Skip to content

Outside Of Time 800

บทที่ 800 ขีดเส้นเขตแดนเทพเจ้า

สวี่ชิงรู้ดีถึงความสามารถของตนเอง ต่อให้เป็นไป๋เซียว จัวผู้บรรลุมหาขั้นหวนสู่อนัตตาขั้นบริบูรณ์ เขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ เว้นเสียแต่จะใช้ดวงตะวันบรรพกาล แต่หากเป็นเช่นนั้น ขอบเขตที่ได้รับผลกระทบจะกว้างเกินไป

เกรงว่าทั้งพื้นที่วังศึกษาจะพังทลาย และเมืองหลวง จักรพรรดิก็จะตกอยู่ในหายนะ

อีกอย่าง…หากจะใช้ดวงตะวันบรรพกาลเพื่อสังหารไป๋ เซียวจัว สวี่ชิงคิดว่าไป๋เซียวจัวไม่คู่ควร

ดังนั้นดวงตะวันบรรพกาลนี้ ส่วนใหญ่จะใช้เป็นเครื่อง ข่มขู่และป้องกันตนเอง

“หากกระบี่จักรพรรดิสามารถเคลื่อนไหวได้ ทุกอย่างคงจะง่ายขึ้น”

สวี่ชิงรู้สึกเสียดาย

น่าเสียดาย จนถึงตอนนี้กระบี่จักรพรรดิก็ยังไม่เคลื่อนไหว ดังนั้นหากต้องการสังหารไป๋เซียวจัว สวี่ชิงเข้าใจว่าสิ่งที่เขาทำได้ก็มีเพียงวิธีสี่ตำลึงปาดพันชั่งเท่านั้น

เปิดเผยตัวตนของไป๋เซียวจัว กำจัดเขาเพื่อผดุงธรรมเผ่ามนุษย์

ส่วนพวกนกกานั้น ยังไม่ถึงเวลา

ด้วยพลังปัจจุบันของสวี่ชิงยังไม่เพียงพอที่จะสั่นคลอนราชครูได้อย่างสิ้นเชิง

ดังนั้น เขาจึงนั่งสมาธิอยู่บนแท่นเต๋าสีขาวที่ถูกค่ายกลปกคลุม พร้อมกับเจ้าสายเซียนต่างวิถีและเฉินเต้าเจ๋อ ตลอดจนผู้ร่ำเรียนจำนวนมากเบื้องล่างที่เฝ้าดูการต่อสู้บนท้องฟ้า

เมื่อเทียบกับความสงบที่สวี่ชิงแสดงออกในขณะนี้ ฝ่ายสายผสานเทพนั้นเต็มไปด้วยความซับซ้อน ความหวาดกลัวและความกังวลที่ไม่อาจระงับได้

แม้แต่ฝั่งเจ้าสายเซียนต่างวิถีเองก็ยังรู้สึกระสํ่าระส่ายอย่างยิ่ง เขาไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าสายผสานเทพ จะเป็นไป๋เซียวจัวแห่งกลุ่มเทียนประทีป

และคำตอบนี้ทำให้เขามองเห็นแสงอรุณ เขารู้ดีว่าหลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ จะไม่มีใครสามารถ หยุดยั้งการขึ้นสู่อำนาจของสายเซียนต่างวิถีได้อีกต่อไป

สายผสานเทพจะพังทลาย เหล่าผู้ศึกษาชั้นสูง จะต้องถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด เพื่อค้นหาเศษซากของ เทียนประทีปที่เหลืออยู่

ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากบรรพจารย์สวี่ชิงทั้งสิ้น ขณะที่ความคิดต่างๆ กำลังตีกัน เจ้าสายเซียนต่างวิถีมองเฉินเต้าเจ๋อที่อยู่ข้างกาย อีกฝ่ายพยักหน้าน้อยๆ ให้เขา

เจ้าสายเซียนต่างวิถีเกิดความมั่นใจ จึงหันไปมองสวี่ชิง ดวงตาเต็มไปด้วยความเคารพอย่างล้นเหลือ ทว่าความสนใจของสวี่ชิงไม่ได้จดจ่อกับสิ่งรอบตัว การรับรู้ทั้งหมดของเขาในขณะนี้ล้วนอยู่ในสนามรบ

