Skip to content
Home » Blog » Outside Of Time 771

Outside Of Time 771

บทที่ 771 ดวงตะวันแห่งแสงอรุณโดนขโมย!

ในตำหนักหงส์ เงียบกริบไปในทันที สายตาแต่ละคู่ๆ จับจ้องไปที่ร่างของสวี่ชิง ทางองค์หญิงอันไห่ก็หน้าเปลี่ยนสีไปเช่นกัน

เพราะระฆังเมืองหลวงดัง 9 ครั้งเป็นระดับขั้นสูงสุดแล้ว นี่หมายถึงเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ผลลัพธ์ที่ตามมาสาหัสรุนแรงมาก และในตอนนี้ ราชองครักษ์ของจักรพรรดิมนุษย์กลับเรียกให้สวี่ชิงเข้าวัง เข้าเฝ้าในทันที

ดูเหมือนเชิญ แต่จากความเคร่งขรึมขององครักษ์เกราะทองเหล่านี้สามารถมองเห็นจิตสังหารได้อย่างชัดเจน

ที่สำคัญที่สุดคือ หากเข้าไปพัวพันกับคลื่นวนนี้ คิดไปใน มุมที่สุดโต่ง น่ากลัวว่าหากไม่ระวังก็จะมีภัยถึงความตาย

ต่อให้สวี่ชิงเบื้องหลังน่าครั่นคร้าม ครอบครองแดนใหญ่ หนึ่งแดนครึ่ง แต่หากเรื่องที่เข้าไปเกี่ยวพันเกี่ยวกับสายเลือดเผ่ามนุษย์ เช่นนั้นในการตัดสินของจักรพรรดิมนุษย์ เรื่องไหนสำคัญกว่า ก็ไม่จำเป็นต้องพูดมากแล้ว

ดังนั้นจากสีหน้าที่เปลี่ยนไปขององค์หญิงอันไห่ อันดับ แรกคือลังเล แต่ไม่นานในดวงตาของนางก็ฉายแววเด็ดเดี่ยว ผุดลุกขึ้นยืน เอ่ยเสียงเย็น “บังอาจ!”

คำพูดขององค์หญิงอันไห่ดังออกไป องครักษ์เกราะทองเหล่านั้นไม่หวั่นไหว ยังคงมองไปทางสวี่ชิง แต่หนึ่งในนั้นเดิน ออกมาก้าวหนึ่ง โค้งคารวะองค์หญิงอันไห่

“องค์หญิง นี่เป็นคำสั่งองค์จักรพรรดิพะยะค่ะ”

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นถึงต้องให้เจ้าแดนสวี่เข้าวังในตอนนี้’’ องค์หญิงอันไห่ขมวดคิ้ว มองไปทางองครักษ์ที่พูด นางอยาก ช่วยสวี่ชิงสืบสาเหตุสักหน่อย นี่เป็นสิ่งเดียวที่นางทำให้สวี่ชิงได้

หากรู้สาเหตุก่อนล่วงหน้า สวี่ชิงจะง่ายต่อการวางแผน และจัดการหลังจากนี้

องครักษ์คนนั้นลังเล มองไปรอบๆ แล้วมองไปรอบๆ แล้วมองไปยังความเคร่งขรึมในสีหน้าขององค์หญิงอันไห่ ก้าว ขึ้นไปสามสี่ก้าว ส่งสื่อเสียงพูดไปประโยคหนึ่ง

คำพูดนี้คนนอกฟังไม่ได้ยิน ทำให้องค์หญิงอันไห่สะท้านไปทั้งร่าง ลมหายใจหอบถี่ สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมหาศาล จากนั้นนางมองไปทางสวี่ชิงด้วยสีหน้าซับซ้อน เงียบนิ่งแล้ว สวี่ชิงมองทุกอย่าง ในใจขบคิดว่าที่ไหนที่เกิดปัญหา แม้เวลาเพียงสั้นๆ จะคิดไม่ออก แต่สีหน้าของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงใดๆ เพราะเหตุนี้ ตอนนี้เขายืนขึ้นอย่างสุขุม เดินไปข้างหน้า มายังกลางองครักษ์เกราะทองเหล่านั้น

องครักษ์เหล่านี้แบ่งอยู่ข้างหน้าและหลังสวี่ชิง ดูเหมือนคุ้มกัน แต่ก็เหมือนควบคุมตัว เดินออกไปนอกตำหนัก

ในเสี้ยวขณะที่ก้าวออกไปจากตำหนัก องค์หญิงอันไห่ กัดฟันริมฝีปากขยับเล็กน้อย ส่งสื่อเสียงหาสวี่ชิง

