Skip to content

Outside Of Time 569

บทที่ 569 อาวุธเทพเจ้าเหนือหัวสะกดที่ราบแดนเหนือ

ใต้ธารน้ำแข็ง หลังจากที่รัฐทายาทเจ้าเหนือหัวผสานเข้าไปในตะปูกลางหน้าผากน้องสาม ก็ไม่มีกลิ่นอายใดๆ แผ่ออกมาอีก

ส่วนตะปูนั่นดูแล้วก็คล้ายจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงด้วย

ทุกอย่างราวกับไม่มีอะไรเคยเกิดขึ้นมาก่อน

สวี่ชิงนั่งขัดสมาธิลงในที่ที่ไกลออกมา จ้องมองธารน้ำแข็งใต้เท้า สายตาฉายแววครุ่นคิด ครู่ต่อมาเขาก็ลุกขึ้นยืนช้าๆ ถอยหลังอย่างระมัดระวัง ลองหนีออกมา

แม้ติดตามอีกฝ่ายมาตลอดทางเขาจะไม่พบกับอันตรายใด แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเรื่องที่อาจเกิดขึ้นหลังจากนี้จะปกติเหมือนระหว่างทางที่มา

ดังนั้นตอนนี้ สวี่ชิงคิดว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่ตนจะจากไปแล้ว

ส่วนเรื่องหลังจากนี้ พลังบำเพ็ญตอนนี้ของตน ไม่เข้าร่วมจะดีที่สุด

แต่ตอนที่สวี่ชิงถอยหลังมาไม่ถึงสิบก้าว จู่ๆ ตะปูบนใบหน้ายักษ์นั้นก็เปล่งแสงวูบวาบขึ้นมากะทันหัน เสียงทุ้มต่ำสะท้อนก้องในใจสวี่ชิง

‘เจ้าหนูน้อย ยังไม่ถึงเวลาไป รอข้าสักครู่’

สวี่ชิงชะงักฝีเท้า ตอนที่ชั่งน้ำหนักในใจอย่างรวดเร็ว เสียงทุ้มต่ำดังก็มาอีกครั้ง

‘หากเจ้าจะไป ข้าจะไม่รั้งไว้ อันที่จริงตอนนี้ข้าก็ไม่มีกำลังเหลือจะรั้งเจ้า

‘แต่เจ้าเคยกล่าวกับข้าว่าชื่อหมู่เป็นศัตรูตนเดียวกันของเจ้ากับข้า ครั้งนี้…ข้าเตรียมจะทำการใหญ่เรื่องหนึ่ง เจ้าช่วยข้า โอกาสสำเร็จก็ยิ่งสูง เจ้าไม่ช่วยข้า ข้าก็ยังจะทำดังเดิม

‘อนาคตอยู่ที่ฝีเท้าของเจ้า เจ้าตัดสินใจเอาเองเถิด’

เสียงไม่สะท้อนก้องอีก

สีหน้าสวี่ชิงไร้อารมณ์ ก้มหน้ามองร่างมหึมาที่อยู่ในธารน้ำแข็งใต้เท้า ครู่ต่อมาเขาก็ประสานหมัดคารวะ หันหลังหวีดหวิวจากไป เพียงพริบตาก็ไม่เห็นแม้เงา

ที่นี่เงียบสงัดไปหมด ครู่ต่อมา เสียงถอนหายใจแผ่วเบาเสียงหนึ่งก็ดังก้องขึ้นใต้ธารน้ำแข็ง

หลังจากนั้นสี่ชั่วยาม จุดที่มืดมิดไกลๆ ร่างของสวี่ชิงพลันปรากฏขึ้น เมื่อมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้ขัดขวางที่ตนจากมา เขาจึงเลือกย้อนกลับไป ตอนที่ย้อนกลับไปได้หนึ่งเค่อเขาก็นั่งลงขัดสมาธิ เอ่ยอย่างสงบนิ่ง

“ข้าจะรอท่านหนึ่งวัน!”

“ขอบคุณ!” ใต้ธารน้ำแข็ง เสียงทุ้มต่ำดังก้อง

สวี่ชิงหลับตา เฝ้ารอเงียบๆ

ขณะเดียวกัน ในบริเวณที่ห่างจากที่นี่ระยะหนึ่งใต้ธารน้ำแข็ง เรื่องใหญ่อีกเรื่อง กำลังจะเปิดฉากขึ้น

รัฐทายาทที่พาสวี่ชิงมาที่นี่ เขาไม่ได้โกหกสวี่ชิง

เผ่าเงารัตติกาลที่อาศัยอยู่บนธารน้ำแข็งนิรันดร์ บรรพจารย์เผ่าก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าเหนือหัว และตอนที่ชื่อหมู่มาเยือนก็เลือกทรยศ

ต่อมาถูกเจ้าเหนือหัวสะกด จนร่างกายแตกสลาย โลกใบใหญ่พังทลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ส่วนใหญ่กลายเป็นเถ้าธุลี มีเพียงชิ้นส่วนแกนกลางร่วงหล่นอยู่ที่นี่ ฝังอยู่ใต้ธารน้ำแข็ง