นี่เป็นการชมการต่อสู้ที่หาได้ยากยิ่ง ซึ่งจะทำให้ทุกคน เข้าใจมหาชั้นหวนสู่อนัตตาได้ดียิ่งขึ้น

สำหรับสวี่ชิงแล้ว การชมการต่อสู้มีความหมายลึกซึ้ง อย่างยิ่ง

เพราะนี่คือการต่อสู้ระหว่างการฝึกบำเพ็ญแบบเซียน และการฝึกบำเพ็ญแบบเทพเช่นกัน

แม้ว่าระดับขั้นที่แสดงไม่ใช่มหาขั้นเตรียมสู่เทวะ แต่การ โจมตีของผู้บรรลุมหาขั้นหวนสู่อนัตตาขั้น 4 หลายคนก็ทำให้ท้องนภาพร่า

เลือนได้

ดังนั้นผู้ที่มีพลังบำเพ็ญไม่เพียงพอจึงเห็นเพียงฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ดวงตะวันและจันทราปรากฏ หูได้ยินเสียงกรีดร้อง คำราม ตาเห็นเพียงความสับสนวุ่นวาย

แต่สำหรับผู้บำเพ็ญระดับสมบัติวิญญาณ พวกเขามองเห็นมากกว่านั้น

พวกเขาสามารถรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของกฎเกณฑ์บนท้องฟ้า สามารถรับรู้ถึงกฎเกณฑ์ที่กลายเป็นความจริง กฎเกณฑ์ที่ก่อตัวเป็นร่างจำแลงบรรพกาล ซึ่งต่างก็สั่นคลอน ความเป็นเทพของฝ่ายเทียนประทีปอย่างต่อเนื่อง นี่คือการสังเกตวิถี

นอกจากนี้ ผู้คนต่างมองเห็นกฎเกณฑ์ในสนามรบแตกต่างกันไปตามประสบการณ์และจุดเน้นของการฝึกบำเพ็ญ สิ่งที่คนหนึ่งมองเห็นอาจจะไม่ชัดเจนในสายตาของผู้อื่น ในทางตรงกันข้ามก็เช่นกัน

ดังนั้นเหล่าผู้ศึกษาของวังศึกษาจึงกลั้นหายใจไปตามๆ กัน และสัมผัสรับรู้ด้วยตนเอง

มีเพียงผู้ที่บรรลุมหาขั้นหวนสู่อนัตตาเท่านั้นที่สามารถ เห็นภาพทั้งหมดในสนามรบได้อย่างแท้จริง เห็นการ ปรากฏชัดของกฎเกณฑ์ทั้งปวง เห็นมหามรรคาที่ไหลเวียนนับไม่ถ้วน

ในสายตาของผู้บรรลุมหาขั้นหวนสู่อนัตตา การต่อสู้บน ฟากฟ้านั้นเปรียบเสมือนกับการต่อสู้ยุคบรรพกาลอุบัติขึ้น อีกครั้ง เสียงคำรามในแต่ละคำล้วนมีกฎเกณฑ์แห่งมหามรรคา

ส่องสะท้อนอย่างต่อเนื่อง ทำลายห้วงสูญตา ทำให้ บริเวณวังศึกษาปรากฏรอยแยกมากมาย

ถ้าพินิจโดยละเอียด รอยแยกเหล่านี้เองก็ มีการเปลี่ยนแปลงของกฎเกณฑ์เช่นกัน ทำให้จิตใจของผู้คนสั่นสะเทือน และเกิดครุ่นคิดอย่างสัญชาตญาณ

แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงภาพลวงตา สาระสำคัญที่แท้จริง มีเพียงผู้ที่บรรลุระดับเดียวกับพวกเขาหรือสูงกว่าเท่านั้นจึง

จะสามารถมองเห็นทะลุปรุโปร่ง

พลังบำเพ็ญของสวี่ชิงยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่เขาก็แตกต่างจากคนอื่น

เขาเป็นผู้บำเพ็ญแบบเซียน และเป็นผู้บำเพ็ญแบบเทพด้วย

ดังนั้นในสายตาของเขา สนามรบจึงแตกต่างจากคนอื่นเช่นกัน

สิ่งที่เขาเห็น คือแสงสีต่างๆ ที่สอดประสานกันบนเวหา ราวกับภาพวาดที่วูบไหวเป็นนามธรรม

