บทที่ 563 ห่านป่าบินไกลสุดหล้า อนิจจาบินไม่พ้นเงาแสงจันทร์
แสงเพลิงของทะเลเพลิงสวรรค์ สาดส่องท้องฟ้า มองจากไกลๆ แดงเถือกไปทั้งแถบ แม้จะไม่เหมือนเลือด แต่ก็ทำให้คนรู้สึกไม่เป็นมงคล
ส่วนท้องฟ้านอกทะเพลิงสวรรค์ ยิ่งห่างออกไปมากเท่าไร แสงเพลิงยิ่งอ่อนแรง จวบจนถูกความมืดกลืนกินเสี้ยวแสงที่เหลือ ฟ้าดินแปรเปลี่ยนเป็นแสงสลัวไปทั้งผืน เป็นสีเดียวกับรอยเลือดบนพื้นที่หยดมาตามกรงเหล็ก
ทุกที่ที่ขบวนรถเคลื่อนผ่าน รอยเลือดเช่นนี้ปรากฏไปตลอดทาง
และสมาชิกทั้งสองเผ่าในหมู่บ้าน ในตำบลที่เห็นทุกอย่างนี้ แต่ละคนใบหน้าล้วนฉายความละโมบ เลียริมฝีปาก ทอดสายตามองขบวนรถ
สำหรับพวกเขาแล้ว เครื่องเซ่นมนุษย์ที่ถูกขังอยู่ในกรงเหล็กเป็นอาหารอันโอชะ ขณะเดียวกันในช่วงเวลาสำคัญก็สามารถใช้มาเป็นอาหารสดๆ ส่งให้กับตำหนักเทพ ใช้พวกเขาแลกมาซึ่งความสงบสุขของทั้งสองเผ่าต่อไป
นับแต่โบราณกาลมา เรื่องแบบนี้มีมากมายเหลือจะนับ
ไม่ใช่แค่เผ่ามนุษย์ที่เป็นเช่นนี้ ในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราผืนนี้ เผ่าชั้นล่างทั้งหมด ชะตาชีวิตของพวกเขาล้วนเป็นเช่นนี้ หากไม่เป็นอาหารของเผ่าอื่น ก็กลายเป็นเครื่องเซ่นไหว้
ปลาใหญ่กินปลาเล็ก บนแผ่นดินแห่งนี้แสดงออกมาให้เป็นได้ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง
เพียงแต่ในหลายๆ ครั้ง ผู้แข็งแกร่งในสายตาของผู้ที่แข็งแกร่งกว่าก็เป็นผู้อ่อนแอที่เอามากินได้เช่นกัน ไม่มีเผ่าพันธุ์ใดสามารถเป็นเจตจำนงอันสูงส่งสูงสุดได้
ต่อให้เป็นตำหนักเทพก็เช่นกัน
นี่อาจจะเป็นท่วงทำนองแห่งฟ้าดินที่ชะตากรรมบรรเลงออกมาก็เป็นได้
เหมือนเช่นตอนนี้ ลมกำลังส่งเสียงหวีดหวิว มาพร้อมด้วยคลื่นความร้อนพัดผ่านแผ่นดิน ผ่านท้องฟ้า ทำให้ม่านฟ้าเกิดเป็นระลอกคลื่นเป็นชั้นๆ ที่มองไม่เห็น พัดแผ่นดินจนเกิดฝุ่นธุลีเพลิงสวรรค์ราวพายุทราย
ขณะที่ลอยตลบไปทั่วทุกทิศ ในนั้นมีจิตสังหารที่ค่อยๆ เข้มข้นขึ้นกลุ่มหนึ่ง แปรเปลี่ยนเป็นทูตแห่งความตาย แบกเคียวสังหารอำมหิต กำลังปะทุ กำลังทะยานไปอย่างรวดเร็ว กำลังมาถึง!
และต้นกำเนิดจิตสังการกลุ่มนี้มาจากสวี่ชิง!
สวี่ชิงเงียบนิ่งมาตลอดทาง ในดวงตาแฝงด้วยจิตสังหารมหาศาล ความร้อนในอากาศยากจะหลอมละลายความเย็นยะเยือกของเขาได้แม้เพียงเล็กน้อย ความอบอุ่นบนผืนแผ่นดินไม่สามารถท่วมจมจิตสังหารของเขาได้
ภายใต้การชี้นำของหลิงเอ๋อร์ เขามุ่งหน้าไปทางใต้ สำแดงความเร็วทั้งหมด พลังตะเกียงแห่งชีวิตแผ่ซ่านไปทั้งร่าง พลังบำเพ็ญเพิ่มพลังทั้งหมด แลกมาซึ่งความเร็วสูงสุด
ความเร็วเช่นนี้เร็วกว่าขบวนรถ และรอยเลือดบนพื้นก็ทำให้สวี่ชิงรู้ว่าทิศทางของตนนั้นไม่ผิดแน่
‘เป็นทางเส้นนี้!’
