ สวี่ชิงก็นึกถึงตนเองตอนอยู่ที่ฐานที่มั่นคนเก็บกวาด ตอนนั้นหลังจากที่ปรมาจารย์ไป๋ยอมให้เขาเข้าไป ก็ตั้งใจอย่างยิ่งพร้อมความปรารถนาในใจ

เขามองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินจากไป

แต่ละวันผ่านพ้นไปครึ่งเดือนอีกครั้ง

เพลิงสวรรค์ผ่านท้องฟ้าสามเดือน สวี่ชิงอยู่ที่สุสานชั้นหนึ่งหนึ่งเดือน อยู่ในเมืองนี้อีกหนึ่งเดือน

นิสัยเขาไม่ชอบความคึกคัก ดังนั้นเวลาส่วนใหญ่จึงอยู่ในห้องนั่งสมาธิเงียบๆ แต่หลิงเอ๋อร์อยู่ว่างๆ ไม่ได้ ตอนแรกยังขอให้สวี่ชิงอยู่กับนาง ต่อมาเมื่อเริ่มคุ้นเคยกับคนในเมือง ก็วิ่งแจ้นออกไปทุกวัน

แม้จะไม่ค่อยกังวลว่าหลิงเอ๋อร์จะมีปัญหาอะไร แต่สวี่ชิงก็ยังให้บรรพจารย์สำนักวัชระติดตามไป

ระดับความนิยมของหลิงเอ๋อร์ในเมืองนี้มากกว่าสวี่ชิงเสียอีก โดยเฉพาะด้วยการแนะนำของภรรยาสือพั่นกุย นางก็ได้รู้จักกับพี่สาวรวมถึงป้าๆ มากมาย

คนเหล่านี้ล้วนชอบนาง และอยากรู้ความสัมพันธ์ของนางกับสวี่ชิง

ช่วงเวลานี้ทุกครั้ง หลิงเอ๋อร์ก็จะหน้าแดงก่ำเขินอาย

ดังนั้นพี่สาวกับเหล่าป้าๆ เหล่านั้น ก็เริ่มถ่ายทอดวิชาต่างๆ ให้นาง บางคนบอกนางว่าต้องหัดทำกับข้าว จะครองใจบุรุษก็ต้องจับกระเพาะให้อยู่หมัดเสียก่อน

หลิงเอ๋อร์หวั่นไหว เรียนรู้อย่างตั้งใจ

บางคนบอกนางว่า เป็นสตรีเรื่องเย็บปักถักร้อยจะขาดมิได้ บุรุษของตนจะใส่เสื้อผ้าที่คนอื่นเย็บไม่ได้ หลิงเอ๋อร์จึงยิ่งหวั่นไหว

นางหมายมั่นปั้นมือว่าหลังจากนี้เสื้อผ้าทั้งหมดของพี่สวี่ชิง นางจะเป็นคนเย็บเอง

วันที่ห้าหลังจากที่หลิงเอ๋อร์ไปหัดทำอาหาร สวี่ชิงก็ได้กินกับข้าวฝีมือหลิงเอ๋อร์เป็นครั้งแรกเช่นนี้

มองกับข้าวไหม้เกรียม สวี่ชิงเงยหน้ามองสายตาเฝ้ารอด้วยอย่างกังวลใจของหลิงเอ๋อร์ กินไปคำหนึ่ง

เคี้ยวแล้วกลืนลงช้าๆ ครู่หนึ่งก็เข้าไปในท้อง

“พี่สวี่ชิงเป็นอย่างไรบ้าง อร่อยหรือไม่เจ้าคะ”

หลิงเอ๋อร์ประหม่า

สวี่ชิงเงียบนิ่ง ครู่ต่อมาจึงก็คลี่ยิ้ม

“อร่อยมาก”

หลิงเอ๋อร์ดีใจทันที

“เช่นนั้นพี่สวี่ชิงก็กินเยอะนะเจ้าคะ”

สวี่ชิงลังเล สุดท้ายก็กินจนหมด ขณะที่กำลังจะนั่งสมาธิ หลิงเอ๋อร์ก็ส่งเสียงตื่นเต้นออกมา

“พี่สวี่ชิง พรุ่งนี้ข้าจะทำอีกมาให้อีกนะเจ้าคะ”

