Skip to content

Outside Of Time 560

บทที่ 560 ผู้อาวุโส ข้าไม่อร่อยจริงๆ ขอรับ!

เหนือทะเลเพลิงสวรรค์ ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดล่องลอย แผ่แสงสีแดงไร้ที่สิ้นสุดออกมา ราวกับเลือดสดซ่านกระเซ็นไปทั่วสารทิศ เสียงตึกตักที่มาจากหัวใจ ดังก้องไปทั้งฟ้าดิน

ผู้บำเพ็ญที่เห็นภาพนี้ทั้งหมดล้วนใจสั่นสะท้าน ไม่กล้ามองตรงๆ คุกเข่าคารวะจากที่ไกลๆ รีบร้อนทะยานจากไป

ตำหนักเทพไม่สนใจแม้แต่น้อย

สำหรับตำหนักเทพ พวกนั้นเป็นเพียงเนื้อแกะเท่านั้น เดิมก็เลี้ยงปล่อยอิสระ ดังนั้นให้เคลื่อนไหวเสียหน่อย เลือดลมก็จะยิ่งดี

เวลานี้ผู้บำเพ็ญตำหนักเทพบนอุกกาบาตยังคงหลับตาอยู่ ส่วนในตำหนักเทพบนหัวใจ มีร่างในชุดคลุมสีแดงเจ็ดร่างกำลังนั่งสมาธิอยู่เช่นกัน

เจ็ดคนนี้มาจากหลายเผ่า ในบรรดานี้มีหกตนอยู่ด้านล่าง หนึ่งตนอยู่ด้านบน

ผู้ที่อยู่ด้านบนคือเผ่าปีกทะยาน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยขนนกของเขาไร้อารมณ์ คลื่นพลังหวนสู่อนัตตาทั้งร่างเดี๋ยวชัดเดี๋ยวเลือน ส่วนหกตนด้านล่าง ล้วนเป็นหญิงสาวสวมชุดแดงเหมือนกัน พลังบำเพ็ญในในระดับสมบัติวิญญาณ

พวกเขากำลังเฝ้ารอ เฝ้ารอสหายกลับมา

ภารกิจให้อาหารและทำให้กับผนึกต้องห้ามเสถียรเช่นนี้ จะเกิดสัญลักษณ์ยุ่งยากบางอย่างขึ้นมา ดังนั้นปกติผู้ที่ไปทำภารกิจจะเป็นผู้ที่ไม่ได้รับความสำคัญจากตำหนักเทพ

แม้จะตรวจสอบประสาทสัมผัสเทพไม่ได้เพราะการตัดขาดของหินหนืด อีกทั้งเวลาที่รอจะนานสักเล็กน้อย แต่ไม่ได้ล่าช้ามากนัก และฐานะรวมถึงความคิดของพวกเขาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่คิดว่าจะมีสิ่งไม่คาดคิดเกิดขึ้น

ดังนั้น ตอนนี้คนเหล่านี้จึงยังนั่งสมาธิ

แต่ที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ ตอนนี้ใต้หินหนืดหนึ่งพันจั้ง สหายของพวกเขา สีหน้าหญิงสาวชุดแดงคนนั้นกำลังเปลี่ยนไปอย่างมาก ในใจโหมคลื่นน่าตื่นตะลึง

ด้วยจิตสังหารรุนแรงในใจสวี่ชิง ใช้ปราณก่อกำเนิดพระจันทร์สีม่วงในร่างกายก็ควบคุมค่ายกลพระจันทร์สีชาดที่ติดตั้งที่นี่ได้ในพริบตา เพียงโบกมือยักษ์สีแดงเจ็ดแปดข้างก็ปรากฏขึ้นมา พุ่งเข้าหาหญิงสาวชุดแดงคนนั้นอย่างรวดเร็ว

ช่วงวิกฤติสำคัญ หญิงสาวชุดแดงใจสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง นางรู้ดีว่าอำนาจของตนไม่อาจเปรียบกับอีกฝ่ายได้ หากตนไม่มีป้ายของบรรพจารย์ เกรงว่าแม้แต่คุณสมบัติต่อต้านก็ไม่มี

และข้อได้เปรียบเดียวของนางเวลานี้ ก็คือพลังบำเพ็ญ

นางที่อยู่ในช่วงหล่อเลี้ยงมรรคาดวงดาราเจิดจรัส ก็ใกล้จะก่อวิถีสวรรค์สำเร็จแล้ว ความแข็งแกร่งของพลังต่อสู้นาง เพียงพอจะสะกดผู้บำเพ็ญปราณก่อกำเนิดทั้งหมด

‘ให้ตายเถอะ ถ้าไม่ได้อยู่ที่นี่ ข้าคงบีบคนผู้นี้ให้ตายได้ง่ายๆ ไปแล้ว!’