“องครักษ์คนนั้นเมื่อครู่บอกข้าว่า เขาก็รู้อะไรไม่มากเช่นกัน รู้เพียงว่า…ปิดผนึกวังรังสรรค์ เหมือนมีของถูกขโมย!” สวี่ชิงฝีเท้าชะงักไปเล็กน้อย หันไปประสานมือ จากนั้นก็ ก้าวออกไปจากตำหนัก มุ่งหน้าไปยังวังหลวง

เมืองหลวงในยามราตรี ฝนยังคงตกหนักเช่นเดิม สายฟ้าบนท้องฟ้าประเดี๋ยวๆ ก็ฟาดผ่า ปกติแล้วเวลานี้

อากาศแบบนี้ คนที่ออกมาข้างนอกน้อยนัก แต่คืนนี้ต่างออกไป

สวี่ชิงเห็นในคืนฝนตกคืนนี้ มีเงาขององครักษ์มหาศาล กำลังเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรีบร้อน ต่างแยกย้ายกันไป คนธรรมดายากจะมองอะไรออก แต่สวี่ชิงมากจากกรมปราบพิฆาต ค่อยๆ มองร่องรอยอะไรบางอย่างออก

‘นี่เหมือนว่าจะเป็นการกระจายกำลังโดยมีการปิดผนึกเป็นหลัก

‘ปิดผนึกเมืองหลวงหรือ’

สวี่ชิงครุ่นคิด นึกย้อนถึงสื่อเสียงของอันไห่ ในใจขบคิดเรื่องนี้ อันดับแรกที่เขานึกถึงคือศิษย์พี่ใหญ่

อย่างไรเสียด้วยความเข้าใจที่เขามีในตัวเอ้อร์หนิว ความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายจะไปวังรังสรรค์ขโมยอะไรบางอย่างมี ไม่น้อยเลย แม้ทำเช่นนั้นจะไม่สมเหตุสมผล อีกทั้งนายกองลงมือ ท่าทางคงไม่ทิ้งร่องรอยใหญ่โตเช่นนี้ ทำให้คดีสาวมาหาตนทางนี้ได้

ดังนั้น ความคิดนี้หลังจากที่ผุดขึ้นมาในหัวสวี่ชิงก็ถูกเขา ตัดทิ้งไปทันที

‘เช่นนั้นหลังจากตัดทิ้งไป วังรังสรรค์ถูกขโมยอะไรไป ถึงได้ทำให้จักรพรรดิมนุษย์เรียกข้าเข้าเฝ้าในทันทีเช่นนี้’

สวี่ชิงขบคิด เขานึกถึงดวงตะวันแห่งแสงอรุณ นี่เป็นของสิ่งเดียวระหว่างเขากับวังรังสรรค์ที่คนอื่นจะเชื่อมโยงอะไร

ในเมื่อเขาก็มีดวงตะวันแห่งแสงอรุณเช่นกัน แตเรื่องนี้ในวังหลวงก่อนหน้านี้เขาก็อธิบายชัดแล้ว ดังนั้นความเกี่ยวพันจากเหตุนี้ก็ไม่ควรจะถูกเรียกให้เข้าเฝ้า

‘เช่นนั้น คนข้างกายข้าถูกดึงเข้ามาพัวพันหรือ’

ทิศทางมีมากมาย สวี่ชิงครุ่นคิด ในยามที่ขาดเบาะแสที่ แน่ชัดยากจะได้คำตอบที่ถูกต้องแม่นยำ

และเส้นทาง ท่ามกลางการขบคิดของสวี่ชิงก็หดสั้นลงอย่างรวดเร็ว ไม่นานนัก จากการฟาดผ่าลงมาจากสายฟ้าเป็นทางๆ พวกเขาก็มาถึงสะพานสายรุ้ง วังหลวงที่อยู่ไกลๆ ภายใต้แสงจากสายฟ้า ก็พลันชัดเจนขึ้นมา

สวี่ชิงรูม่านตาหดเล็ก เขาเห็นองครักษ์เกราะทองอีกลุ่มหนึ่ง กำลังควบคุมตัวคนคนหนึ่งเดินเข้าไปในประตูวังหลวง เป็นหนิงเหยียนนั่นเอง

คำตอบกระจ่างชัดแล้ว หนิงเหยียนเกี่ยวพันกับเรื่อง ขโมยของในวังรังสรรค์ อีกทั้งของที่หายไปน่าจะสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ความเป็นไปได้ว่าคือดวงตะวันแห่งแสงอรุณสูงมาก แต่หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เรื่องนี้มีช่องโหว่ใหญ่มาก อันดับแรก สวี่ชิงรู้ว่าหนิงเหยียนช่วงนี้แทบจะฝึกบำเพ็ญอยู่ตลอด