สวี่ชิงเงียบนิ่งไปอีกหลายอึดใจ พยักหน้าให้

นอกจากนี้ ที่ได้รับความนิยมไม่ใช่แค่หลิงเอ๋อร์เท่านั้น หลังจากที่บรรพจารย์สำนักวัชระจำแลงกาย ก็ค่อยๆ ได้รับการยอมรับจากทุกคนในเมือง กระทั่งต่อมายังมากกว่าหลิงเอ๋อร์ด้วยซ้ำ

สาเหตุคือตอนที่คอยคุ้มครองหลิงเอ๋อร์แล้วเดินผ่านสถานที่เล่านิทานแห่งหนึ่ง เมื่อได้ยินนักเล่านิทานด้านในกำลังพูดเป็นต่อยหอย เขาก็ดูถูกในใจ จึงจำแลงกายแล้วเล่านิทานที่เขาเคยอ่านตอนหนึ่ง

สำหรับผู้คนในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรานี้ เรื่องที่บรรพจารย์สำนักวัชระเล่าถือว่าแปลกใหม่มาก โดยเฉพาะบรรพจารย์สำนักวัชระยังสอดแทรกเรื่องราวบางอย่างที่เกิดขึ้นกับสวี่ชิงในเนื้อหาด้วย

เมื่อเป็นเช่นนี้จึงยิ่งสมจริง ได้รับเสียงตอบรับไม่ขาดสาย

เริ่มแรกคนที่ฟังก็มีไม่น้อย ต่อมาก็เพิ่มขึ้นในทุกวัน ส่วนบรรพจารย์สำนักวัชระที่หวาดกลัวจนตัวสั่นอยู่ข้างกายสวี่ชิงมาตลอด นานมากแล้วที่ไม่ได้ถูกเยินยอเช่นนี้

ดังนั้นขณะที่ใจของเขาคันยุบยิบ ตอนที่หลิงเอ๋อร์ไปเรียนทำอาหารกับเย็บปักถักร้อย เขาก็แอบออกมาเล่านิทานหลายต่อหลายครั้ง

เช่นเวลานี้ เขานั่งอยู่ในศาลาริมทางแห่งหนึ่ง รอบด้านมีคนล้อมอยู่นับร้อย

มองผู้คน บรรพจารย์สำนักวัชระกระแอมไปขึ้นเสียงหนึ่ง เอ่ยอย่างไม่ยี่หระว่า

“ครั้งที่เล่าถึงเรือเวทนับหมื่นของเจ็ดเนตรโลหิตออกเดินทางพร้อมกัน เข้าปิดล้อมเกาะเงือก

“ส่วนบรรพจารย์เกาะเงือกผู้นั้นก็หาใช่พวกจิตใจดีงาม พลังบำเพ็ญ…”

ขณะที่ผู้คนกำลังเคลิบเคลิ้ม บรรพจารย์สำนักวัชระก็บรรยายอย่างคล่องแคล่วดึงดูดใจ น้ำเสียงมีจังหวะจะโคน ดึงดูดคนให้ดื่มด่ำเพลินเพลินได้ง่าย กระทั่งตวนมู่ฉางที่อยู่กลางอากาศ ก็ยังซ่อนตัวอยู่ที่นั่น ฟังพลางพยักหน้า

จนถึงช่วงสายัณห์ ตอนที่ผ้าสีน้ำเงินบนฟากฟ้าสลัว เสียงพูดของบรรพจารย์สำนักวัชระจึงหยุดชะงัก กระแอมไอเบาๆ

ผู้คนกำลังฟังถึงช่วงสำคัญ เมื่อได้ยินก็ร้อนรนทันที พากันโห่

“ปัดโถ่ เล่าตอนนี้ให้จบก่อนเถิด”

“สั้นๆๆ สั้นเสียเหลือเกิน!”

“เมื่อตอนบ่ายเล่าอะไรไป ทำไมข้าถึงจำไม่ได้เลย!”

“ไม่ได้การ เล่ามาอีกท่อนสิ ตัดจบตรงนี้ได้อย่างไร!”