ในชิ้นส่วนแกนกลางนั้น แฝงจิตวิญญาณความตายนับไม่ถ้วนในโลกใบใหญ่ของผู้ทรยศตนนั้นเอาไว้ พวกมันเลื่อนลอย ไร้สติสัมปชัญญะ ส่วนใหญ่อยู่ในห้วงนิทราลึก

เพราะการกระทำในตอนนั้นถูกเข้าใจว่าเป็นความดีความชอบ จึงปล่อยให้จิตวิญญาณความตายในชิ้นส่วนโลกใบนี้ยึดร่างแล้วออกไป จึงเกิดสำนักเผ่าเงารัตติกาลต่อมาภายหลัง

แต่การแบ่งแยกระหว่างหยินหยาง ไม่ใช่สิ่งที่จะก้าวข้ามได้ง่ายดายเช่นนั้น

ในนี้มีข้อจำกัดอยู่ไม่น้อย ดังนั้นหลายปีมานี้แม้เผ่าเงารัตติกาลจะกลับมามากมาย แต่ส่วนใหญ่ก็ตายอยู่ในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา

มีคนกล่าวว่า นี่คือสิ่งที่เกิดจากความโกรธแค้นที่ผสานกับวิถีสวรรค์ของเจ้าเหนือหัว

ที่ที่คลื่นวนใต้ทะเลสาบเชื่อมอยู่ ก็คือชิ้นส่วนโลกใบใหญ่นั้น

แม้จะเป็นเพียงชิ้นส่วน แต่ความจริงแม้จะถูกฝังอยู่ใต้ธารน้ำแข็งนิรันดร์ลึกนี้ อาณาเขตก็ไม่ได้แตกต่างกับโลกใบเล็กใบหนึ่งไม่มากนัก

ดวงไฟจิตวิญญาณริบหรี่ใต้ธารน้ำแข็ง คือต้นกำเนิดแสงของที่แห่งนี้

หิมะสีดำที่โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า ทับถมพื้นดินเป็นชั้นๆ ลมหนาวพัดมาที่นี่เป็นระลอก ส่งเสียงหวีดหวิวอื้ออึงราวกับผีคร่ำครวญหมาป่าเห่าหอน

หากมีคนธรรมดาได้ยิน จะต้องจิตวิญญาณสั่นสะท้านแน่นอน

ดั่งนรกอเวจี

ท่ามกลางความืดสลัวที่สามารถมองเห็นได้อย่างเลือนรางว่าธารน้ำแข็งสีดำของโลกใบนี้ก่อตัวเป็นผืนแผ่นดินกับเทือกเขา วิญญาณความตายนับไม่ถ้วนล่องลอยไปมาอย่างไม่มีจิตสำนึก เข้าออกธารน้ำแข็งทั้งด้านในและด้านนอก

สำหรับพวกมันแล้ว ไม่มีแนวคิดเรื่องเวลา ในความเลื่อนลอยนี้ เหลืออยู่เพียงสัญชาตญาณความหิวโหยเท่านั้น

สิ่งมีชีวิตทั้งหมด ล้วนเป็นเป้าหมายในการแย่งชิงของพวกมัน

ตอนนี้ ที่ชายขอบชิ้นส่วนโลกใบใหญ่ จู่ๆ ในความว่างเปล่าก็เปล่งแสงประกายหลากสีสัน ตอนแรกแสงนี้เป็นสีชาด จากนั้นก็มีสีน้ำเงิน สีเหลืองเพิ่มขึ้นมา จนสุดท้ายกลายเป็นสีรุ้ง กระจายไปทั่วสารทิศ

ท่ามกลางแสงสีรุ้งพร่างพราย จิตวิญญาณนับไม่ถ้วนในโลกนี้ก็พุ่งเป้ามาที่นี่ตามสัญชาตญาณ กระทั่งจิตวิญญาณที่หลับใหลอยู่ใต้ธารน้ำแข็งลึก ก็มีเค้าลางว่าจะตื่นขึ้นมา

จากนั้น ก็มีแถบแสงหลายสายปรากฏขึ้นในคลื่นวนสีรุ้ง พันโลงศพผลึกวารีหลายใบยื่นออกมาราวกับรยางค์ นำโลงศพเหล่านี้วางไว้บนธารน้ำแข็งสีดำ

หลังจากวางโลงศพนับร้อยใบเรียบร้อยแล้ว แถบแสงสีรุ้งเหล่านี้ก็ค่อยๆ หดกลับไปผสานกับคลื่นวนแล้วสลายหายไป

แต่คลื่นวนยังคงอยู่ กำลังเฝ้ารอ

ไม่นานนัก ลมหนาวในที่แห่งก็มีเสียงหวีดแหลม จิตวิญญาณคนตายเหล่านั้นแต่ละดวงที่ลอยอยู่กลางอากาศพุ่งมาอย่างรวดเร็ว ราวกับหมาป่าที่หิวโหย