สวี่ชิงพึมพำในใจ ความเร็วเร็วยิ่งกว่าเดิม
มาถึงตอนนี้ เขาไม่ต้องให้หลิงเอ๋อร์ชี้ทางต่อแล้ว ไปตามรอบเลือดบนพื้น สวี่ชิงเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วในฟ้าดิน เกิดเป็นลมพายุหอบม้วนไปทั่วทุกทิศ ใกล้กับเป้าหมายเข้ามาเรื่อยๆ
ห้าพันลี้ สามพันลี้ หนึ่งพันลี้ ห้าร้อยลี้…
สี่วันนี้ ในการไล่ตาม ระยะทางที่เดินทางมาไม่ใช่แค่หมื่นลี้ และในยามพลบค่ำของวันที่สี่ ลมพายุแปรเปลี่ยนเป็นเสียงดังกึกก้องท่วมฟ้า ดังมายังขบวนรถที่เคลื่อนไปข้างหน้า
ผู้บำเพ็ญทั้งสองเผ่าที่รับผิดชอบขนย้ายจำนวนหลายร้อย เสียงดังสะท้อนของลมพายุดึงความสนใจของพวกเขาทันที
สิ่งที่เห็นในสายตา ที่ท้องฟ้าไกล สายฟ้าทางหนึ่งฟาดผ่าสนั่นหวั่นไหว
“เกิดอะไรขึ้น!”
สัตว์ยักษ์ในขบวนรถต่างตื่นตระหนก แสดงความแตกตื่นออกมา ผู้บำเพ็ญทั้งสองเผ่าบนนั้นต่างผุดลุกขึ้น ในยามที่สีหน้าฉายแววตื่นตกใจสงสัย ฟ้าดินเปลี่ยนสี เงาร่างของสวี่ชิงปรากฏบนท้องฟ้า
ในที่สุดเขาก็ไล่ตามทัน!
แต่ในพริบตาที่เห็นขบวนรถบนพื้น ในใจของสวี่ชิงก็ส่งความเจ็บปวดมหาศาลมา
เขาเห็นขบวนรถ เห็นกรงมหึมาสิบกรงนั่น
และเห็นในกรง เผ่ามนุษย์นับไม่ถ้วนที่เป็นเหมือนปศุสัตว์ถูกบังคับให้เบียดอัดอยู่ด้วยกัน
ความเฉยชาของพวกเขา ความเจ็บปวดของพวกเขา และยังมีกลิ่นเหม็นเน่าและกลิ่นอายความตายที่ลอยตลบในนั้น ทำให้สวี่ชิงดวงตาแดงเล็กน้อย จิตสังหารเย็นยะเยือกบนร่างของเขาปะทุท่วมฟ้าอย่างไม่อาจควบคุมได้
เงาร่างของเขาแปรเปลี่ยนเป็นรุ้งเส้นยาว ภายใต้การพันล้อมจากสายฟ้านับไม่ถ้วน พุ่งตรงไปยังขบวนรถอย่างรวดเร็ว มาถึงในพริบตา
แผ่นดินสั่นคลอน เกิดดินโคลนลอยขึ้นมานับไม่ถ้วน ยิ่งมีสายฟ้าแผ่ซ่านไปทั่วทิศ
ขบวนรถหยุด สัตว์ยักษ์เหล่านั้นต่างสัมผัสได้ถึงจิตสังหารเย็นเยียบ ต่างเนื้อตัวสั่นเทา ส่วนผู้บำเพ็ญทั้งสองเผ่าบนนั้นต่างสีหน้าเปลี่ยนไป ทำการขัดขวางทันที
“ใครกัน!”
“บังอาจ กล้ามาขัดขวางพวกเราสองเผ่าความร่วมมืออย่างนั้นหรือ!”
“เป็นเผ่ามนุษย์หรือ”
ในยามที่ผู้บำเพ็ญทั้งสองเผ่าโมโหตกใจทะยานตัวออกไป สวี่ชิงที่ร่อนลงพื้นก็พลันเงยหน้า จิตสังหารในดวงตาน่าครั่นคร้าม ทั้งตัวพุ่งออกไป พุ่งตรงไปยังผู้บำเพ็ญเผ่าผืนนภาคนหนึ่งที่อยู่ข้างหน้า
ผู้บำเพ็ญเผ่าผืนนภาคนนี้หน้าเปลี่ยนสี สัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นพลังน่ากลัวที่มาจากร่างของสวี่ชิง คิดจะหลบหลีกแต่ก็ไม่ทันแล้ว สวี่ชิงเร็วมาก ใช้ความแข็งแกร่งกายเนื้อของตนกระแทกไปที่ร่างผู้บำเพ็ญคนนี้
เสียงบึ้มดังขึ้น ผู้บำเพ็ญเผ่าผืนนภาที่รูปร่างสูงใหญ่คนนี้หน้าอกมีรูขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น ถูกสวี่ชิงทะลุผ่านไปทั้งเป็นๆ ร่างของเขาสั่นสะท้านแหลกสลาย
สวี่ชิงไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น ขณะสะบัดมือแสงประกายอรุณแผ่ออก หลังจากแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงสิบทางก็ปกคลุมกรงขังทั้งหมด พลังพิษต้องห้ามในร่างเขาปะทุขึ้นเต็มกำลัง
รอบๆ บิดม้วนทันที ขณะเดียวกับที่ก่อกำเนิดไอพลังประหลาดมหาศาล เสียงร้องโหยหวนก็ดังตามขึ้นมา