สองคือด้วยพลังบำเพ็ญของหนิงเหยียนจะลงมือทำ เรื่องใหญ่แบบนี้ได้อย่างไร อีกทั้งหลังจากเรื่องแดงขึ้นมาแล้วยังไม่หนี

สุดท้าย หากดวงตะวันแห่งแสงอรุณถูกขโมยไปจริงๆ เรื่องนี้ก็ยิ่งเหลวไหลขึ้นไปใหญ่

ดวงตะวันแห่งแสงอรุณเป็นของสำคัญของเผ่ามนุษย์ จะถูกขโมยไปได้ง่ายๆ ได้อย่างไร จะต้องรักษาเอาไว้อย่างแน่นหนา สถานที่ที่เก็บก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในวังรังสรรค์

ความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นมาในหัวสวี่ชิง สายตาของเขา เปลี่ยนมาเคร่งเครียด เดินไปทางวังหลวง จนกระทั่งมาถึงยัง ลานสืบทอดเซียนที่อยู่หน้าตำหนักใหญ่

รอบๆ ลานมีผู้บำเพ็ญเกราะทองยืนอยู่เต็มไปหมด จิต สังหารรุนแรง ทำให้บรรยากาศภาพรวมแล้วกดดันเป็นอย่างยิ่ง

ยิ่งมีเสียงฟ้าผ่าบนท้องฟ้า ความรู้สึกถูกสยบควบคุมที่ มาจากการผสานระหว่างอำนาจฟ้าและอำนาจมนุษย์ทำให้ เม็ดฝนในยามที่ร่วงหล่นลงมาล้วนสั่นสะท้าน ผู้ที่สั่นสะท้านด้วยยังมีหนิงเหยียน เขาตอนนี้ถูกองครักษ์เกราะทองสองคนกดไหล่คุกเข่า อยู่บนลาน ปล่อยให้เม็ดฝนสาดลงมาเปียกปอนไปทั่งร่าง ในใจของเขาตื่นกลัววิตกกังวล ในดวงตาแฝงด้วยความ สับสนงุนงง เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในตอนที่เขาฝึกฝนอยู่ที่โถงบรรพชนของมารดา ก็มีองครักษ์ของวังหลวงพุ่งเข้ามา บังคับจับตัวมา

และคนที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้นไม่ได้มีแค่เขา ยังมีอีกหลายคน

ล้วนแต่เป็นผู้บำเพ็ญวังรังสรรค์ทั้งสิ้น ประมาณหลายสิบคน

ในนั้นยังมีอีกคนหนึ่ง เป็นองค์ชายเก้านั่นเอง เขาถูก องครักษ์เกราะทองกดให้คุกเข่าอยู่ ตอนนี้ก้มหน้า สีหน้า แฝงด้วยความขมขื่น

การมาถึงของสวี่ชิง ทันทีที่เดินเข้าประตูวังหลวง สายตา ที่มาจากองครักษ์แต่ละคู่ๆ รวบรวมมา มาพร้อมกับเขามา ถึงยังข้างกายคนเหล่านี้ที่โดนควบคุมตัว

เห็นสวี่ชิง ในใจหนิงเหยียนขณะเดียวกับที่มีความหวังก็ มีความตกใจ ความกระวนกระวายรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง

สวี่ชิงมองหนิงเหยียน พยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร ยืนอยู่ข้างๆ เขา

องครักษ์เกราะทองข้างหลังกำลังจะยกมือกดไหล่เขา สวี่ชิงหันหน้าไป มองอย่างสงบนิ่งผาดหนึ่ง

ภายใต้สายตาของเขา องครักษ์สองคนนั้นเงียบนิ่ง สุดท้ายก็โค้งคารวะแล้วถอยไป

ดังนั้นสวี่ชิงจึงกลายเป็นเพียงคนเดียวในคนกลุ่มนี้ที่ยืนอยู่ นํ้าฝนไม่ร่วงลงมาบนตัวเขา แต่สลายไปที่เหนือศีรษะ

เวลาผ่านไปช้าๆ สายฟ้าดังขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานนักก็มีเงาร่างมาจากข้างนอกอย่างรีบร้อน เข้าไปในตำหนักวังหลวงข้างหน้า และในตำหนักแสงโคมสว่างไสว กำลังประชุมหารือ