ราวกับในความรู้สึกของพวกมันโลงศพเหล่านั้นคือลูกแกะตัวน้อย

พลังชีวิตที่แผ่ซ่านออกมา ทำให้พวกมันคลุ้มคลั่งไปตามสัญชาตญาณ

มองไกลๆ จิตวิญญาณเหล่านี้หวีดหวิวมา เพียงพริบตาก็โถมเข้าไปใกล้กับโลงศพ

จำนวนมากมายมหาศาล ก่อตัวเป็นพายุคลั่งสีดำลูกหนึ่ง พัดกวาดไปทั่วสารทิศ

เห็นได้ชัดว่าโลงศพก็ทำขึ้นด้วยวัสดุพิเศษ สามารถผนึกศิษย์ที่อยู่ด้านในได้ แต่ไม่อาจขัดขวางจิตวิญญาณความตายที่ผสานเข้าไปจากภายนอกได้ ไม่นานนักจิตวิญญาณอย่างน้อยนับหมื่นดวงก็มุดเข้าไปในโลงศพเหล่านี้

ร่างกายที่ถูกปิดผนึกไว้ล้วนผ่านการจัดการมา จิตวิญญาณของพวกเขาดับสลายไปนานแล้ว เหลืออยู่เพียงกายหยาบ

เช่นนี้ก็จะยิ่งทำให้สิงร่างได้สะดวก

เพียงแต่ความเลื่อนลอยและไม่มีระเบียบของจิตวิญญาณความตาย ทำให้พวกมันไม่ได้เลือกเข้าสิงทันที การกลืนกินต่างหากที่เป็นความต้องการอันดับแรก นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ที่จะกลายเป็นเผ่าเงารัตติกาลสำเร็จจึงมีไม่มาก

ดังนั้นในชั่วพริบตานี้ จึงมีกายหยาบในโลงศพนับสิบใบที่แห้งเหี่ยวไปอย่างเห็นได้ชัด การกลืนกินในร่างกายของจิตวิญญาณความตายนับร้อย ทำให้พวกเขากลายเป็นศพอย่างแท้จริงในชั่วไม่กี่อึดใจ ต่อมาจิตวิญญาณเหล่านั้นก็พุ่งออกมาอีกครั้ง ไปยังโลงศพอื่นต่อ

ขณะเดียวกัน กลิ่นหอมที่โลงศพนับร้อยนี้แผ่กำจายออกมา ก็กระตุ้นจิตวิญญาณที่หลับใหลอีกมากมายใต้ธารน้ำแข็งสีดำ

ไม่นานนักจิตวิญญาณความตายที่มีกลิ่นอายเหนือกว่าจิตวิญญาณทั่วไปมาก ก็พุ่งออกมาจากในธารน้ำแข็งสีดำนี้ทีละสาย มาพร้อมกับความโลภและบ้าคลั่งพุ่งมาอย่างรวดเร็ว

แย่งกันลอดเข้าไปในโลงศพเหล่านี้ กระทั่งช่วงชิงและกัดกินกันเอง

เมื่อเทียบกับจิตวิญญาณทั่วไป จิตวิญญาณความตายที่ตื่นขึ้นจากการหลับใหลใต้ธารน้ำแข็งเหล่านี้แข็งแกร่งกว่ามาก ยิ่งได้รับกายหยาบที่สมบูรณ์ง่ายกว่า เมื่อเข้าไปก็เกิดอยากช่วงชิงร่างโดยสัญชาติญาณ

ดังนั้นไม่นานนัก ที่แห่งนี้ก็ปรากฏผู้ที่สิงร่างสำเร็จคนแรก จากเสียงครืนครันกึกก้อง มีโลงศพใบหนึ่งแตกสลายเป็นชิ้นๆ ร่างที่นอนอยู่ด้านในก็ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง

นี่เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง สีหน้าเฉยชาของเขาตอนนี้ค่อยๆ เปลี่ยนไป แผ่คลื่นอารมณ์ออกมา กลิ่นอายชั่วร้ายปะทุออกมาจากร่างกาย สุดท้ายดวงตาทั้งสองก็ฉายแววปรารถนา เงยหน้าขึ้นมองไปทางคลื่นวนสีรุ้ง

จากนั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ก้าวไปด้านหน้าอย่างทุลักทุเล

ตอนแรกราวกับหุ่นเชิดไม้ เดินหนึ่งก้าวหยุดหนึ่งก้าว แต่เมื่อเริ่มคุ้นเคยกับร่างกาย ความรู้สึกทุลักทุเลก็หายไปอย่างรวดเร็ว

หลังผ่านไปสิบกว่าอึดใจ เขาก็ปรับตัวได้อย่างสมบูรณ์ ร่างทั้งร่างถลาเข้าไปในคลื่นวน ขึ้นไปสู่โลกมนุษย์

ไม่นานนัก ก็มีโลงอีกใบหนึ่งปริแตกและเผยร่างออกมา

แต่มีโลงศพใบหนึ่งแปลกประหลาดยิ่ง โลงศพอื่นๆ ล้วนมีจิตวิญญาณความตายเข้าๆ ออกๆ มีเพียงใบนี้เท่านั้น…ที่มีแต่เข้าไปแต่กลับไม่มีจิตวิญญาณออกมาเลย

ตั้งแต่ต้นจนจบ วิญญาณที่พุ่งเข้าไป ไม่มีสักดวงที่ออกมา ราวกับว่าในโลงศพใบนั้นมีหลุมดำอยู่ กลืนกินทุกสรรพสิ่ง