บรรพจารย์สำนักวัชระได้ยินก็ยิ้ม

“ข้าอ่านหนังสือนิทานมานับหมื่นม่วน แม้ตอนนี้ดูเหมือนจืดชืด แต่ที่จริงได้ซ่อนความลับเอาไว้ พวกเจ้าจะทำเหมือนกลืนพุทราลงไปทั้งลูกทีเดียวไม่ได้ ต้องลิ้มชิมรสอย่างละเมียดละไม ถึงจะสัมผัสได้ถึงรสชาติด้านใน”

พูดจบ ท่ามกลางเสียงหัวเราะที่ดังเกรียวกราวรอบด้าน บรรพจารย์สำนักวัชระก็ฮัมเพลง มือไพล่หลังเดินออกมา แอบคุ้มครองหลิงเอ๋อร์ต่อ

บรรพจารย์สำนักวัชระกับหลิงเอ๋อร์ต่างมีความยอดเยี่ยมน่าชื่นชม เจ้าเงาอิจฉามาก มันก็อยากออกไปเที่ยวเล่นบ้างแต่ไม่กล้า ทุกวันทำได้แค่แผ่อยู่บนพื้น มองสวี่ชิงที่นั่งสมาธิราวกับเป็นท่อนไม้ตาปริบๆ

แต่สวี่ชิงทางนี้ก็มีแขกมาเยี่ยมเยือน นอกจากสือพั่นกุยแล้ว บางครั้งน้องสาวเขาหรือเด็กสาวคนนั้นวิ่งมาหาเช่นกัน

ทุกครั้งที่เด็กสาวอายุสิบเอ็ดสิบสองปีคนนี้มาก็หยิบอาหารอย่างพวกมันเทศติดมาด้วย วางไว้ข้างๆ สวี่ชิงอย่างว่าง่าย

จากนั้นก็มองสวี่ชิง ค่อนข้างประหม่า ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร สุดท้ายก็ไม่เอ่ยออกมา

กระทั่งผ่านไปหลายครั้ง ในที่สุดนางก็ทนไม่ไหว ถามขึ้นมาคำถามหนึ่ง

“พี่ชาย ท่าน…ท่านหลอมยาลูกกลอนได้หรือไม่เจ้าคะ”

นางจำเรื่องที่สวี่ชิงมอบยาลูกกลอนให้พี่สะใภ้ตนเองวันนั้นได้

สวี่ชิงได้ยินก็พยักหน้า

เด็กสาวก็ตื่นเต้นทันที หยิบสมุดเล็กๆ เล่มหนึ่งออกมา ถามคำถามเกี่ยวกับพืชพรรณ

“หญ้าเจ็ดใบ มีอีกชื่อว่าหญ้าปัดเป่าสิ่งประหลาด เป็นพืชวิญญาณจำพวกไม้ล้มลุกตระกูลหญ้าที่มีดอกหรือเมล็ดอยู่ที่ยอดของลำต้น มีอายุมากกว่าสองปี เติบโตตามพื้นที่ที่แสงแดดส่องไม่ถึงไปจนสถานที่อับชื้น และจะไม่เติบโตในที่ที่ไร้พลังวิญญาณ”

สวี่ชิงเอ่ยอย่างอ่อนโยน

หลังจากที่เด็กสาวได้ยินก็บันทึกทันที จากนั้นก็ถามคำถามที่สองเกี่ยวกับพืชพรรณที่นางได้เรียนและถามอาจารย์ของนางไปหลายครั้งแต่ก็ยังไม่ได้คำตอบอย่างรวดเร็ว

สวี่ชิงเป็นคนช่างอดทน อธิบายอย่างละเอียด ส่วนเด็กสาวก็ถามไม่หยุด นอกจากสวี่ชิงจะอธิบายแล้ว ก็เห็นความพากเพียรในด้านพืชพรรณรวมถึงความสามารถการจดจำที่ยอดเยี่ยมของอีกฝ่ายด้วย

อย่างหลังคือพื้นฐานของการเรียนรู้พืชพรรณ

และการถามตอบรอบนี้ ก็ดำเนินไปกว่าสองชั่วยามถึงจบลง

ไม่กี่วัน เด็กสาวก็มาอีกครั้ง ครั้งนี้ถือมันเทศมามากกว่าเดิม วางลงข้างๆ อย่างนอบน้อม เริ่มสอบถาม

สวี่ชิงมองมันเทศ ยิ้ม และอธิบายอย่างละเอียด

จนสายัณห์มาถึง เด็กสาวก็ถอนหายใจยาว จากไปอย่างร่าเริง เพียงแต่ในคืนนั้นเอง พี่ชายเขาก็พานางมาหาสวี่ชิง ต่อว่านางว่าไม่ควรรบกวนผู้อาวุโส