ยิ่งมีบรรพจารย์สำนักวัชระคุ้มคลั่ง แปรเปลี่ยนเป็นสายฟ้าสีแดง สังหารไปยังคนทั้งหลาย
หลิงเอ๋อร์ก็กัดฟัน ในสายตามีความโหดเหี้ยมอย่างน้อยนักที่จะได้เห็น ลงมือตามเช่นกัน
แล้วยังมีเจ้าเงา มันสัมผัสได้ถึงความโกรธแค้นของสวี่ชิง และสัมผัสได้ถึงความเศร้าเสียใจของหลิงเอ๋อร์ นี่ทำให้มันโกรธเคืองตามไปด้วย มันแผ่ลามออกไปอย่างรวดเร็ว คุ้มครองอยู่รอบๆ หลิงเอ๋อร์ ลงมือให้นาง
แต่การลงมือของพวกเขาล้วนสู้ความอำมหิตของสวี่ชิงไม่ได้ สวี่ชิงรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง มือขวายกขึ้น กริชปรากฏ เพียงพริบตาก็เข้าประชิดผู้บำเพ็ญเผ่าเงาคันฉ่องคนหนึ่ง มือซ้ายกำเป็นหมัดแล้วชกออกไปเต็มแรง
เสียงบึ้มดังขึ้น ทำลายร่างกระจกของอีกฝ่ายแหลกละเอียด ท่ามกลางเศษกระจกแหลกลาญ หมัดของเขาทะลวงเข้าไปข้างใน พิษต้องห้ามแผ่ออก ทันใดนั้นเสียงร้องครวญครางโหยหวนก็ดังออกมา
สวี่ชิงร่างเพียงไหววูบ ร่างกระแทกไปยังร่างของเผ่าผืนนภาคนหนึ่งที่พุ่งมาจากข้างหลัง กริชในมือตวัดจากข้างล่างขึ้นบน ในยามที่เลือดสดๆ พุ่งกระฉูด สวี่ชิงก็พลิกมือกำกริชแล้วปาดไปที่คอของเขาอย่างเต็มแรง
ศีรษะกระเด็น
จากนั้นวิหคทองก็บินออกไปกลางท้องฟ้า แล้วพลันพ่นไปที่พื้น เพลิงสวรรค์ซัดลงมา ผู้บำเพ็ญทั้งสองเผ่าที่อยู่ท่ามกลางความตื่นกลัวคิดอยากจะหนีสองสามคน ส่งเสียงร้องน่าเวทนาออกมา ร่างถูกเผาทันที
สวี่ชิงใบหน้าไร้อารมณ์ ดวงตาแดงก่ำ ร่างเต็มไปด้วยเลือดสดๆ ลงมือต่อ เข้าไปใกล้ผู้บำเพ็ญเผ่าเงาคันฉ่องอีกคนหนึ่ง
ผู้บำเพ็ญคนนี้เป็นระดับปราณก่อกำเนิด ตอนนี้สีหน้าตกใจโมโห จิตสังหารบนร่างสวี่ชิงทำให้จิตใจของเขาถูกสยบกำราบ กำลังจะถอยหลังแต่กลับสายไปแล้ว สวี่ชิงความเร็วน่าตื่นตะลึง พุ่งทะยานออกไป
เสี้ยวขณะที่สัมผัส เผ่าเงาคันฉ่องระดับปราณก่อกำเนิดคนนี้ก็ประสานปางมือก่อเป็นอาวุธคมขึ้นมาทันที ยิ่งมีลูกไฟวิญญาณจำนวนหนึ่งพุ่งออกมา จับกลุ่มเป็นดอกไม้วิญญาณแปลกประหลาดชั่วร้าย ปกคลุมสวี่ชิงเอาไว้ ดูดกินพลังชีวิต
แต่สวี่ชิงไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลย
กายเนื้อของเขาแข็งแกร่ง ต่อให้ได้รับบาดเจ็บก็มีผลึกวารีสีม่วงฟื้นฟู ดังนั้น นอกเสียจากจะเจอกับผู้แข็งแกร่งที่เพียงการโจมตีครั้งเดียวก็ทำให้เขาไม่อาจทนรับได้ ไม่เช่นนั้นแล้ว การใช้อาการบาดเจ็บแลกมาซึ่งการสังหาร เดิมก็เป็นรูปแบบการลงมือมาโดยตลอดของเขา
ตอนนี้เพิ่งเข้ามาใกล้ ท่ามกลางเสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหว สวี่ชิงปล่อยให้เคล็ดวิชาของอีกฝ่ายซัดมาที่ร่างของตัวเอง ดวงตาของเขาฉายแววเหี้ยมเกรียม อ้าปากกลืนดอกไม้วิญญาณของอีกฝ่ายลงไป
พิษต้องห้ามในกายปะทุ ดับมันในพริบตา
กริชในมือแทงไปเต็มแรง ครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดคนนั้นคิดจะดิ้นรน แต่กลับไร้ประโยชน์ ท่ามกลางเสียงร้องโหวหวนเวทนา เลือดสดๆ ในร่างสาดกระเซ็นออกมา
นี่ก็เป็นเวลาเพียงแค่เสี้ยวพริบตาเท่านั้น สวี่ชิงหลังจากที่ทำลายร่างสิงสถิตของอีกฝ่ายจนแหลก ก็ปาดคอของอีกฝ่าย ทำลายพลังชีวิต
จากนั้นก็โยนออกไป ทุ่มใส่ผู้บำเพ็ญสองเผ่าคนอื่นที่พุ่งมาข้างหลัง มือซ้ายประสานปางมือ กดไปข้างหน้า