ตอนนี้จากการที่กายหยาบในโลงศพอื่นๆ ทยอยแห้งเหี่ยว จิตวิญญาณความตายมากมายที่มีสัญชาตญาณติดตามพลังชีวิต ก็พุ่งเป้ามาที่โลงศพแปลกประหลาดใบนี้

จิตวิญญาณความตายนับร้อยพุ่งเข้าไปชั่วพริบตา เมื่อเห็นนายกองที่นอนอยู่ในโลงศพผลึกวารี แต่ละดวงก็แผ่ความโลภออกมา โถมเข้าไป

แต่ตอนที่พวกมันเข้าใกล้ จู่ๆ ร่างของนายกองก็มีปากจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา อ้าปากสูดรับในพริบตา

จิตวิญญาณเหล่านั้นพลันก็ถูกปากเหล่านี้กลืนลงไป หลังจากเคี้ยวอย่างรวดเร็ว ปากทั้งหมดก็สลายไป ทุกอย่างเป็นปกติ

ไม่นานนัก จิตวิญญาณก็พุ่งเข้าไปมากกว่าเดิม…

เวลาไหลผ่านไปเช่นนี้ กายหยาบในโลงศพของที่นี่ส่วนใหญ่แห้งเหี่ยวกลายเป็นฝุ่นผง มีที่ฟื้นกลับมาสำเร็จแค่สิบกว่าตนเท่านั้นและออกไปจากที่แห่งนี้

คลื่นวนสีรุ้งนั้น ก็ค่อยๆ หม่นลง สุดท้ายก็สลายหายไปจากโลกใบนี้

ตอนนี้ โลงศพประหลาดใบนั้นก็กลายเป็นจุดเดียวที่มีพลังชีวิตอยู่ ดังนั้นจิตวิญญาณความตายทั้งหมดรอบๆ จึงพุ่งและลอดเข้าไปในโลงศพราวกับหมาป่าที่หิวโหยนับไม่ถ้วนจากทั่วสารทิศ

แต่พริบตาต่อมา ระลอกคลื่นอารมณ์น่าตื่นตะลึงและน่าครั่นคร้ามก็พลันแผ่ออกมาจากโลงศพ

จิตวิญญาณเหล่านั้นที่พุ่งเข้าไปด้านใน ราวกับเห็นสิ่งชั่วร้าย เวลานี้แย่งกันหนีออกมา กระทั่งบางดวงบิดเบี้ยวไป

แต่นายกองที่นอนอยู่ในโลงศพ ครั้งนี้บนร่างเขาไม่ได้มีแค่ปากปรากฏขึ้น แต่ยังมีมืออีกนับไม่ถ้วนยื่นออกมา คว้าจิตวิญญาณเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว

เพียงแต่ก่อนหน้านี้จิตวิญญาณที่เข้าไปในโลงศพมีมากเกินไป ตอนนี้ที่อยากหนีออกมาจึงมีไม่น้อย เมื่อเห็นว่ามีบางส่วนจะหนีออกมา นายกองก็รีบยกมือขึ้นปลดหน้ากากออกอย่างรวดเร็ว

จากนั้นก็มีเสียงคำรามดังก้องไปทั้งแปดทิศ เงามายาสุนัขสวรรค์ขนาดยักษ์ตัวหนึ่งจำแลงออกมา กลืนกินจิตวิญญาณที่กำลังหลบหนีเหล่านั้นในคำเดียว

ชั่วพริบตา จิตวิญญาณในรัศมีร้อยจั้งก็หายไปในปากของสุนัขสวรรค์ เสียงเคี้ยวดังก้อง ทำให้จิตวิญญาณที่เหลืออยู่ด้านนอกร้อยจั้งนั้นเปลี่ยนจากหมาป่าที่หิวโหยกลายเป็นกระต่ายตัวน้อย แตกฮือกระจัดกระจายไปรอบด้าน

ไม่สนใจพวกมัน หลังจากร่างของสุนัขสวรรค์หายไป เสียงเรอเสียงหนึ่งดังออกมาจากในโลงศพ นายกองลุกขึ้นนั่งบิดขี้เกียจ สีหน้าฉายแววภาคภูมิใจ

“ฮ่าๆ ใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ กินอิ่มที่สุดจริงๆ”

“เร็วเข้า พวกเราจะไปทำการใหญ่!”