หญิงสาวชุดแดงสองมือทำปาง เส้นเลือดแผ่ลามในดวงตา ดันออกด้านนอกอย่างแรง ฉับพลันด้านหลังนางก็มีสมบัติลับคลังหนึ่งปรากฏออกมา พ่นเพลิงพายุสายอัสนี จะสังหารไปเบื้องหน้า

พริบตาที่ปะทะกับมือยักษ์สีเลือดเจ็ดแปดข้าง

เสียงครืนครันก็ดังออกมาจากใต้หินหนืด หญิงสาวชุดแดงกระอักเลือด มือยักษ์เจ็ดแปดข้างนั้นสลายหายไปจากการแทรกแซงของป้ายรวมถึงการต้านทานจากพลังนางเอง

“ไม่ว่าเจ้าจะมาจากที่ใด ไม่ว่าเพราะอะไรเจ้าจึงมีอำนาจเทพเช่นนี้ แต่สุดท้ายเจ้าก็ยังอ่อนแออยู่ดี!”

หญิงสาวชุดแดงพ่นเลือดสดออกมา ขณะที่เอ่ยอย่างกราดเกรี้ยว ดวงตาก็เปล่งประกายเย็นวาบ นางเลิกหนีแล้ว เตรียมลงมือจับกุม

คิดว่าหากจับอีกฝ่ายได้ เรื่องนี้จะต้องสั่นสะเทือนไปทั้งตำหนักพระจันทร์สีชาดแน่ ถึงตอนนั้น ความชอบของตนจะต้องน่าครั่นคร้ามแน่นอน

คิดถึงจุดนี้ ดวงตาหญิงสาวชุดแดงก็ฉายแววเด็ดขาด ขณะโบกมือสมบัติลับนอกร่างก็แปรเปลี่ยนอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ในนั้นมีเสียงคำรามลอดออก ราวกับอสูรยักษ์ในสมบัติลับจะพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว พลังน่าหวาดหวั่นแผ่ซ่านไปทั้งแปดทิศ ปกคลุมไปทางสวี่ชิง

สวี่ชิงขมวดคิ้ว รู้สึกเสียดาย

ผนึกต้องห้ามพระจันทร์สีชาดที่นี่แข็งแกร่งมากจริงๆ เพียงแต่ด้วยอำนาจเทพที่สวี่ชิงมีในตอนนี้ เกรงว่าระดับน่าจะสูงกว่าป้ายของอีกฝ่าย แต่ถึงอย่างไรก็ยังไม่มีกำลังมากพอ

เขาเคลื่อนพลังผนึกต้องห้ามมากกว่านี้ไม่ไหว

ตอนนี้เห็นว่าสมบัติต้องห้ามของอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ พลังสะกดที่น่าตกตะลึงปะทะใบหน้า ร่างกายเขายังดี แต่จิตวิญญาณกลับสั่นสะท้าน แผ่วิกฤตเป็นตายรุนแรงออกมา

ดวงตาสวี่ชิงฉายแววเด็ดขาด พลันโบกสองมือ ทั้งร่างก็เปล่งแสงสีม่วงวูบวาบในทันตา ปราณก่อกำเนิดพระจันทร์สีม่วงปรากฏขึ้นเหนือศีรษะ กลายเป็นพระจันทร์สีม่วงดวงหนึ่ง!

เหนี่ยวนำผนึกต้องห้ามพระจันทร์สีชาดมากมายในที่แห่งนี้มารวมกันเบื้องหน้าสวี่ชิงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นเกราะป้องกัน สกัดกั้นแรงกดดันที่มาจากสมบัติลับของหญิงสาวชุดแดง

เสียงครืนครันดังกึกก้องทันที หินหนืดรอบด้านก็แหวกม้วน ขณะที่กลายเป็นพื้นที่ว่างโล่ง หญิงสาวชุดแดงก็ถูกสกัดกั้นจนก้าวถอย

เส้นเลือดนางปูดโปนไปทั้งร่าง ดั่งไส้เดือนนับไม่ถ้วนกำลังเลื้อยอยู่ใต้ผิวหนัง ความพรั่นพรึงในใจรุนแรงยิ่งกว่าก่อนหน้านี้มหาศาล

“เจ้าเป็นใครกันแน่!”

หญิงสาวชุดแดงร้องเสียงหลงอีกครั้ง เสี้ยวขณะที่พระจันทร์สีม่วงปรากฏขึ้น ทำให้นางรู้สึกเหมือนเห็นเทพเจ้า กระทั่งร่างกายยังเกิดการตอบสนองที่ควบคุมไม่ได้ขึ้นมา เกิดอยากเข้าไปสักการะบูชาอย่างไร้สติ

หากพลังบำเพ็ญของนางไม่ได้กลายเป็นสมอ ทำให้เจตจำนงของตนมั่นคง เกรงว่านางคงจะทนไม่ไหวลงไปคุกเข่าคารวะแล้ว

ความรู้สึกเช่นนี้ ทำให้นางขนลุกชูชัน ราวกับในสมองมีอัสนีฟาดผ่านับหมื่นครั้ง

ส่วนทางสวี่ชิงก็ไม่ค่อยดีนัก แม้เขาจะใช้ผนึกต้องห้ามพระจันทร์สีชาดสกัดกั้น แต่ความแตกต่างของพลังบำเพ็ญ ก็ยังทำให้เขาทนรับได้ยากยิ่ง ร่างกายยังพอไหว แต่หลักๆ คือจิตวิญญาณ

ความรู้สึกเหมือนจิตวิญญาณถูกฉีกกระชาก ทำให้สวี่ชิงสมองอื้ออึง หน้ามืด เจ็บปวดอย่างยิ่ง