ทันใดนั้น ข้างหลังมีร่างมารฟ้าจำนวนมากพุ่งออกไปหาอีกฝ่าย แล้วกัดกินฉีกทึ้งอย่างบ้าคลั่ง
ภาพแต่ละฉากทำให้ผู้บำเพ็ญสองเผ่าที่หลงเหลืออยู่รอบๆ แต่ละคนในใจล้วนตื่นกลัวจนถึงขีดสูงสุด มีคนเริ่มถอยหลัง คิดจะไปจากที่นี่
ผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ ตัวสั่น ต่างถอยหลังอย่างบ้าคลั่ง ในสายตาของพวกเขา สวี่ชิงราวกับทูตแห่งความตาย ผู้ใดที่สายตาของเขาจับจ้องไป ล้วนหมายถึงการมาเยือนของความตาย
โดยเฉพาะเสื้อผ้าของเขาทั้งร่างตอนนี้ล้วนกลายเป็นสีเลือด ภายใต้แสงเพลิงจากวิหคทอง แสงเลือดท่วมฟ้า จิตสังหารน่าหวาดกลัว
แม้ที่นี่จะมีผู้บำเพ็ญร้อยกว่าคน แต่ส่วนมากล้วนเป็นหลอมตันเถียนและสร้างฐาน ส่วนปราณก่อกำเนิดมีเพียงหกคนเท่านั้น
จะอย่างไรก็อยู่ในถิ่นตัวเอง ขนย้ายเครื่องเซ่นมนุษย์ธรรมดาพวกนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้ผู้แข็งแกร่งมากมาย ส่วนตวนมู่ฉางก็ถูกพวกราชครูจับตัวไปแล้ว ดังนั้น ในความคิดของพวกเขาไม่มีทางมีการช่วยเหลือเกิดขึ้นแน่
และไม่มีผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์เป็นคนที่สอง
ตัวตนของสวี่ชิง เผ่ามนุษย์ในเมืองแสนกว่าคน ไม่มีใครพูดออกไปแม้แต่คนเดียว
คุณธรรมน้ำใจของมนุษย์ ความรักเผ่าพันธุ์ ท่ามกลางความชั่วร้ายยิ่งแสดงออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด
และสำหรับสองเผ่าแล้ว เนื่องจากความระมัดระวังตัวของสวี่ชิง นับตั้งแต่แรกจนตอนนี้ ความจริงพวกเขาล้วนไม่รู้
นี่ทำให้ในยามที่พวกเขาเผชิญหน้ากับสวี่ชิงที่นี่ กลายเป็นสถานการณ์ที่ถูกสังหาร โดยเฉพาะพิษของสวี่ชิงน่ากลัวเป็นที่สุด ผู้บำเพ็ญระกับสร้างฐานของสองเผ่าทนไม่ได้ก่อน ส่งเสียงร้องโหยหวนน่าเวทนา ต่างพากันเน่าเปื่อย
ต่อให้เผ่าเงาคันฉ่องจะพิเศษ แต่ก็หนีไม่พ้นถูกพิษสังหาร
และการสังหารของสวี่ชิงก็ยังคงดำเนินต่อไป เพียงพุ่งตัวออกไป ก็เข้าไปใกล้ผู้บำเพ็ญปราณก่อกำเนิดเผ่าเงาคันฉ่องคนหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายปะทะเข้าด้วยกันทันที
เวลาเพียงสามอึดใจ ห้าอึดใจ ผู้บำเพ็ญเผ่าเงาคันฉ่องคนนี้ก็กระอักเลือด ศีรษะขาดกระเด็น ปราณในร่างระเบิด หนึ่งในนั้นยิ่งถูกสวี่ชิงกลืนลงไปเลย
เขาไม่มีเวลาถือเอาไว้ในมือแล้วหลอม
ส่วนอาการบาดเจ็บบนร่างสวี่ชิงไม่สนใจ ตอนนี้พลันหันหลัง จ้องมองรอบๆ
จากการออกฤทธิ์ของพิษต้องห้าม ผู้บำเพ็ญที่นี่ตายเป็นแถบ การสังหารของบรรพจารย์สำนักวัชระและเจ้าเงาก็ทำให้จำนวนการตายของผู้บำเพ็ญทั้งสองเผ่าเพิ่มขึ้น
ส่วนการลงมือของหลิงเอ๋อร์ สวี่ชิงก็เคยเห็นครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้วที่เกาะเงือก ดังนั้นเขารู้ดีว่าหลิงเอ๋อร์ภายนอกดูเหมือนอ่อนแอ แต่ความจริงแล้วรูปแบบมีแนวโน้มไปทางสู้ระยะประชิด
บนร่างหลิงเอ๋อร์มีชุดเกราะปรากฏขึ้น ท่ามกลางเงามายามังกรอสรพิษพันล้อม ก็มีทวนยาวเล่มหนึ่งอยู่ในมือนาง ร่างกายที่ทั้งๆ ที่ดูผอมอ่อนแอ แต่กลับปะทุกำลังรบออกมาจนน่าตกใจ
และการสังหารครั้งนี้ไม่ได้ดำเนินไปนานเท่าไร ไม่ทันถึงหนึ่งก้านธูป จากการตายอย่างน่าสลดสังเวชของผู้บำเพ็ญสองเผ่าไม่กี่คนสุดท้าย รอบๆ ก็เงียบสงบ