ขณะเดียวกัน ค่ายกลเมืองหลวงก็เปิดขึ้นเต็มอัตราตั้ง นานแล้ว ปกคลุมเมืองหลวงทั้งเมืองไว้ข้างใน ทำการปิดผนึก โดยสมบูรณ์ เข้ามาได้เท่านั้น ออกไปไม่ได้

สวี่ชิงหลับตา ความคิดขยับหมุน ทำการยืนยันการ คาดเดาของตัวเองในใจ

จนกระทั่งฟ้าสว่าง ในตำหนักวังหลวงก็มีเงาร่างแก่ชรา ร่างหนึ่งเดินออกมา เป็นราชเลขานั้นเอง

เขายืนอยู่หน้าตำหนัก ก้มหน้ามองไปยังลานข้างล่าง สายตากวาดไปยังร่างที่คุกเข่าคำนับเหล่านั้น หลังจากนั้น

ครู่หนึ่ง เสียงตํ่าทุ้มก็ดังก้อง

“ราตรีนี้ วังรังสรรค์ถูกขโมยของ ดวงตะวันแห่งแสงอรุณ ที่ได้รับอนุญาตให้นำมาใช้เพื่อศึกษาค้นคว้าการยกระดับพลัง เก็บอยู่ในค่ายกลพิเศษวังรังสรรค์ หายไปแล้ว”

“พวกเจ้าเป็นคนที่น่าสงสัยในขั้นต้นของการตรวจสอบ”

“โดยเฉพาะองค์ชายสิบสอง”

เสียงของราชเลขาดังก้อง ประโยคสุดท้ายขึงขังดุดันมาก ทันทีที่ดังออกมา ท้องฟ้ามีสายฟ้าฟาดผ่า ทำให้รอบๆ คำราม เลื่อนลั่น

หนิงเหยียนยิ่งสะท้านไปทั้งร่าง เงยหน้า สีหน้าแฝงไว้ด้วยความไม่อยากเชื่อ

“เป็นไปไม่ได้ ข้าไม่เคยไปวังรังสรรค์เลย ข้า…”

เขากำลังจะพูดอะไร แต่เสี้ยวขณะต่อมา เสียงแค่นขึ้น จมูกก็ดังมาจากในวัง

เสียงนี้เหนือยิ่งกว่าอัสนีสวรรค์ คำรามลั่นลาน ทำให้คน ทั้งหลายต่างจิตใจสั่นสะท้าน

“ราชเลขา เอาหลักฐานให้ไอ้ลูกชั่วคนนี้ดู!”

ราชเลขาที่อยู่หน้าตำหนักได้ยิน มือขวายกขึ้นสะบัด แผ่นหยกแผ่นหนึ่งลอยออกมา หยุดอยู่กลางอากาศ ประกาย แสงเจิดจ้าพรางพรายกะพริบวูบวาบก่อเป็นภาพฉากหนึ่ง

ในภาพเป็นที่ตั้งของที่ลับแห่งหนึ่ง ค่อนข้างรางเลือนและบิดเบี้ยว มีเพียงเงาร่างหนึ่งที่จากไปไกล ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง เงาแผ่นหลังนั้นคล้ายกับหนิงเหยียนเป็นอย่างมาก ใน ตอนที่ภาพใกล้จะจบ เงาร่างนั้นในทันทีที่จะเลือนหายไปก็ หยุดชะงักเล็กน้อย หันหน้ามา เผยให้เห็นเสี้ยวหน้าด้านข้าง เหมือนหนิงเหยียนทุกประการ!

จากนั้น ภาพทั้งหมดก็หายไป จากการประสานปางมือ ของราชเลขาก่อเป็นกลิ่นอายกล่มหนึ่ง

กลิ่นอายนี้เป็นของหนิงเหยียนนั่นเอง

“นี่ก็คือภาพจากการสำแดงวิชาของอ๋องสวรรค์ ย้อนเวลาที่วังรังสรรค์ ภาพที่ได้เห็นจากการย้อนเวลา”

“ส่วนกลิ่นอายก็รวบรวมจากในค่ายกลวังรังสรรค์ ดึง ออกมาจากในช่วงเวลาเหตุการณ์ทั้งหมด จักรพรรดิล้วนตรวจสอบ”

พูดจบ ราชเลขาก้มศีรษะ และในวังหลวง เสียงเย็นชา ของจักรพรรดิมนุษย์ดังมา

“ลูกชั่ว เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก”

หนิงเหยียนงงงัน เขาไม่รู้เรื่องนี้ และไม่ได้ทำ แต่ใบหน้า และกลิ่นอายนั่น ปลายหอกทุกอย่างล้วนชี้มาที่เขา