ราวกับมีดาบเล่มหนึ่ง แทงเข้ามาในสมอง และบิดไปมาไม่หยุด

ดวงตาสวี่ชิงมีเส้นเลือดปรากฏขึ้นมา แต่เขารู้ว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญยิ่ง จะผ่อนคลายไม่ได้เด็ดขาด จึงฝืนทนความเจ็บปวดจากการที่สมองถูกฉีกทึ้งฉีก สองมือประกบปาง

ปราณก่อกำเนิดพระจันทร์สีม่วงเหนือศีรษะเขาก็ทำปางเช่นเดียวกัน พลังพระจันทร์สีม่วงระเบิดขึ้นอีกครั้ง กลายเป็นตาข่ายสีม่วงขนาดยักษ์ผืนหนึ่ง ดันตาข่ายยักษ์สีแดงที่นี่ครืนครันไปทางหญิงสาวชุดแดง

หญิงสาวชุดแดงสะกดความตื่นตะลึงและความหงุดหงิดในใจ กัดฟันกรอด เริ่มเผาไหม้สายโลหิตในร่างกาย ป้ายที่อยู่ในมือก็เผาไหม้เช่นกัน

“เทพจุติ!”

หลังจากที่แผดเผาทุกสิ่ง เสียงคำรามต่ำกราดเกรี้ยวก็ดังออกมาจากปากของหญิงสาวชุดแดง

เลือดหลั่งไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองของนาง สีหน้าบิดเบี้ยวทรมาน ร่างกายปรากฏรอยปริแตกขึ้นหลายจุด เลือดสดหลั่งรินไม่หยุด อาบไปทั่วร่าง สภาพของนางนอกจากสองมือที่ไม่ได้ยกขึ้นมาปิดหน้าแล้ว ก็แทบไม่แตกต่างอะไรกับรูปปั้นพวกนั้นเลย

โดยเฉพาะพริบตาต่อมา ที่ดวงตาทั้งสองของนางระเบิดออกมา

สวี่ชิงเคยเห็นภาพนี้มาก่อน ตอนนั้นจางซืออวิ้นก็เป็นเช่นนี้

และท่ามกลางเสียงสะท้อนก้อง พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลวูบหนึ่งก็ปะทุบนร่างหญิงสาวชุดแดงคนนี้ทันที

แม้ว่าชื่อหมู่จะอยู่ในห้วงนิทรา ไม่อาจมาจุติได้ แต่พริบตานี้ ผนวกกับป้ายและการแผดเผาร่างกายตัวเอง กลิ่นอายพลังวิเศษที่แผ่กำจายออกมาจากหญิงสาวชุดแดง ทำให้ผนึกต้องห้ามพระจันทร์สีชาดรอบด้านชะงักไป

อำนาจควบคุมของสวี่ชิงได้รับผลกระทบในพริบตา หยุดชะงักไป

ใช้โอกาสนี้ หญิงสาวชุดแดงพุ่งออกจากหินหนืดไปทันที สุดท้ายนางก็เลือกหนีออกจากที่นี่ พระจันทร์สีม่วงของสวี่ขิง ทำให้นางหวาดกลัวอย่างรุนแรง

ขอแค่นางได้พุ่งออกไป เมื่อสหายของนางสังเกตเห็นจะต้องลงมือแน่นอน แม้ความชอบจะถูกแบ่งไปบ้าง แต่ตอนนี้นางไม่มีทางเลือก นางกังวลว่าหากยืดเยื้อต่อไป พระจันทร์สีม่วงประหลาดนั่น จะทำให้นางคุ้มคลั่ง

เห็นว่านางจะพุ่งออกไป สายตาสวี่ชิงก็ฉายแววบ้าคลั่ง เขาไม่ยอมปล่อยให้คนผู้นี้หนีไปได้โดยเด็ดขาด จึงไหววูบ พุ่งไปหาอีกฝ่าย

เส้นใยสีทองในร่างกายยืดออกมา สูงสามจั้งในพริบตา สะกดไปทางนั้น

ดวงตาสีเลือดของหญิงสาวส่งเสียงครืนครันประหลาดออกมา ยกสองมือขึ้นโบกไปเบื้องหน้า ฉับพลันในสมบัติลับก็มีเปลวไฟสีดำหวยพุ่งออกมา กลายเป็นหน้าผีหน้าตาอัปลักษณ์ พุ่งไปกลืนกินสวี่ชิงอย่างโหดเหี้ยม

ร่างสวี่ชิงสั่นเทิ้มบ้าคลั่ง สลายจากสามจั้งกลับกลายเป็นขนาดคนปกติอีกครั้ง ปราณก่อกำเนิดของเขาสั่นสะท้าน พ่นกลิ่นอายวิญญาณออกมา จิตวิญญาณเขาใกล้จะแตกเป็นเสี่ยงๆ

ยังดีที่ตะเกียงแห่งชีวิตสนับสนุนคุ้มครอง จึงไม่ได้แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

แต่สวี่ชิงทราบดี หากสัมผัสอีกครั้ง เกรงว่าจิตวิญญาณของตนจะทนรับต่อไปไม่ไหว ทว่าการสกัดสุดชีวิตของเขาครั้งหนึ่งก็มีประโยชน์สำคัญยิ่ง