ต่อให้เป็นสัตว์ยักษ์ที่ลากกรงเล็กเหล่านั้นก็ต่างหัวขาดออกจากตัว ถูกบรรพจารย์สำนักวัชระสังหารระบายอารมณ์
หลังจากที่ทุกอย่างจบสิ้น หลิงเอ๋อร์น้ำตารินไหล บรรพจารย์สำนักวัชระโศกเศร้าโกรธแค้น พวกเขามองไปทางกรงเหล็กที่แสงประกายอรุณคุ้มครองเอาไว้
เผ่ามนุษย์ในกรงยังคงเฉยชา การทรมานหลายวันและการใช้วิชาของสองเผ่าทำให้การตระหนักรับรู้ของพวกเขาพังทลาย ต่อให้เห็นพวกสวี่ชิงในดวงตาก็ยังคงไร้ชีวิตชีวา
“พี่หลี่…ป้าเฉิน…” หลิงเอ๋อร์เดินไปข้างหน้ากรง มองเงาร่างข้างหน้า เสียงเจือด้วยเสียงสะอื้น
สวี่ชิงเดินไปเงียบๆ ขณะสะบัดมือประกายแสงอรุณแผ่ออก เขายกมือเปิดกรง เสียงครืนดังขึ้น กลุ่มคนประดุจสินค้า ถล่มลงมาจากในนั้น
แต่ได้รับการปกป้องเอาไว้อย่างระมัดระวังจากสวี่ชิง ทำให้การร่วงลงมาของพวกเขาไม่เกิดอาการบาดเจ็บล้มตายไปมากกว่านั้น
เพียงแต่ภาพแต่ละฉากใต้กรงที่เห็น ทำให้ใจของสวี่ชิงหนักอึ้งเป็นอย่างยิ่ง
ใต้กรง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเศษเนื้อเละๆ ที่ถูกเบียดอัด หลายร้อยคนผสมอยู่ด้วยกัน มีบางร่างที่แม้แต่หน้าก็มองไม่ออกแล้วว่าเป็นใคร…
“พั่นเยี่ยนเล่า…”
สวี่ชิงพึมพำในใจ เดินไปยังกรงถัดไป เปิดประตูกรงแล้วกรงเล่า มองหาเผ่ามนุษย์ที่คุ้นเคยเหล่านั้น เห็นร่างที่เลือดเนื้อแหลกเละ เห็นเศษเนื้อที่ชวนให้อกสั่นขวัญแขวนเหล่านั้น ใจของสวี่ชิงเกิดความเศร้าเสียใจอย่างท่วมท้น
เขาที่เคยเห็นความโหดร้ายในโลกมนุษย์ สำหรับนรกบนดินเช่นนี้ก็ยังไม่อาจเฉยชาได้
โดยเฉพาะเมื่อสองเดือนก่อนหน้านี้ คนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นชีวิตที่งดงาม บนร่างของพวกเขาสวี่ชิงสัมผัสได้ถึงความใสซื่อบริสุทธิ์อย่างน้อยนักที่จะได้เห็น สัมผัสได้ถึงจิตใจที่ดีงามอย่างยากจะหาได้
ในความมืดอันเย็นเยือก พวกเขาที่กอดกันเพื่อความอบอุ่น ยินดีมอบความอบอุ่นของตัวเองให้กับสมาชิกร่วมเผ่าที่หนาวเหน็บมากมาย
แต่ตอนนี้…
สวี่ชิงหลับตา จิตสังหารในใจไม่ได้ลดน้อยลงเพราะการสังหารก่อนหน้านี้เลย กลับยิ่งหนักหน่วง ยิ่งรุนแรงมากขึ้น สะสมอยู่ในใจ อัดจนรังสีอำมหิตของเขาก่อตัวไม่หยุด จนหายใจไม่ค่อยออก
เพราะในเศษเนื้อของกรงใบที่เจ็ด เขาเห็นใบหน้าครึ่งหนึ่ง
ใบหน้าของคู่ฝึกเต๋าของสือพั่นกุย ผู้หญิงที่ทำขนมอร่อยมากๆ คนนั้น…
ร่างของนางถูกบดอัดกลายเป็นเศษเนื้อเละๆ
สวี่ชิงจากไปอย่างเงียบๆ หลังจากเปิดกรงใบสุดท้าย ท่ามกลางกลุ่มคนที่ร่วงหล่นลงมา สายตาของเขาหยุดอยู่ที่มุมพื้นกรง
ตรงนั้นมีมุมของตำราเล่มหนึ่ง
พริบตานี้ ร่างของสวี่ชิงสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ หลังจากที่เขาสะบัดมือ เศษเนื้อบริเวณนั้นก็ค่อยๆ ถูกยกออกไป เผยให้เห็นเป็นเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่ง
เสื้อของนางรวมไปกับเศษเนื้อ ร่างผอมแห้งเหลือเพียงแค่เสี้ยวเดียว กายท่อนบนที่เหลืออยู่ไม่มาก สองมือกอดตำราสมุนไพรเล่มหนึ่งเอาไว้แน่น
กอดอย่างสุดแรง สุดแรงที่มี
เหมือนว่านี่เป็นความยึดมั่นสุดท้ายของนาง เป็นความหวังสุดท้าย