ระหว่างที่นายกองกล่าว ร่างเงาสองร่างก็ลอยออกมาจากในร่างกายเขา ตอนแรกคือเล็กมาก แต่เพียงพริบตาก็กลายเป็นขนาดปกติ หนิงเหยียนกับอู๋เจี้ยนอูนั่นเอง

ตอนที่พวกเขาสองคนแยกกับสวี่ชิง เห็นได้ชัดว่าผ่านเรื่องราวไม่น่าเชื่อจากการติดตามนายกองบ้างแล้ว อู๋เจี้ยนอูจึงไม่ได้ฮึกเหิมเหมือนตอนแรกอีก แต่ระแวดระวังอย่างมาก

ส่วนหนิงเหยียน เขาเฉยชาไปแล้ว

แต่เห็นได้ชัดว่ากลิ่นอายของทั้งสองแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้มาก คล้ายได้รับการเสริมพลังครั้งใหญ่มา

เห็นสีหน้าพวกเขา นายกองก็ถอนหายใจ เอามือไพล่หลังเดินไปข้างหน้า

“พวกเจ้าตามมา เดินเบาๆ หน่อย อย่าทำให้พวกวิญญาณโบราณใต้ธารน้ำแข็งพวกนั้นตกใจ แม้ข้าจะมีวิธีสะกด แต่เราต้องไปให้ถึงที่หมายก่อน”

หนิงเหยียนกับอู๋เจี้ยนอูรีบเดินตามด้านหลังไป โดยเฉพาะอู๋เจี้ยนอูที่เลิกขับกลอนแล้ว ตอนนี้มองไปรอบด้านอย่างกังวล เหมือนแค่ลมพัดใบหญ้าพลิ้วไหว ก็ทำให้เขาสะดุ้งตัวโยนได้ทันที

หนิงเหยียนเหลือบมอง เหยียดหยามในใจ มือใหญ่ตบลงบนท้องก็มีเถาวัลย์เส้นหนึ่งปรากฏขึ้นมาถือแกว่งเล่น ทำทีไม่สนใจ

เมื่อทั้งสามคนเดินไกลไปเรื่อยๆ ท่ามกลางลมหนาว ก็มีเสียงทอดถอนใจของนายกองดังมา

“พวกเจ้าน่ะ สู้อาชิงน้อยไม่ได้เลย เฮ้อ ข้าคิดถึงอาชิงน้อยของข้าจริงๆ

“ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง คงกินไม่อิ่มนอนไม่หลับเป็นแน่”

อีกด้าน สวี่ชิงที่นายกองคิดถึง กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนธารน้ำแข็งใต้ดินที่ห่างจากทะเลสาบระยะหนึ่ง มองไปทางธารน้ำแข็ง

เขารออยู่นานแล้ว จะผ่านตามเวลาที่นัดหมายไว้ครึ่งวัน แต่ร่างยักษ์ใต้ธารน้ำแข็งก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

สีหน้าสวี่ชิงเรียบเฉย ถอนสายตากลับมา เฝ้ารอต่อไป

กล่าวไว้ว่าหนึ่งวัน เขาก็จะทำตามนั้น

เวลาค่อยๆ ผ่านไปเช่นนี้ จนเกือบจะถึงชั่วยามที่สิบสอง สวี่ชิงลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ลุกขึ้นยืน คารวะไปทางธารน้ำแข็ง

“ผู้อาวุโส ถึงเวลาแล้วขอรับ”

“เจ้าถอยไปพันจั้ง” ใต้ธารน้ำแข็ง มีเสียงแผ่วเบาของรัฐทายาทเจ้าเหนือหัวดังออกมาเลาๆ

เมื่อสวี่ชิงได้ยินก็ถอยออกไปแปดพันกว่าจั้งทันที ขณะที่เขายังครุ่นคิด จู่ๆ ใต้ธารน้ำแข็งด้านหลังก็มีเสียงครืนครันดังลั่นราวสายอัสนีสนั่นไปทั่วสารทิศ

ธารน้ำแข็งยิ่งสั่นสะเทือน พื้นน้ำแข็งตลบม้วน และมีแสงสีน้ำเงินสว่างขึ้นมากะทันหันใต้ธารน้ำแข็ง เจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ

และต้นกำเนิดแสงน้ำเงินนี้ ก็คือตะปูที่อยู่กลางหน้าผากของยักษ์ตนนั้น

ตอนนี้ตะปูกำลังสั่นไหวรัวเร็ว ลอยขึ้นมาทีละชุ่นๆ ราวกับมีพลังวูบหนึ่งผสานอยู่ด้านใน ดึงมันออกจากกลางหน้าผาก

และทุกครั้งที่ลอยขึ้นมาหนึ่งชุ่น แสงสีน้ำเงินก็จะสว่างขึ้นหนึ่งส่วน การสั่นสะเทือนบนพื้นก็เช่นกัน

ระหว่างที่คลุมเครือ คลื่นพลังน่าครั่นคร้ามวูบหนึ่งก็ปะทุขึ้นมาจากใต้ธารน้ำแข็ง

ความแข็งแกร่งของคลื่นพลังนี้ สวี่ชิงสัมผัสเพียงเล็กน้อยก็ตื่นตระหนก ทำให้เขารู้สึกว่าเหนือกว่าของวิเศษเวทผนึกต้องห้ามของเขตปกครองผนึกสมุทรเสียอีก กระทั่งระหว่างทั้งสองอย่างนี้ราวกับหิ่งห้อยกับดวงอาทิตย์

แตกต่างกันฟ้ากับเหว

ยิ่งมีกลิ่นอายโบราณบรรพกาลแผ่ซ่านออกมาจากด้านใน

ทั้งหมดนี้ ทำให้สวี่ชิงต้องถอยหลังไปอีก จนตอนที่ถอยมาถึงร้อยลี้ก็ยังคงใจสั่นสะท้าน ขณะเดียวกัน เพราะคลื่นพลังที่แผ่ออกมา ผนึกต้องห้ามพระจันทร์สีชาดก็จำแลงออกมาด้วย