หญิงสาวชุดแดงที่สมบัติลับอยู่ในระหว่างก่อวิถีสวรรค์ สุดท้ายนางก็ยังถูกถ่วงรั้งความเร็วไว้เล็กน้อย

ตอนนี้เอง ผลกระทบจากการที่เทพจุติทำให้ผนึกต้องห้ามที่นี่เริ่มอ่อนแอ การควบคุมของสวี่ชิง เริ่มฟื้นคืนกลับมา

ด้วยการควบคุมของเขา ผนึกต้องห้ามกลายเป็นมือยักษ์สีเลือดข้างหนึ่งอีกครั้ง คว้าหญิงสาวชุดแดงจากด้านล่าง

ในช่วงเวลาสำคัญ ดวงตาสวี่ชิงฉายประกายหม่น มองไปทางหญิงสาว

เข็มนาฬิกาตะเกียงแห่งชีวิตนาฬิกาแดดห้าดวงในร่าง ถูกดึงออกพร้อมกันในพริบตานี้

เวลาเชื่องช้าลง!

ตอนนี้เวลาที่เป็นของหญิงสาวชุดแดงถูกบีบให้ช้าลงอย่างเงียบเชียบ

ร่างของนางหยุดชะงัก ไม่มีปฏิกิริยาและไม่รู้ตัว

และการหยุดชะงักนี้ ก็คือความเป็นความตาย!

ชั่วพริบตา เสี้ยวขณะที่ร่างของหญิงสาวฟื้นคืนกลับมา มือใหญ่ผนึกต้องห้ามก็ครืนครันจากเบื้องล่าง คว้าร่างของนางเอาไว้ กระชากลงมาอย่างแรง

มือใหญ่ก็พุ่งออกมาต่อเนื่องในจำนวนที่มากกว่าเดิม จับซ้อนทับกันเป็นทอดๆ ลากลงไป

ฝืนหยุดเวลาของผู้แข็งแกร่งสมบัติวิญญาณคนหนึ่ง สำหรับสวี่ชิงแล้ว สิ่งที่ต้องแลกมหาศาลนัก ตะเกียงแห่งชีวิตนาฬิกาแดดของเขา ผุพังทันที กระทั่งเกิดรอยร้าวขนาดใหญ่ขึ้นหลายรอย

ขอแค่ไม่แตกสลาย สวี่ชิงคิดว่ายังฟื้นฟูได้ ตอนนี้เขาก็ไม่มีเวลาสนใจสิ่งเหล่านี้ ฝืนทนความเจ็บปวดจากการที่จิตวิญญาณถูกฉีกกระชาก สองมือทำปาง ควบคุมผนึกต้องห้ามรอบด้านอย่างต่อเนื่อง

พลังของผนึกต้องห้ามปะทุขึ้นไม่หยุด ลากหญิงสาวชุดแดงคนนั้นไปยังรอยแยกหุบเหวลึกของโลงศพ!

เสียงในรอยแยกหุบเหวลึก หลังจากที่สวี่ชิงปรากฏตัว ก็ไม่ดังออกมาอีกเลย ทว่าหลังจากสัมผัสภาพนี้ได้ ด้านในก็มีเสียงกลืนน้ำลายดังมาทันที

ในน้ำเสียงแฝงความปรารถนา แฝงความคุ้มคลั่ง

ส่วนหญิงสาวชุดแดงที่ถูกมือใหญ่นับไม่ถ้วนจับไว้ สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก ระลอกคลื่นในใจซัดโหมรุนแรงยิ่งขึ้น ความรู้สึกวิกฤตเป็นตายทำให้นางสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ดวงตาฉายแววคุ้มคลั่ง

นางรู้ว่าหากถูกลากลงไปในหุบเหวลึกจะมีจุดจบอย่างไร ดังนั้นตอนนี้จึงดิ้นรนสุดกำลัง แต่ก็ทำได้แค่ประวิงเวลาออกไป สุดท้ายร่างกายก็ค่อยๆ เข้าใกล้หุบเหวลึกอยู่ดี

เห็นเป็นเช่นนี้ ความสิ้นหวังในดวงตานาง ปากส่งเสียงกรีดร้องแหลม ทั่วร่างปะทุเปลวเพลิง ไม่ใช่แค่กำลังแผดเผาพลังบำเพ็ญ แต่แผดเผาชีวิตของนางเช่นกัน

ใช้พลังทั้งหมดแฝงไปในเสียง กลายเป็นคลื่นเสียงระดับทำลายล้าง ทำให้หินหนืดรอบๆ สลายไปเป็นวงกว้าง พยายามแผ่ออกไปเพื่อขอความช่วยเหลือจากโลกภายนอก

สวี่ชิงก็กระอักเลือดภายใต้เสียงนี้ ดวงตาแดงก่ำ เห็นว่าหญิงสาวยังต่อต้านอยู่ หลังจากที่เขาคำนวณเวลาในใจ ก็พุ่งออกไปพลัน

สองอึดใจต่อมา สวี่ชิงก็เข้าใกล้หญิงสาวที่กำลังส่งเสียงร้องแหลมอย่างโหดเหี้ยม ยกสองมือขึ้น ใช้ร่างกายตนเป็นอาวุธเข้าพุ่งชน

ยิ่งถีบตัวเอง เร่งความเร็วให้หญิงสาวตกลงไปในหุบเหวลึก

และการสัมผัสที่ใกล้ชิดเช่นนี้ จิตวิญญาณของสวี่ชิงเริ่มแตกสลาย แต่เขาก็ยังอาศัยเจตจำนงอันแรงกล้าฝืนทนไว้ ช่วงเวลาอึดใจที่หก สุดท้ายก็เข้าไปในหุบเหวลึกพร้อมกับหญิงสาวชุดแดงที่สิ้นหวังจากการถูกมือใหญ่ผนึกต้องห้ามพันธนาการไว้!