นางที่มีตัวตนอยู่ที่มุมกรง ก้มหน้าอยู่ ใบหน้าซีดขาวไร้ซึ่งสีเลือด เหมือนว่าหลับไป
สวี่ชิงรู้สึกว่าหน้าอกเจ็บปวดเหลือแสน เขาพยายามหายใจ แต่ร่างกายก็ยังคงสั่นสะท้าน สมองของเขาไม่สามารถควบคุมภาพเมื่อสองเดือนก่อนที่ผุดขึ้นมาได้
ในภาพ เงาร่างผอมแห้งร่างหนึ่ง มาด้วยความขลาดกลัว ถือมันเทศ ถามต้นสมุนไพรกับตน
ในภาพ เด็กน้อยคนนี้เอาต้นหญ้าต้นเล็กๆ ออกมา ถามหาความรู้กับตน
สายตาที่ปรารถนาในความรู้คู่นั้นทำให้สวี่ชิงมีความทรงจำที่ลึกซึ้ง ดังนั้นเขาจึงมอบตำราสมุนไพรของตัวเองให้ รับเป็นลูกศิษย์สายยาคนแรกของตน
“อาจารย์ พวกเราจะได้เจอกันอีกหรือไม่เจ้าคะ”
นี่เป็นประโยคสุดท้ายของเด็กหญิงตัวน้อย
ตอนนี้ ในสายตาของสวี่ชิง เด็กหญิงตัวน้อยที่หลับใหลคนนั้น คล้ายว่าเงยหน้ามองตนอย่างขลาดกลัวถามคำถามดังก้องในสมองของเขา
“ขอเพียงไม่ตาย ก็จะได้พบกันอีก”
สวี่ชิงพึมพำ ประโยคนี้งดงามนัก เพียงแต่…หากตาย ก็จะไม่ได้พบกันแล้ว
สวี่ชิงยืนอยู่ตรงนั้น นาน นานมาก
จวบจนเสียงร้องไห้และเสียงคำรามที่โศกเศร้าโกรธแค้นของบรรพจารย์สำนักวัชระเหมือนว่าดังมาจากที่ไกลๆ ดังก้องอยู่ข้างหูของเขา แล้วค่อยๆ เปลี่ยนมาชัดขึ้น ก็ดึงความคิดของเขากลับมายังความเป็นจริง
“หลิงเอ๋อร์…” เสียงของสวี่ชิงเปลี่ยนมาแหบแห้งมากๆ เขาหันไป มองไปยังหลิงเอ๋อร์ที่ร่ำไห้
หลิงเอ๋อร์วิ่งมากอดสวี่ชิง ร่างสั่นสะท้าน ความเป็นตายเช่นนี้นางพบเห็นน้อยมาก ยากที่จะรับได้
ส่วนกลุ่มคนรอบๆ ก็ค่อยๆ ฟื้นคืนสติ ความเสียใจเศร้าโศก เสียงร้องไห้ค่อยๆ มากขึ้น จวบจนเงาร่างหนึ่งเดินโซซัดโซเซมา วิ่งมาข้างหน้าสวี่ชิง
“ผู้อาวุโส…”
คนที่มาคือสือพั่นกุย ร่างของเขาอ่อนแรง ดวงตาของเขาแดงก่ำ น้ำตาเลือดหลั่งริน สีหน้าบิดเบี้ยว ความบ้าคลั่งของคนทั้งคนกำลังถูกสะกดเอาไว้ สั่นสะท้านพลางมองไปทางสวี่ชิง
เขารู้ว่าภรรยาและน้องสาวของเขาตายแล้ว ในดวงตาของเขาก็มีรอยความตายเช่นกัน เพียงแต่ก่อนหน้านั้น เขาฝืนอดทนทุกอย่าง
เพราะเขารู้ ตัวเองต้องบอกว่าสวี่ชิงเกี่ยวกับเบาะแสของเจ้ารัฐ
“ขอผู้อาวุโสได้โปรดช่วยท่านเจ้ารัฐด้วย…
“เจ้ารัฐถูกราชครูของสองเผ่าจับตัวไปเมืองศักดิ์สิทธิ์ ตอนนั้นข้าได้ยินพวกมันบอกว่าจะหลอมเจ้ารัฐให้เป็นโลหิตศัสตราเอามาซ่อมกระจกวิเศษ”
สวี่ชิงมองสือพั่นกุย หลังจากนั้นหลายอึดใจก็หันไปมองทางเด็กหญิงตัวน้อย
สือพั่นกุยมองไปเช่นกัน ร่างยิ่งสั่นสะท้านรุนแรง มือทั้งสองกำแน่น ความเจ็บปวดในใจกลายเป็นเลือดสดๆ กระอักออกมา เผยรอยยิ้มขมขื่น
สวี่ชิงเดินไปเงียบๆ มาถึงยังข้างหน้าเด็กหญิงตัวน้อย ย่อตัวลง ปิดตาของนาง
“พั่นกุย น้องสาวของเจ้าหลับไปแล้ว อย่ารบกวนนาง พวกเจ้าอยู่ที่นี่…รอข้า
“ข้าจะไปพาเจ้ารัฐของพวกเจ้ากลับมา”
สวี่ชิงเอ่ยเสียงแผ่วเบา หลังจากลุกยืนขึ้น เสียงเขาสงบนิ่ง
“หลิงเอ๋อร์ เจ้าอยู่ที่นี่ปกป้องพวกเขาได้หรือไม่”
“ข้าทำได้เจ้าค่ะ!” หลิงเอ๋อร์เช็ดน้ำตา พยักหน้าเต็มแรง
สวี่ชิงไม่ได้พูดอะไรมาก เขาทิ้งเจ้าเงาเอาไว้ และเรียกสิงโตหินกับศีรษะในติงหนึ่งสามสองออกมา ขณะเดียวกันก็แผ่หมอกพิษออกปกคลุมรอบๆ ผนึกที่แห่งนี้เอาไว้
ทำทุกอย่างเสร็จ สวี่ชิงก็สูดลมหายใจลึก ตบไหล่สือพั่นกุย
“พั่นกุย รอข้ากลับมา”