เมื่อเห็นว่าคนในครอบครัวตึงเครียดใส่กัน สวี่ชิงจะเอ่ยปาก แต่สังเกตเห็นว่าสีหน้าของเด็กสาวแฝงความดื้อรั้นเอาไว้ เขาคิด ก็ไม่กล่าวอะไรมาก เพียงพยักหน้า

สวี่ชิงอยากจะเห็น ว่าเด็กสาวคนนี้ จะมาสอบถามอะไรต่ออีกหรือไม่

หลายวันต่อมา นางก็มาหาอีกครั้ง

ครั้งนี้นางเปลี่ยนวิธีการแล้ว ล้วงหญ้าธรรมดาๆ ต้นหนึ่งออกมาจากในอกอย่างระมัดระวัง เอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“ท่านอาจารย์ นี่ใช่หญ้ากกดอกขาวที่ท่านเคยกล่าวถึงหรือไม่เจ้าคะ”

สวี่ชิงแปลกใจ นี่เป็นต้นหญ้าธรรมดาทั่วไป

เขาจึงมองเด็กสาวคนนี้ด้วยสายตาลำลึก บอกถึงวิธีการแยกหญ้ากกดอกขาวรวมถึงหญ้าสมุนไพรอื่นๆ ให้

หลายวันหลังจากนี้ เหมือนรู้สึกว่าวิธีนี้ได้ผล ดังนั้นแทบจะทุกวันเด็กสาวก็จะมาหา หยิบหญ้าสมุนไพรอื่นๆ มาสอบถาม

สวี่ชิงก็อธิบายอย่างละเอียดทุกครั้ง

เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้อีกครั้ง ไม่นานเพลิงสวรรค์ผ่านท้องฟ้าที่โลกภายนอกก็ใกล้จะจบสิ้น

“ต้องไปแล้ว”

สวี่ชิงพึมพำ มองบ้านหลังน้อย แผ่ประสาทสัมผัสปกคลุมไปรอบทิศ หาตัวหลิงเอ๋อร์ที่กำลังเรียนเย็บปักถักร้อยกับพวกป้าๆ และหาตัวบรรพจารย์สำนักวัชระที่กำลังพูดเป็นต่อยหอยที่ศาลาริมทาง

มองเผ่ามนุษย์ในเมือง สวี่ชิงเงียบนิ่งอยู่เนิ่นนาน ทำได้เพียงถอนหายใจเบาๆ ออกมา

“เจ้าจะไปแล้วหรือ”

เสียงของตวนมู่ฉางดังก้องข้างหูสวี่ชิง ร่างเงาของเขาก็ปรากฏขึ้นในบ้านอย่างไร้ซุ่มเสียง มองสวี่ชิง

สวี่ชิงพยักหน้า

ตวนมู่ฉางเงียบนิ่ง ผ่านไปครู่หนึ่งก็นั่งลง

“สุราของเจ้าไม่เลวเลย”

สวี่ชิงยิ้ม นำสุราที่เตรียมไว้ในถุงเก็บของออกมาครึ่งหนึ่ง ใส่ในถุงเก็บของอีกใบ ยื่นให้ตวนมู่ฉาง

ตวนมู่ฉางรับไปแล้วก็มอง ใบหน้าเผยรอยยิ้ม จากนั้นมองสวี่ชิง จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า

“ข้าจะไม่รับสุราของเจ้าไปเปล่าๆ หรอก ก่อนหน้านี้ข้าเห็นเจ้าวุ่นอยู่ในทะเลเพลิงสวรรค์ น่าจะใช้ไฟที่นั่นฝึกบำเพ็ญวิชาอะไรใช่หรือไม่

“ข้าจะให้เจ้ายืมสมบัติลับชิ้นหนึ่ง สมบัติชิ้นนี้หลบเลี่ยงเปลวเพลิงได้ระดับหนึ่ง ทำให้เจ้าดำลงไปในหินหนืดได้ลึกยิ่งขึ้น เช่นนี้ก็จะไม่เผยตัวออกมาด้านนอกแล้ว ปลอดภัยขึ้นไม่น้อย”

พูดพลาง ตวนมู่ฉางก็ยกมือขวา ผายฝ่ามือ

ด้านใน มีลูกตาที่เส้นเลือดสีน้ำตาลแผ่ลามไปทั่วดวงหนึ่ง เผยความแปลกประหลาดออกมา จ้องสวี่ชิงเขม็ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!