พริบตาที่เข้าไป สวี่ชิงเห็นดวงตาขนาดยักษ์สีน้ำเงินคู่หนึ่งรวมถึงปากที่กว้างไร้จุดจบ

พริบตาต่อมา ก่อนที่จิตวิญญาณของสวี่ชิงจะแตกสลายทั้งหมด เขาก็ปะทุพลังนาฬิกาแดด

ย้อนกลับ!

ร่างของสวี่ชิงราวกับไม่มีตัวตน เลือนรางในหุบเหวลึก ราวกับว่าช่วงเวลานี้ถูกทำลายกลายเป็นชิ้นส่วนมากมายนับไม่ถ้วนในเจ็ดอึดใจก่อนหน้านี้ แล้วรวมตัวกันใหม่

ร่างของสวี่ชิงปรากฏขึ้นในหุบเหวลึกอย่างกะทันหัน จิตวิญญาณของเขายังไม่แตกสลาย มีเพียงความเจ็บปวดที่ยังคงอยู่ อาการบาดเจ็บทั้งหมดก็กลับไปยังเจ็ดอึดใจก่อนหน้านี้เช่นกัน

ส่วนหญิงสาวคนนั้น กลับร่วงลงไปในหุบเหวลึกตลอดกาล

เสียงเคี้ยวที่มีความสำราญดังขึ้นเป็นระยะไปรอบทิศ ออกแรงเคี้ยว

แต่วิกฤติยังไม่จบ ไม่ได้มาจากหุบเหวลึกเบื้องล่าง แต่มาจากด้านบนหินหนืด

สวี่ชิงไม่แน่ใจว่าความตายรวมถึงการกระทำก่อนตายของอีกฝ่ายจะดึงดูดโลกภายนอกสนใจหรือไม่ แต่เขาเดิมพันไม่ได้ ดังนั้นต่อให้จิตวิญญาณจะบาดเจ็บหนักในตอนนี้ แต่ก็ยังกัดฟันพุ่งตรงไปยังผนึกต้องห้ามด้านล่าง

พริบตานั้น สวี่ชิงผสานเข้าไปในผนึกต้องห้ามพระจันทร์สีชาด อาศัยพลังพระจันทร์สีม่วงของตนอำพรางร่องรอย ซ่อนตัวอยู่ใต้อักขระหนึ่งที่นูนออกมาด้านนอกของโลงศพ

หลังจากมาถึงที่นี่ สวี่ชิงก็แทบจะควบคุมอาการบาดเจ็บไม่อยู่ เบื้องหน้าดำมืด เขากัดลิ้นอย่างแรง กระตุ้นตนเองให้คงสติเอาไว้

จากนั้นพลังพระจันทร์สีม่วงก็ปกคลุมทั้งร่าง ล้วงหน้ากากอำพรางที่อาจารย์มอบให้มาสวมอย่างรวดเร็ว

หน้ากากนี้ ถ้าไม่ถึงตาจนจริงๆ สวี่ชิงไม่คิดจะใช้

เพราะถ้าใช้มากไป จะถอดออกมาไม่ได้

ทว่าเวลานี้จำเป็นต้องใช้

ขณะเดียวกัน จู่ๆ โลงศพก็สั่นสะเทือน แล้วแผ่พลังอ่อนโยนวูบหนึ่งออกมา ครอบคลุมร่างสวี่ชิงช่วยสนับสนุน

ขณะที่ใจสวี่ชิงสั่น คลื่นพลังน่าตกตะลึงวูบหนึ่งก็พลันแผ่มาจากด้านบนหินหนืด

สวี่ชิงก้มศีรษะลงทันที ไม่ขยับเขยื้อน

ไม่นานนัก หินหนืดด้านบนก็ครืนครัน ระเบิดไปทั่วสารทิศเป็นวงกว้าง ร่างของเผ่าปีกทะยานทะยานในชุดคลุมสีแดงที่มีปีกสีแดงงอกออกมาร่างหนึ่ง ค่อยๆ เดินออกมาในหินหนืด

คลื่นพลังหวนสู่อนัตตาทั่วร่าง ทำให้ที่นี่ความบ้าคลั่งไปหมด

ยืนอยู่ตรงนั้น สายตาทูตเทวะเผ่าปีกทะยานทะยานคนนี้กวาดตามองไปรอบด้าน ขณะเดียวกันในโลงศพก็มีเสียงเคี้ยวลอดออกมา ยิ่งมีเสียงแฝงความพึงพอใจดังก้องออกมา

“ผู้ติดตามของชื่อหมู่ รสชาติไม่เลว”