พูดจบ สวี่ชิงก็เงยหน้ามองไปทางเมืองศักดิ์สิทธิ์
เหมือนมองดินแดนแห่งความตาย ไร้ซึ่งระลอกคลื่นใดๆ มีเพียงความตายที่หลอมรวมไม่หยุด เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็แผ่ซ่านไปทั้งร่าง ปกคลุมไปทั่วทุกทิศ
เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ ก้าวออกไปข้างหน้าก้าวหนึ่งก็มาถึงบนท้องฟ้า ขณะสะบัดมือ เรือกลวิญญาณก็ปรากฏขึ้น
เงาร่างน่ากลัวของหญิงชราชุดคลุมสีดำปรากฏบนท้องฟ้า
สวี่ชิงยืนอยู่บนหัวของมัน ใบหน้าของหญิงชราฉายความตายและจิตสังหารออกมา เพียงไหววูบก็ทะยานจากไปทันที
สวี่ชิงก้มหน้า ท่ามกลางการเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พิษต้องห้ามในร่างของเขาแผ่ออก แผ่ลามไปข้างหลัง
ไม่ได้แผ่ออกไปอย่างไร้ลำดับ แต่หลอมรวมด้วยกัน
มากขึ้นเรื่อยๆ
หมอกดำเข้มข้นผืนหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏข้างหลังสวี่ชิง
ในหมอกนี้แฝงไว้ด้วยพิษต้องห้าม เหนี่ยวนำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี ในยามที่ส่งเสียงครืนครันสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทุกสารทิศ หมอกก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
ภายใต้การปล่อยออกไปอย่างต่อเนื่องจากสวี่ชิง ปราณหมอกพิษในร่างของเขาปะทุซึ่งทุกอย่าง ทำให้พิษที่เกิดบนร่างเขาพวยพุ่งขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
น้อยนักที่สวี่ชิงจะปล่อยพิษของตัวเองออกมา แต่เสี้ยวขณะนี้ จิตสังหารและความอัดอั้นในใจของเขาทำให้เขาอยากจะปะทุออกมาให้หมดสิ้น
เช่นนี้เอง เวลาหมุนผ่านไป สามวันหลังจากนั้น
ห่างจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ความร่วมมือสองเผ่าพันลี้ บนท้องฟ้าเกิดพายุทรายขึ้น ขอบเขตกว้างใหญ่มาก มีขนาดถึงร้อยลี้
เชื่อมต่อกับผืนฟ้า เชื่อมต่อกับแผ่นดิน สายฟ้านับไม่ถ้วนส่งเสียงกึกก้อง ไอพลังประหลาดนับไม่ถ้วนกำลังโจมตีทุกทิศ
และท่ามกลางพายุทรายสีดำกว้างใหญ่มหาศาลนี้ เงาร่างหญิงชราขนาดมหึมาร่างหนึ่ง บนศีรษะของมัน…สวี่ชิงยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าไร้อารมณ์ ทอดสายตามองที่ไกล
ในสามวันนี้ เขาลองปลุกนิ้วเทพเจ้าในติงหนึ่งสามสอง แต่อีกฝ่ายไม่ขานตอบ สวี่ชิงรู้ องค์ท่านไม่ได้หลับ
ในเมื่อไม่ขานตอบสวี่ชิงก็ไม่ปลุกต่อ เขากระทั่งไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าระดับสมบัติวิญญาณของความร่วมมือสองเผ่ามีทั้งหมดหกตน
ในนั้นยังมีสองตนที่สำเร็จสมบัติลับหนึ่งคลังแล้ว
แต่เรื่องบางเรื่องต่อให้อันตรายสวี่ชิงก็รู้สึกว่าตัวเองก็ยังต้องไปทำอยู่ดี
และความจริงแล้ว ขอเพียงจัดการผู้แข็งแกร่งระดับสมบัติวิญญาณหกตนนั้นได้ ผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดตนอื่นๆ อาศัยวิธีบางอย่าง สวี่ชิงก็ใช่ว่าไม่มีความสามารถที่จะสังหาร
เพียงแต่ค่าตอบแทนมหาศาลนัก
“ลูกศิษย์ข้าตายแล้ว ในฐานะที่เป็นอาจารย์จะต้องไปทวงความยุติธรรม
“กินขนมของคนอื่นเขาไปมากขนาดนั้น จะต้องทำอะไรให้สักอย่าง
“แล้วก็…ของที่ยืมคนเขามา หากตวนมู่ฉางตาย ข้าก็ไม่มีวิธีที่จะคืนแล้ว”