ในภาพ ไป๋เซียวจัวผู้มีลักษณะดุจเทพเจ้า บางครั้งก็ชัดเจน บางครั้งก็พร่าเลือน

จุดที่ส่องแสงเองก็แตกต่างกันในทุกครั้ง

เจ้าวังศึกษาที่ต่อสู้กับเขามีพลังบำเพ็ญอันน่าสะพรึงกลัว ยิ่งมีพลังเสริมจากสายโลหิตราชวงศ์ ทำให้เขา มีพลังมากกว่าผู้บรรลุมหาขั้นหวนสู่อนัตตาขั้นบริบูรณ์ทั่วไปถึง 3 ส่วน

ในการโจมตีแต่ละครั้ง จะมีการเปลี่ยนแปลงของมหา มรรคามากมายนับล้านหรือหลายล้าน หรือมากกว่านั้น รวมกับการเคลื่อนไหวของมังกรทองดวงชะตา

กฎเกณฑ์ทั้งหมดเปลี่ยนแปลงตามใจนึก บางครั้งกลายเป็นดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงเจิดจ้า บางครั้ง กลายเป็นรถศึกโบราณที่พุ่งโรมรันเข่นฆ่า บางครั้งกลายเป็น สัตว์ร้ายขนาดมหึมาที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แสดงให้เห็น ถึงมรรคาอันแปลกประหลาด ข่มเหงไป๋เซียวจัวด้วยวิธีการต่างๆ

รอบกายทั้งสอง เหล่าเจ้าสายแม้จะมีความแตกต่าง แต่ก็น่าทึ่งมากอยู่ดี

พวกเขาต่างต่อสู้กับหุ่นเชิดผสานเทพต่างเผ่า 5 ตนอย่างดุเดือด แต่ละคนบาดเจ็บสะบักสะบอม

ผู้บรรลุมหาขั้นหวนสู่อนัตตาขั้นบริบูรณ์ถือเป็นขั้นสูงสุด ไม่ว่าจะอยู่ในเผ่าใดๆ

ในบางเผ่าที่ไม่มีมหาขั้นเตรียมสู่เทวะ พวกเขา เปรียบเสมือนเทพเจ้า

ดังนั้น ร่างกายของผู้บรรลุมหาขั้นหวนสู่อนัตตาขั้น บริบูรณ์จึงมีคุณสมบัติแปลกประหลาดอยู่บ้าง

เช่นเลือดของพวกเขาที่ตกลงมาจะก่อตัวเป็นทะเลสาบ โลหิตบนพื้นทันที

หรือเสียงสะท้อนจากการต่อสู้สามารถทำลายแผ่นดินได้ โชคดีที่สถานที่แห่งนี้มีค่ายกลสุดแกร่ง เมื่อเปิดใช้งาน เต็มกำลังสามารถปกป้องผู้ร่ำเรียนภายในให้ปลอดภัย ไม่ทำให้ การสัมผัสรับรู้ของใครหลายคนขาดตอนมากนัก

ฝั่งสวี่ชิงเองก็กำลังสัมผัสรับรู้ตาไม่กะพริบ ความคิดต่างๆ ผุดผาดขึ้นในใจ ผสมผสานกับความรู้ของตน ทำให้เข้าใจการฝึกบำเพ็ญแบบเซียนและการฝึกบำเพ็ญแบบเทพมากขึ้น

“การฝึกบำเพ็ญแบบเทพ…ไม่มีเคล็ดวิชา ให้ความรู้สึก ราวกับว่าทุกอย่างเป็นไปตามสัญชาตญาณ ราวกับว่าฟ้าดิน ถูกสร้างขึ้นเพื่อพวกเขา ในฟ้าดินแห่งนี้ พวกเขาเป็นอิสระ ไร้ข้อจำกัด”

“การฝึกบำเพ็ญแบบเซียน แตกต่างโดยสิ้นเชิง พวกเขา เองก็ใช้พลังจากฟ้าดินเช่นกัน ทว่ามีวิธีฝึกต่างจากการฝึก บำเพ็ญแบบเทพ พวกเขาใช้กฎเกณฑ์เป็นดั่งเส้นด้ายดึงพลังจากฟ้าดิน”

“ราวกับ…การทำให้ฟ้าดินตกเป็นทาส!”

“ด้วยวิถีสวรรค์?”