เมื่อทูตเทวะเผ่าปีกทะยานได้ยินก็มองเข้าไปในหุบเหวลึก ดวงตาเปล่งประกายสีแดง คล้ายมองทะลุทะลวงอาณาเขตได้ระดับหนึ่ง

ครู่ต่อมา เขาก็ขมวดคิ้ว สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายผู้รับใช้เทวะของตน รู้ว่าอีกฝ่ายถูกกลืนไปแล้ว

ส่วนเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่แน่ใจนัก แต่นึกถึงตัวตนที่อยู่ในโลงศพนี้ ก็เหมือนจะเข้าใจได้

“เรื่องนี้ต้องรายงานตำหนักเทพ

“ท่าทางต้องปิดผนึกให้บ่อยครั้งขึ้นสักหน่อยแล้ว”

สายตาทูตเทวะเผ่าปีกทะยานกวาดมองไปยังผนึกต้องห้ามรอบๆ จากนั้นก็ยกมือขวาขึ้น หยิบผลึกวารีที่ดูเหมือนเลือดออกมาเม็ดหนึ่ง เมื่อบีบจนแตกก็ทำให้มันผสานเข้าไปในผนึกต้องห้าม

ทันใดนั้นคลื่นพลังของผนึกต้องห้ามที่นี่ก็ยิ่งเข้มข้น

ทพเรื่องเหล่านี้เสร็จ เขาก็มองรอยแยกนั้นอย่างเย็นชา หันหลังร่างไหววูบออกไปจากที่นี่

การตายของผู้รับใช้เทวะคนหนึ่ง สำหรับโลกภายนอกแล้วคือเรื่องใหญ่ แต่สำหรับเขาแล้วไม่ได้สลักสำคัญอะไร แค่รู้สาเหตุการตายก็เพียงพอ

สวี่ชิงไม่ได้ออกไปทันที เขารอจนผ่านไปครึ่งวัน เมื่อยืนยันว่าทูตเทวะคนนั้นออกไปแล้วจริงๆ จึงผ่อนคลายลง และอาการวิงเวียนศีรษะรวมถึงความเหนื่อยล้าที่มาจากอาการบาดเจ็บของจิตวิญญาณ ทำให้สวี่ชิงอ่อนล้ามาก

ดีที่ตอนที่เขามองเข้าไปในนาฬิกาแดดของตนแล้วพบว่าแม้พวกมันจะผุพังไปบ้าง แต่จากการเคลื่อนที่ของเข็มนาฬิกา ก็กำลังฟื้นฟูอยู่

สวี่ชิงโล่งใจ ฝืนลอยออกมา ตอนที่อยู่กลางอากาศจู่ๆ เขาก็ชะงัก เงียบนิ่งไปหลายอึดใจ จากนั้นก็คารวะไปทางโลงศพที่ขนาดเท่าเมืองนั่น

“ขอบพระคุณผู้อาวุโสขอรับ”

ดวงตาสีน้ำเงินปรากฏขึ้นในร่องหุบเหวลึกนั้นที่ฝาโลงแง้มอยู่ จับจ้องมาทางสวี่ชิง

“ร่างของเจ้า มีพลังของชื่อหมู่!”

เสียงอื้ออึง มาพร้อมกับความแปลกประหลาดดังก้องไปทั่วสารทิศ

สวี่ชิงก้มหน้า เอ่ยอย่างนอบน้อม

“ท่านอาจารย์ข้าช่วงชิงมาให้ บัดนี้ไม่ใช่ของพระจันทร์สีชาดอีกแล้ว แต่เป็นของข้าขอรับ”

ม่านตาในโลงศพหดเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่พูดอะไร

สวี่ชิงโบกมือ พลังพิษต้องห้ามก็แผ่ซ่านออกมา

“สิ่งนี้ก็ด้วย”

พูดจบเขาก็แผ่กลิ่นอายของเขาจักรพรรดิภูตออกมา

“และยังมีสิ่งนี้

“นอกจากนี้ร่างกายของข้า ก็เป็นท่านอาจารย์ที่ช่วงชิงมาให้ข้า” สวี่ชิงพูดพลางล้วงก้างปลาออกมา

“พวกมันเป็นชุดเดียวกัน”

“อาจารย์ของเจ้าคือใคร” ครู่ต่อมา ในโลงศพก็ส่งเสียงอู้อี้ออกมา

สวี่ชิงส่ายศีรษะ ทำหน้าจริงจัง

“ผู้อาวุโส ก่อนภารกิจที่อาจารย์มอบให้ข้าจะเสร็จสิ้น เขาไม่อนุญาตให้ข้าเอ่ยนามของเขาขอรับ”

“ภารกิจ?” ดวงตาในโลงศพจ้องเพ่ง

“ภารกิจของข้า คือสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับพระจันทร์สีชาดชื่อหมู่ให้ท่านอาจารย์ ผู้อาวุโสอาจไม่ทราบ ว่าด้วยแผนการของท่านอาจารย์ ชื่อหมู่หลับไหลไปแล้ว

“ข้ามาที่นี่ ก็เพื่อไปยังที่ราบสำนึกบาป เพื่อคำนวณเวลาการมาถึงของพระจันทร์สีชาดขอรับ