สวี่ชิงเอ่ยเสียงเบา ความเย็นเยือกในดวงตาเย็นเยียบขึ้นเรื่อยๆ พายุทรายพิษต้องห้ามที่หอบม้วนอยู่ข้างหลังปกคลุมพื้นที่เป็นระยะร้อยลี้ ประชิดไปยังเมืองศักดิ์สิทธิ์สองเผ่าที่อยู่ข้างหน้า
ขณะเดียวกัน ห่างออกไปพันลี้ เมืองศักดิ์สิทธิ์ความร่วมมือสองเผ่าที่เหมือนกับรังนก สมาชิกเผ่าทั้งสองเผ่าในนั้นกำลังเฉลิมฉลอง
พวกเขาได้ยินเรื่องเผ่ามนุษย์แล้ว และหลายวันนี้ก็มีเผ่าชั้นล่างจำนวนไม่น้อยทยอยถูกจับมา ในที่สุดจำนวนของเครื่องเซ่นไหว้ก็เพียงพอแล้ว
นี่หมายถึงว่าเผ่าของพวกเขาทั้งสองเผ่า ก่อนที่วันบวงสรวงครั้งถัดไปจะมาเยือน ก็สามารถอยู่ได้อย่างเป็นสุขแล้ว
เรื่องนี้สมาชิกเผ่าทั้งสองต่างตื่นเต้นยินดี สิ่งที่ตามมาคือเสียงหัวเราะเริงร่ามีความสุขดังไปทั่วทั้งเมือง
และเพลิงสวรรค์ผ่านฟ้าเมื่อหลายวันก่อน แม้จะสร้างความเสียหาย สูญเสียให้เมืองอย่างมหาศาล ทำให้ค่ายกลคุ้มกันใช้พลังพื้นฐานไปจนหมด แต่การซ่อมแซมในหลายเดือนนี้ก็ฟื้นฟูขึ้นแล้ว
ในความคึกครื้นนี้ สมาชิกสองเผ่าจำนวนมากมายต่างไปรวมตัวกันที่ลานกว้างระหว่างวังทั้งสอง ที่นั่นกำลังทำการหลอมสังเวยอยู่
การหลอมสังเวยนี้ดำเนินมานานมากแล้ว ใกล้จะเสร็จสิ้นเต็มที
คนที่ลงมือหลอมคือราชครูเผ่าเงาคันฉ่อง และคนที่ถูกหลอมสังเวยคือตวนมู่ฉางแห่งเผ่ามนุษย์
สำหรับตวนมู่ฉาง ผู้บำเพ็ญมากมายของทั้งสองเผ่าต่างคุ้นเคยดี คนข้างกายพวกมันหลายปีมานี้ต่างหายตัวไป สุดท้ายสืบได้ว่าเกี่ยวพันกับตวนมู่ฉาง
ดังนั้น การหลอมสังเวยในหลายวันนี้ สมาชิกทั้งสองเผ่าต่างไปดู
ตอนนี้ บนลานกว้าง ศีรษะและแขนขาของตวนมู่ฉางถูกตรึงเอาไว้ในกระจกบานมหึมาบานหนึ่ง ไอหมอกสีขาวเป็นระลอกๆ ลอยออกมาจากร่างของเขา ผสานไปในกระจก
กระจกบานนี้ก็คือกระจกวิเศษบานนั้นที่ถูกเขาทำแตกละเอียดไปในวันนั้นนั่นเอง
วิญญาณศัสตราในนั้นแตกดับไปแล้ว ตอนนี้กำลังถูกสร้างขึ้นใหม่
และเลือดของทั่วทั้งร่างของตวนมู่ฉางก็ไหลรินอยู่เรื่อยๆ ความเจ็บปวดจากการที่ชีวิตถูกหลอมทำให้ร่างของเขาสั่นเทา สีหน้าบิดเบี้ยว กระทั่งว่าหากมองไปให้ละเอียดก็จะเห็นได้ว่ากระดูกทั่วร่างของเขาส่วนใหญ่แหลกสลาย เอ็นทั้งหมดถูกฉีกขาด
ปราณถูกพันธนาการเอาไว้ หนอนแปลกประหลาดนับไม่ถ้วนกำลังกัดกิน
สมบัติลับที่พังถล่มเต็มไปด้วยกลิ่นอายความตาย ดึงให้ผีร้ายมหาศาลมากลืนกิน
เห็นได้ชัดว่าได้รับความทรมานอันแสนสาหัสกว่าที่เคยประสบ
แต่ความเจ็บปวดทุกอย่างนี้ก็ไม่ได้ทำให้เขาร้องครวญครางออกมา
ความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีของเผ่ามนุษย์ทำให้เขาต่อให้มาถึงทางตันก็ยังจะยิ้มรับ ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอออกมาแม้เพียงน้อยนิด
เขาจ้องเงาร่างที่นั่งขัดสมาธิกลางอากาศ ส่งเสียงแหบแห้งออกไป
“หลอมสังเวยข้าใช้เวลาตั้งนานขนาดนี้ เผ่าเงาคันฉ่องเป็นพวกสวะกากเดนจริงๆ”
ผู้ที่นั่งขัดสมาธิกลางอากาศเป็นชายชราร่างหินผา คนคนนี้ก็คือราชครูเผ่าเงาคันฉ่องนั่นเอง เขามองตวนมู่ฉางอย่างเย็นชาผาดหนึ่ง เอ่ยเสียงราบเรียบ
“รอเมื่อเจ้ากลายเป็นวิญญาณคันฉ่องแล้ว ข้าจะให้เจ้าได้กินสมาชิกเผ่าของเจ้า เจ้าจะต้องชอบรสชาตินั้นอย่างแน่นอน”