สวี่ชิงดวงตาเป็นประกาย ความคิดโลดแล่นในใจไม่มีหยุด การต่อสู้ครั้งนี้ เขาได้เห็นเรื่องราวมากมายที่ควรค่าแก่การไตร่ตรอง

“ทันทีที่วิถีสวรรค์ปรากฏ จะเป็นการผูกมัดฟ้าดิน กำหนดขอบเขตให้เทพเจ้า!”

สวี่ชิงใจเต้น เขาไม่รู้ว่าการคาดเดาของเขาถูกต้องหรือไม่

แต่จากการตัดสินของเขาใน ณ เวลานี้ มีตรรกะที่สุด

แล้ว

หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็สามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดเซียน บรรพกาลกลุ่มแรกสุดจึงต้องสร้างวิถีสวรรค์ของผู้บำเพ็ญขึ้น หลังจากพิชิตแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ได้แล้ว

วิถีสวรรค์ เพื่อให้ผู้บำเพ็ญรุ่นหลังสามารถฝึกบำเพ็ญได้ดียิ่งขึ้น

นี่ก็อธิบายได้เช่นกันว่าเหตุใดผู้บำเพ็ญในระบบกายเวท จึงต้องบ่มเพาะวิถีสวรรค์ในสมบัติวิญญาณ

“เติมเต็มวิถีสวรรค์อยู่เสมอ แล้วฟ้าดินจะอยู่ในมือของผู้ บำเพ็ญตลดอกาล!”

“ถ้าเป็นอย่างที่ข้าคาดเดา นี่คือแผนการที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เท่าที่เคยมีมา ผสานวิธีการควบคุมฟ้าดินเข้ากับระบบการฝึก บำเพ็ญของผู้บำเพ็ญ”

“วิธีการเช่นนี้ ความอาจหาญและโลกทัศน์เช่นนี้…”

สวี่ชิงสูดหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกเคารพเซียนบรรพกาลยุค แรกเริ่มอย่างยิ่ง จากนั้นเขาจึงเงยหน้าขึ้นมองไปบนฟากฟ้า

ท้องฟ้าเหนือวังศึกษา มองไม่เห็นเสี้ยวหน้า แต่สิ่งนี้ ไม่ได้ส่งผลต่อการวิเคราะห์ในใจของสวี่ชิง

“แต่ละครั้งที่เสี้ยวหน้าลืมตาขึ้น จะมีวิถีสวรรค์ล่มสลาย เมื่อวิถีสวรรค์ทั้งหมดถูกทำลาย แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ จะกลายเป็นโลกของเทพเจ้าอีกครั้ง”

“และโลกดินแดนต้องประสงค์แม้จะกว้างใหญ่ไพศาล แต่ก็เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งในจักรวาลเท่านอกโลก ดินแดนต้องประสงค์…จะเป็นอย่างไรหนอ”

นี่เป็นครั้งแรกที่สวี่ชิงมีความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่นอก ดินแดนต้องประสงค์

“ที่นั่นมีแดนศักดิ์สิทธิ์ และที่ไกลออกไป อาจจะเป็น …สถานที่ที่หลี่จื้อหวามุ่งหน้าไป และเป็นสถานที่ที่จันทรา ดาราสีม่วงอยู่”

สวี่ชิงหลับตา ใช้ใจรับรู้ถึงจันทราดาราสีม่วงของตนเอง ห่างไกลลิบลับ

และในขณะที่สวี่ชิงหลับตาเพื่อรับรู้ สนามรบบนท้องฟ้า ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ขึ้น

การเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้มาจากไป๋เซียวจัว ร่างกายของเขาส่องแสงสู่ท้องฟ้าที่อยู่เหนือขึ้นไป ในขณะที่เจ้าวังศึกษาพุ่งโจมตี เขายกมือและเงยหน้าขึ้น ราวกับคารวะสู่จุดสูงสุดของท้องฟ้า

“พลังหยางสองพิธีกรรมผสานดวงตาแห่งเทพบรรพกาล บังเกิดแสงแห่งนภาสุกสกาวส่องสว่างในดินแดนต้องประสงค์ ทอดเงาแผดสุมแผ่นดินแห่งเทวะ”

“พระนามเจ้าแห่งดวงตะวัน เทพเจ้าแห่งจักรวาล เทียนประทีปอันศักดิ์สิทธิ์”

“จงเสด็จมาสู่ที่นี่!”