มองไป แสงสีชาดเจิดจ้าสะกดแสงสีน้ำเงินในโลกที่ไกลออกไป เมื่อมันสัมผัสกันยิ่งทำให้ธารน้ำแข็งยิ่งสั่นไหว รอยแตกร้าวปรากฏขึ้นหลายทาง เหมือนฟ้าจะถล่มดินจะทลาย

ไม่นานนัก เสียงคำรามต่ำเสียงหนึ่งก็ดังก้องขึ้นในใจสวี่ชิง

‘ช่วยข้าสะกดที!’

สวี่ชิงกัดฟัน ในเมื่อเขาเลือกจะอยู่ต่อ ย่อมรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการให้ตนทำอะไร จึงไม่ลังเล ยกมือขวาขึ้นกดไปบนธารน้ำแข็งใต้เท้า

อำนาจเทพพระจันทร์สีม่วงในร่างกายระเบิดออกมา ส่งผลกระทบกับผนึกต้องห้ามพระจันทร์สีชาดอีกครั้ง

สิ่งที่เขาจะทำ ไม่ใช่การเปิดช่องโหว่ผนึกต้องห้ามพระจันทร์สีชาด แต่เป็นการรบกวน ทำให้การโคจรของมันมีช่องโหว่ ส่วนสุดท้ายอีกฝ่ายจะทะลวงออกมาได้หรือไม่ สวี่ชิงไม่สามารถชี้ขาดเรื่องนั้นได้

แต่สำหรับรัฐทายาทเจ้าเหนือหัว สวี่ชิงถือว่าเป็นตัวสำคัญอย่างยิ่ง การรบกวนและการส่งผลกระทบนี้ คือความแตกต่างกระหว่างศูนย์และหนึ่ง

ก่อนหน้านี้ ความเป็นไปได้ที่จะสำเร็จของเขาคือศูนย์

ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว

พริบตาต่อมา เสียงครืนครันที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิมเสียงหนึ่งดังออกมา ธารน้ำแข็งยิ่งปริแตกของแผ่ลามออกไปเป็นวงกว้าง แสงสีน้ำเงินเจิดจ้าไปถึงขีดสุดแล้ว ขณะที่ตะปูดอกนั้นถูกดึงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดก็ถูกถอนออกมาจากหน้าผากศพ

พริบตาที่ปรากฏขึ้น ทั่วทั้งที่ราบน้ำแข็งแดนเหนือก็กลายเป็นสีน้ำเงินในพริบตา

ภาพนี้ ดึงดูดความสนใจจากสำนักและเผ่าต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในที่ราบน้ำแข็งแดนเหนือ จู่ๆ โลกของพวกเขาก็กลายเป็นสีน้ำเงิน ในใจก็อดสงสัยไม่ได้

พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ความพรั่นพรึงกับแรงกดดันที่รุนแรงนี้ แผ่ซ่านออกมาจากในแสงสีน้ำเงิน ปกคลุมอาณาเขตของที่ราบน้ำแข็งทั้งหมด

เสียงปริแตกดังขึ้นในพริบตานี้ ครืนครันกึกก้องยิ่งกว่าทัณฑ์สวรรค์

ส่วนลึกธารน้ำแข็ง ตะปูที่แผ่แสงน้ำเงินไร้ที่สิ้นสุดดอกนั้น ก็แผ่กลิ่นอายที่น่าครั่นคร้ามของมันออกมาจนหมด ค่อยๆ เปลี่ยนทิศทาง ชี้ปลายตะปูไปยังผนึกต้องห้ามพระจันทร์สีชาดด้านบน

ขณะที่แสงของมันเจิดจ้าถึงขีดสุด ตะปูสีน้ำเงินก็พลันพุ่งออกไป

มาพร้อมกับพลังพุ่งไปด้านหน้าไม่หวนคืน มาพร้อมกับเผด็จการทำลายล้าง พุ่งไปยังผนึกต้องห้ามพระจันทร์สีชาด

พริบตาที่สัมผัสกัน ขณะที่สีแดงน้ำเงินตัดสลับเปล่งประกายสีม่วงออกมาเล็กน้อย ขณะที่ไม่ยอมกัน เสียงคำรามต่ำเสียงหนึ่งดังกึกก้อง

“หล่อหลอมเขตแดน กำเนิดฟ้าทมิฬ อาวุธเทพจำแลง เจ้ายินยอมถูกกักขังหรือ มีข้าช่วย ถ้าไม่ระเบิดตอนนี้ ต้องรอถึงเมื่อไร!”

ตะปูสีน้ำเงินสั่นไหวอย่างรุนแรง คลื่นพลังวิญญาณศัสตราแฝงความไม่ยินยอมก็ปะทุขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ปราณกลืนกินภูเขาแม่น้ำ รวมพลังไว้ที่ปลายแหลมคม ปะทุพลังน่าครั่นคร้าม

ทะลวงผนึกต้องห้ามด้วยพลังทำลายล้าง!