ตอนนี้ที่ปลายฟ้าไกล อาทิตย์รุ่งอรุณลอยขึ้น แม้เมฆดำ จะยังปกคลุม ฝนจะยังตก แต่แสงอาทิตย์รุ่งอรุณก็ยังคงทอแสงอย่างสุดกำลัง ส่องประกายแสงมายังโลกมนุษย์ สาด ลงมายังลานสืบทอดเซียน

ในยามไอหมอกปกคลุม ระฆังใบหนึ่ง ในยามที่ราตรีและ รุ่งอรุณสอดประสานก็ปรากฏขึ้นมา ลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือลาน

นั่นคือระฆังระฆังถามเซียน

และใต้ระฆังถามเซียน หนิงเหยียนอยากจะพูดอะไรบ้าง แต่หลักฐานคาหนังคาเขาแน่นหนา ไม่อาจแก้ต่างอะไรได้ ทำได้แค่ยิ้มขมขื่น

สวี่ชิงเงยหน้ามองไปทางวังหลวง ภาพก่อนหน้านี้เขาเห็นแล้ว แต่ในนั้นมีข้อสงสัยมากมาย เขาไม่เชื่อว่าจักรพรรดิ มนุษย์ทางนั้นจะเมินเฉย จึงเดินไปสามสี่ก้าว ยืนอยู่ข้างหนิงเหยียน กำลังจะเอ่ยปาก

หนิงเหยียนคว้าชายเสื้อสวี่ชิงเอาไว้ เงยหน้าอย่างเนิบช้า สีหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย ในดวงตาแฝงด้วยความผิดหวังในตัว จักรพรรดิมนุษย์ มาพร้อมด้วยความโกรธต่อเรื่องไร้สาระเรื่องนี้ พลางมองไปทางวังหลวง คำรามเสียงต่ำขึ้นมา

“เสด็จพ่อ ข้ารู้ว่าท่านไม่ชอบข้า!

“ช้ารู้ว่าในพระทัยของท่าน ข้าองค์ชายสิบสองคนนี้จะมี จะไม่มีก็ได้”

“ข้าพรสวรรค์ไม่ดี พูดไม่เก่ง ไม่เป็นที่โปรดปราน ยิ่งไม่ มีใครยินดีที่จะเข้าใกล้ข้า เรื่องพวกนี้ข้าไม่สนใจ!”

หนิงเหยียนเสียงแหบแห้ง อารมณ์เกิดระลอกคลื่นรุนแรง แผ่ระลอกไปทั่วทั้งลาน ร่างของเขาค่อยๆ ลุกขึ้นจากท่าคุกเข่า!

การยืนขึ้นนี้แทนความหมายทุกอย่าง สำหรับเขาแล้ว ไม่เคยมีมาก่อน นี่เป็นสัญลักษณ์วาเขาสะกดความกลัวต่อ เสด็จพ่อของตัวเองที่มีนับแต่เกิดมา สะกดความเกรงกลัวต่อจักรพรรดิมนุษย์

บดขยี้ความปวกเปียกไม่ได้ความของตัวเอง ส่ง เสียงคำรามที่สะกดอยู่ในใจมาเนิ่นนานออกมา

“เสด็จพ่อ ท่านอยู่สูงส่ง ประดุจเมฆาบนผืนนภา และข้า ในสายตาของท่านตํ่าต้อยเป็นอย่างที่สุด ไม่ต่างอะไรกับดินโคลน แต่แล้วจะอย่างไร ที่นี่เป็นบ้านของข้า แต่ก็ไม่ใช่บ้านของข้า เทียบกับที่นี่แล้ว ข้าชอบเขตปกครองผนึกสมุทรมากกว่า เทียบกับแซ่กู่เยวี่ยที่เป็นองค์ชาย ข้าชอบฐานะของหนิงเหยียนมากกว่า!”

“ครั้งนี้หากท่านไม่เรียกให้ข้ากลับ ข้าจะไม่มีวันกลับมาเด็ดขาด!”

“และวันนี้ใช้เรื่องที่บอกว่าอาจจะมาโยนให้ข้า ข้า…

ไม่ยอมรับ!”

“เรื่องนี้ ข้าหนิงเหยียนผู้นี้ไม่ได้ทำ!

“ใช้ระฆังถามเซียนเป็นเครื่องพิสูจน์!”

หนิงเหยียนคำราม ยืนขึ้นอย่างสมบูรณ์ พุ่งไปยังระฆัง ถามเซียนที่อยู่ข้างบน ชนเต็มแรง

เสียงระฆังมาพร้อมด้วยความหนักแน่น ดังก้องไปทั่วลาน

พิสูจน์คำพูด พิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!