“ท่านผู้อาวุโสคือ?” สวี่ชิงเอ่ยถามอย่างนอบน้อม

โลงศพเงียบนิ่งไป สักพัก ด้านในก็ส่งเสียงแหบพร่าอย่างผู้มาประสบการณ์ออกมา

“เจ้าตัวน้อย ข้าไม่เชื่อสิ่งที่เจ้าพูดมา แต่ไม่เป็นไร ข้าสัมผัสได้ว่าพลังชื่อหมู่จากร่างเจ้านั้นช่วงชิงมา ไม่เหมือนกับทูตเทวะเหล่านั้น และเจ้าก็เป็นเผ่ามนุษย์ด้วย

“ส่วนฐานะของข้า…แผ่นดินใหญ่ผืนนี้ เคยเป็นดินแดนของเสด็จพ่อข้า”

สวี่ชิงดวงตาจ้องเพ่ง ในใจโหมระลอกคลื่นลูกมหึมา

“ที่ราบที่เจ้าจะไป ที่นั่นคือที่ที่ฝังกระดูกของเสด็จพ่อข้า”

เสียงในโลงศพแฝงความขมขื่น

“กาลเวลาผ่านไปนานมาก ข้าก็จำวันเวลาไม่ได้แล้ว…

“เจ้าเป็นคนที่สองที่ปรากฏตัวต่อหน้าข้า นอกจากตัวตนจากตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดในช่วงเวลาหลายปีที่ไม่รู้ว่ากี่ปีมานี้ หลายปีก่อนมีอยู่คนหนึ่ง เขารับปากว่าจะช่วยข้าออกไป แต่เขาก็ไม่มาปรากฏตัวนานมากแล้ว

“เล่าให้ข้าฟังหน่อยว่าตอนนี้เผ่ามนุษย์ด้านนอกเป็นอย่างไรบ้าง”

สวี่ชิงเงียบนิ่ง เขาสงสัยว่าคำพูดเหล่านี้เป็นความจริงมากน้อยเพียงใด แต่ตอนนี้จิตวิญญาณบาดเจ็บสาหัสเกินไป สวี่ชิงสัมผัสได้ถึงความอ่อนแอของตนเองแล้ว

นอกจากนี้ มีสาเหตุพิเศษอีกข้อที่ทำให้เขาไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม จึงฟื้นฟูอาการบาดเจ็บพลางแผ่พิษต้องห้ามของตนออกมาขณะที่นั่งสมาธิอยู่ที่เดิม

จากนั้นก็ค่อยๆ เอ่ยบอกเล่าประวัติศาสตร์โลกภายนอกที่ตนรู้ทั้งหมดออกมา บางครั้งที่อาการกำเริบ สวี่ชิงก็จะหยุดมาปรับสภาพ ดีขึ้นถึงเอ่ยต่อ แต่อันที่จริงความตึงเครียดและระแวดระวังในใจเขาก็พุ่งขึ้นถึงขีดสุดตลอดเวลา

เวลาก็ไหลผ่านไปเช่นนี้

หนึ่งวันต่อมา สวี่ชิงก็เล่าจบ

ดวงตาสีน้ำเงินในโลงศพฉายแววย้อนระลึกความทรงจำ มีเสียงพึมพำดังก้องอยู่เนิ่นนาน

“เผ่ามนุษย์ ตกต่ำลงถึงเพียงนี้…”

สวี่ชิงเงียบงัน

ครู่ต่อมา เสียงถอนหายใจแผ่วเบาเสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากโลงศพ ดวงตาสีน้ำเงินคู่นั้นมองมาที่สวี่ชิงอีกครั้ง

“เจ้าตัวน้อย เจ้าบาดเจ็บสาหัสนัก”

สวี่ชิงพยักหน้า ผลึกวารีสีม่วงฟื้นฟูร่างกายได้รวดเร็ว แต่อาการบาดเจ็บทางจิตวิญญาณกลับฟื้นฟูได้เชื่องช้า โดยเฉพาะตอนที่เผชิญหน้ากับตัวตนที่ไม่รู้จักตนนี้ สวี่ชิงจำเป็นต้องตั้งสมาธิทั้งหมด ไม่กล้าผ่อนคลายลงแม้เพียงน้อย

“เห็นแก่ที่เจ้าให้ข้าได้กินของที่ไม่เลว แล้วยังเล่าประวัติศาสตร์เผ่ามนุษย์ให้ข้าฟัง เจ้ามาหาข้า ข้าจะช่วยเจ้าเอง”

ในโลงศพส่งเสียงแหบพร่าออกมา

สวี่ชิงส่ายหน้า

“ขอบคุณความหวังดีของผู้อาวุโส สิ่งเหล่านี้ผู้เยาว์สมควรทำขอรับ”

ในโลงศพเงียบนิ่ง ดวงตาคู่นั้นจ้องมองสวี่ชิง ผ่านไปนับสิบอึดใจ ปราณหมอกสีขาววูบหนึ่งก็แผ่ออกมาจากในหุบเหวลึก ด้านในแฝงไว้ด้วยคลื่นพลังอายุขัยสวรรค์เข้มข้น

“เจ้าไม่จำเป็นต้องระวังข้าถึงเพียงนั้น สิ่งนี้เป็นสิ่งที่แผ่ออกมาจากร่างผู้รับใช้ชื่อหมู่ตนนั้น มอบให้เจ้า”