ฟ้าดินเปลี่ยนสี พสุธาถล่มทลาย เมื่อตะปูสีน้ำเงินพุ่งขึ้นฟ้า ก็ตั้งตระหง่านอยู่บนท้องนภา!

ปรากฏสู่โลกอีกครั้ง

เคลื่อนไปรอบๆ ท้องฟ้าตอนนี้ก็ถูกแสงน้ำเงินสาดส่องจนไม่ขมุกขมัว มองไกลๆ ที่ราบน้ำแข็งแดนเหนือผืนนี้กลายเป็นโลกสีน้ำเงินไปแล้ว

รอยร้าวบนพื้น แตกออกมาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ชั้นน้ำแข็งนับไม่ถ้วนทรุดตัวลงมา ธารน้ำแข็งนับไม่ถ้วนแตกเป็นเสี่ยงๆ ทั้งแดนเหนือยุบลงไป

นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะสำหรับสรรพชีวิตในแดนเหนือหรือแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา สถานการณ์เช่นนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!

และเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ เป็นไปไม่ได้ที่ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดจะไม่สังเกตเห็น นึกภาพออกว่าถัดจากนี้จะต้องระเบิดคลื่นพลังที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ออกมาแน่นอน

สรรพชีวิตตื่นตระหนก ขณะที่เสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่ว ตะปูสีน้ำเงินนั้นยังไม่ออกจากท้องฟ้า มันค่อยๆ ชี้ด้านปลายแหลมคมไปยังชั้นน้ำแข็งอีกครั้ง

แสงของมันยิ่งเจิดจ้า กะพริบวูบวาบ ราวกำลังสะสมพลัง

ขณะเดียวกัน ร่างของสวี่ชิงก็ปรากฏขึ้นเหนือธารน้ำแข็งที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ไกลออกไป เขาเงยหน้ามองทุกอย่าง แม้จะเตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่ก็ยังถูกภาพที่สั่นฟ้าสะเทือนดินนี้โหมระลอกคลื่นลูกมโหฬารขึ้นในใจอยู่ดี

“รัฐทายาทเจ้าเหนือหัวเคยกล่าวไว้ว่าเขามีน้องชายคนหนึ่งตายอยู่ที่นี่ มีพี่สาวคนหนึ่งถูกผนึกอยู่ที่นี่…

“เช่นนั้นเขาตอนนี้…”

สวี่ชิงหดม่านตาเล็กลง หันหลังออกวิ่งทันที เขามองออกว่าที่นี่วันนี้จะต้องฟ้าถล่มดินทลายแน่

แต่ตอนที่สวี่ชิงห้อตะบึง จิตเทพยิ่งใหญ่วูบหนึ่งก็กึกก้องในสมองเขา ราวกับลั่นระฆัง อัสนีฟาดผ่า

‘สหายตัวน้อย ถ้าเจ้าจากไปตอนนี้ เจ้าจะขาดทุนนะ

‘ยังจำของกำนัลลึกลับที่ข้าสัญญาไว้ได้หรือไม่

‘ข้าในฐานะที่เป็นรัฐทายาท คำกล่าวหนึ่งคำน้ำหนักดั่งกระถางสำริด รับปากว่าจะให้ก็ต้องให้!’

สวี่ชิงชะงักฝีเท้า อดเงยหน้ามองตะปูสีน้ำเงินบนท้องฟ้าที่เปล่งแสงเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ คล้ายใกล้สะสมพลังเสร็จสิ้นแล้วไม่อยู่

‘ของกำนัลอันใดหรือขอรับ’

สวี่ชิงสื่อประสาทสัมผัสเทพออกไป

‘ชิ้นส่วนโลกใบใหญ่มหาขั้นเตรียมสู่เทวะเป็นอย่างไร

‘สิ่งที่สะกดพี่หญิงสามของข้า มีอยู่สามสิ่ง นี่คือหนึ่งในนั้น’

คำพูดนี้สะท้อนก้องอยู่ในสมอง ดวงตาสวี่ชิงเบิกกว้าง หายใจหอบถี่ เขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าของกำนัลลึกลับที่อีกฝ่ายพูดไว้ก่อนหน้านี้จะเป็นชิ้นส่วนโลกใบใหญ่!

ต้องรู้ว่าสัญลักษณ์เตรียมสู่เทวะ ก็คือการให้กำเนิดโลกใบใหญ่ และโลกใบใหญ่นี้เดิมก็มหัศจรรย์อย่างยิ่ง ต่อให้เป็นแค่เศษชิ้นส่วน จะชิ้นใดก็ล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าทั้งสิ้น

สำหรับเทพเจ้าแล้วก็ถือว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่าเช่นกัน แม้พระจันทร์สีชาดจะไม่ได้เก็บมันกลับไป แต่ก็ยังใช้ประโยชน์จากมัน ให้เป็นคุกปิดผนึก

สำหรับผู้บำเพ็ญ คุณค่าของมันยิ่งใหญ่มหาศาลยิ่งกว่า

ขณะที่ในใจสวี่ชิงกำลังปั่นป่วน จิตเทพยิ่งใหญ่ก็ดังก้องขึ้นอีกครั้งในสมองเขา

’ดังนั้น เจ้ากล้าไปเอามันกับข้าหรือไม่’