หลังจากสวี่ชิงสัมผัส สีหน้ายังเป็นปกติ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด เอ่ยเสียงแผ่วเบา

“ผู้อาวุโส ผู้เยาว์พูดจาปากไม่มีหูรูด โปรดอย่าได้ถือสา ข้าแค่อยากจะกล่าวกับท่านว่าข้าไม่อร่อยหรอกขอรับ”

พูดจบ สวี่ชิงก็แผ่พิษต้องห้ามออกมาทั่วร่างอีกครั้ง หลังจากควบคุมไว้ในบริเวณหนึ่ง เขาก็มองดวงตาคู่นั้น

“ผู้อาวุโส ผู้เยาว์อาจจะเข้าใจท่านผิด แต่ผู้เยาว์เพียงอยากบอกท่านว่า อันที่จริงพวกเราล้วนมีจิตปฏิปักษ์กับชื่อหมู่ แม้ข้าจะจิตวิญญาณบาดเจ็บ แต่ยังสามารถควบคุมผนึกต้องห้ามของที่นี่ได้”

สวี่ชิงเอ่ยอย่างนอบน้อม เมื่อโบกมือ ตาข่ายสีแดงก็ปรากฏขึ้นรอบด้าน เปล่งประกายในหินหนืด

“เพราะฉะนั้น ท่านปล่อยข้าไปเถิดขอรับ”

“ข้าไม่ได้ขังเจ้า เจ้าอยู่ด้านนอกโลงศพก็ออกไปได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว” เสียงในโลงศพราบเรียบ

“ผู้อาวุโส” สวี่ชิงสีหน้าจริงจัง เอ่ยทีละคำ

“ข้าไม่ได้อยู่นอกโลงศพเลย ร่างของข้าอยู่ในโลงศพ ขยับเพียงก้าวเดียวก็เดินเข้าไปในปากของท่านแล้ว ท่านเปลี่ยนแปลงการรับรู้ของข้า ข้าทราบดี

“แต่ข้า ไม่อร่อยจริงๆ ขอรับ”

ขณะเดียวกัน ด้านนอกทะเลเพลิงสวรรค์ แดนศักดิ์สิทธิ์ในความร่วมมือของสองเผ่าเงาคันฉ่องและผืนนภา ในเมืองใหญ่โตที่ดูคล้ายกับรังนกรังหนึ่งฝืนประคองรับเพลิงสวรรค์ผ่านท้องฟ้าจนผ่านพ้นไปแห่งนี้

และตอนนี้ กลางท้องฟ้าแดนศักดิ์สิทธิ์มีหัวใจขนาดยักษ์ดวงหนึ่งลอยอยู่ ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดบนนั้นเปล่งแสงสีแดงพิลึกออกมา

ส่วนรอบๆ ก็มีอุกกาบาตสีม่วงแดงอีกนับสิบ แผ่แรงกดดันออกมาเข้มข้น

เบื้องล่างพวกเขา คือระดับสูงทั้งหมดของความร่วมมือระหว่างสองเผ่า ไม่ว่าจะราชครูหรือเจ้ารัฐก็ปรากฏตัวทุกคน คุกเข่าคารวะอย่างนอบน้อมอยู่ตรงนั้น

ไม่ใช่แค่พวกเขาที่คุกเข่า ผู้คนจากทั้งสองเผ่าในเมืองทุกคนล้วนทำเช่นเดียวกัน

ผ่านไปเนิ่นนาน ในตำหนักเทพก็ส่งเสียงครางต่ำออกมา

“วันเซ่นสังเวยของพวกเจ้าคือสี่สิบเก้าวันหลังจากนี้ ครั้งนี้นอกจากผลึกเพลิงสวรรค์แล้ว ยังต้องการอาหารสดอีกห้าแสน”

เสียงสะท้อนก้อง ตำหนักเทพที่อยู่บนหัวใจเต้นช้าๆ ออกไปจากที่แห่งนี้

พวกเขาจะลอยไปยังใจกลางทางตะวันออกของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราเพื่อเฝ้ารอวันที่เผ่าต่างๆ ทางตะวันออกถวายเครื่องเซ่นสังเวยตามที่วันกำหนดไว้ ซึ่งข้อกำหนดของแต่ละชนเผ่าแตกต่างกัน

บรรพจารย์ทั้งสองเผ่ารวมถึงราชครู คารวะส่งอย่างนอบน้อม จนกระทั่งตำหนักเทพหายไปจากเส้นขอบฟ้า เจ้ารัฐสองชนเผ่าถึงกล้าลุกขึ้นยืน มองหน้ากัน

“จำนวนอาหารสด มากกว่าเดิมห้าเท่า…

“หากทำไม่สำเร็จ คงเป็นเผ่าพวกเราที่ถูกนำไปทดแทน”

ทั้งสองเงียบนิ่ง ครู่ต่อมาดวงตาเจ้ารัฐเผ่าผืนนภาก็เปล่งประกายเย็นยะเยือก

“สถานที่ปกป้องเผ่ามนุษย์นั่น หลายปีนี้ที่พวกเราทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น น่าจะรวบรวมอาหารสดไว้ไม่น้อย…

“เลี้ยงไว้ตั้งนานสองนาน ได้เวลาเก็บเกี่ยวเสียที”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!