‘กล้า’ สวี่ชิงดวงตาแดงก่ำ

ได้ประโยชน์เช่นนี้ เพียงพอจะทำให้ความบ้าคลั่งในส่วนลึกจิตใจเขาระเบิดออกมาได้ เช่นเดียวกับในตอนที่ได้รับตะเกียงชีวิตดวงแรกมา ได้รับวิชาระดับจักรพรรดิ ได้เทวรูปเผ่าสิงซากสมุทร ช่วงเวลาเหล่านั้น ความบ้าคลั่งในใจเขาไม่ได้น้อยกว่านายกองเลย

ตอนนี้เมื่อกล่าวออกมา ตะปูบนท้องฟ้าก็ส่งเสียงหัวเราะออกมา

“มา!”

แสงสีน้ำเงินผืนหนึ่ง พุ่งไปหาสวี่ชิงจากรอบด้านอย่างรวดเร็ว เมื่อปกคลุมร่างสวี่ชิง ก็พาร่างของเขาพุ่งไปบนท้องฟ้า

เข้าหาตะปู ยืนอยู่บนนั้น

แสงสีน้ำเงินเจิดจ้า ผสานเข้าไปในตะปู การคุ้มครองจากต้นกำเนิดเดียวกัน ทำให้สวี่ชิงได้รับการยกเว้นจากแรงกดดันของสมบัติชิ้นนี้ พริบตาที่ยืนอยู่ด้านบน จิตเทพของรัฐทายาทเจ้าเหนือหัวก็ดังสะท้านสะเทือนขึ้นมา

“สหายตัวน้อย ข้าจะให้เจ้าได้สัมผัสกับพลานุภาพส่วนหนึ่งของสมบัติล้ำค่าในอดีตของพ่อข้า!”

เมื่อกล่าวออกมา ตะปูสีน้ำเงินก็ส่งเสียงครืนครันฟ้าดินออกมา พลันพุ่งทะยานออกไป กลายเป็นแสงสีน้ำเงินสายหนึ่ง พุ่งไปยังชั้นน้ำแข็ง!

ความเร็วของมันน่าตกตะลึง พลานุภาพของมันกลืนกินฟ้า ระเบิดไปรอบทิศ ทำให้ท้องฟ้าบิดเบี้ยวเริ่มฉีกขาด แผ่นดินใหญ่ครืนครันยุบลงไป

ทุกจุดที่แล่นผ่าน พังพินาศย่อยยับ การขัดขวางทุกอย่างไม่อาจต้านทานได้แม้แต่น้อย!

นชิ้นส่วนโลกใบใหญ่ตอนนี้ จุดสูงสุดของภูเขาน้ำแข็งสีดำไร้ที่สิ้นสุดนั้น นายกองที่ไม่รู้เรื่องโลกภายนอกเลยแม้แต่น้อยกำลังยืนอยู่ที่นี่ ชี้ลงมาด้านล่าง

“ที่นี่เลย!

“พี่เจี้ยนเจี้ยน หนิงหนิงน้อย พวกเจ้าสองคนต้องเชื่อฟังนะ อีกเดี๋ยวเคลื่อนไหวกันเร็วหน่อย นำสำสีชาดสมบัติที่ข้ามอบให้ออกมา พวกเราต้องประทับให้เร็วที่สุด

“ประทับเสร็จสิ้น พวกเราก็จะจากไปทันที หากชักช้า…ก็สุดแล้วแต่โชคชะตาของแต่ละคนแล้ว

“เพราะตราบใดที่ที่ข้าไปปล้นสะดมหลังจากนี้ จะกลายเป็นเถ้าธุลีทั้งหมด”

นายกองกล่าวอย่างภาคภูมิใจ อู่เจี้ยนอูพยักหน้าอย่างรวดเร็ว จิตใจกระสับกระส่าย หนิงเหยียนก็รู้สึกกังวลขึ้นมาเช่นกัน

สังเกตเห็นสีหน้าของทั้งสอง นายกองก็ส่ายศีรษะในใจ

‘ยังสู้อาชิงน้อยไม่ได้เลย ความกล้าแค่นี้ ถ้าอาชิงน้อยอยู่ จะต้องมองข้าอย่างเรียบนิ่งแล้ว’

นายกองทอดถอนใจอยู่ในใจ ยกมือขวาขึ้นโบก โยนไฟดวงหนึ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นก็ดีดนิ้ว

“ออกมา เจ้าอ้วนน้อยของข้า!”

ไฟดวงนั้นพลันสว่างขึ้น แผ่แสงสีขาวเจิดจ้าออกมา ยิ่งมีพลังความร้อนมหาศาลระเบิดออกมาจากด้านใน

ตอนนี้ลอยขึ้นไม่หยุด จนกระทั่งกลายเป็นดวงอาทิตย์ดวงหนึ่งบนท้องฟ้า!

แสงกับความร้อนไร้ที่สิ้นสุด สาดส่องชั้นน้ำแข็งสีดำบนพื้นดิน!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!