เมื่อสิ้นคำพูด พื้นที่วังศึกษาก็ส่งเสียงคำรามเลื่อนลั่น เมืองหลวงจักรพรรดิสั่นสะเทือนทั้งฟ้าดิน พลังอันน่าสะพรึงกลัวนิรนามตกจากความว่างเปล่าลงมายังเมืองหลวงจักรพรรดิ ลงมายังท้องฟ้าเหนือวังศึกษา

ทันใดนั้นภาพลวงตาพร่าเลือนพลันปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า เหนือวังศึกษา

แทนที่ผืนฟ้า แทนที่วิถี แทนที่ทุกสิ่งอย่างในที่แห่งนี้

ในภาพนั้น เห็นเป็นต้นไม้ยักษ์ที่แผ่คลื่นผันผวนความ เป็นเทพคุกรุ่นออกมา เห็นสัตว์ประหลาดที่เต็มไปด้วยความเป็นเทพ เห็นศาลเจ้าสูงตระหง่านเกินจะพรรณนาแผ่กลิ่นอาย แห่งกาลเวลาออกมา

เห็นสมุทรแช่แข็ง เห็นยอดภูเขาเป็นไอ เห็นเมฆรูปร่างมนุษย์ เห็นสิ่งมีชีวิตคล้ายวิญญาณดวงตะวันและจันทรา ลักษณะคล้ายกับปลาหมึกยักษ์ และยังมีนกยักษ์สยายปีก บดบังท้องฟ้า กู่ร้องขณะบินผ่านไป

พวกมันใหญ่โตมโหฬาร รูปร่างหลายหลากต่างกัน หนวดบิดเบี้ยวพันกันยุ่งเหยิง ร่างกายทำจากวัสดุลึกลับสุดแข็งแกร่ง

นี่คือโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งประหลาดและความลึกลับ

มันน่าเหลือเชื่อและแปลกประหลาด ในส่วนลึกที่สุด สามารถมองเห็นทรงกลมมหึมาอย่างน่าสะพรึงกลัว ขนาดราวๆ หลายพันลี้

ทรงกลมนี้มีสีดำสนิท มีหนวดยุบยับเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ดวงตาที่ปิดลงครึ่งหนึ่ง เปล่งแสงลึกลับราวกับ จ้องมองทะลุกาลเวลาและความว่างเปล่าได้

เสียงที่เปล่งออกมาจากภายในทรงกลม ทุ้มตํ่าและ ดังก้อง เหมือนกับสายฟ้าฟาดในกระแสวน

เมื่อมันเคลื่อนไหว โลกทั้งใบก็สั่นสะเทือน แผ่นดินสั่นไหว มหาสมุทรทั้นป่วน ท้องฟ้าลุกไหม้

บนพื้นผิวของทรงกลมสีดำ มีใบหน้ามากมายปรากฏขึ้น ต่างกู่ร้องสรรเสริญ ตะโกนคำพูดเหมือนกับไป๋เซียวจัว พลานุภาพเทพปกคลุมฟากฟ้า แม้เป็นเพียงภาพลวงตา แต่กลับทำให้เหล่าผู้ศึกษาในวังศึกษาหลายคนกระอักเลือดออกมา และยังมีคน แสดงอาการผิดปกติ ที่เมืองหลวงจักรพรรดิก็เช่นกัน

ชั่วขณะนั้นเองทั้งเมืองหลวงจักรพรรดิแห่งเผ่ามนุษย์ ถูกปกคลุม ด้วยไอพลังประหลาดสุดแข็งแกร่งและครอบงำ ผู้คนนับไม่ถ้วนตะลึงงัน ใจสั่นหวั่นกลัว บรรดากองกำลังทั้งหลายต่างเปลี่ยนสีหน้า ฝ่าย จักรพรรดิทรงยืนขึ้น อ๋องสวรรค์ 13 องค์ใต้อาณัติต่างเปลี่ยนสีหน้า กลิ่นอายทั้งหมดพุ่งสูงขึ้น

สวี่ชิงเองก็มีสีหน้าเคร่งเครียดในทันที จ้องมองโลกแห่งเงาเหนือไป๋เซียวจัว เขาเคยสัมผัสสถานที่ที่คล้ายคลึงกัน กลิ่นอายที่คล้ายคลึงกันมาแล้วครั้งหนึ่ง

“แผ่นดินเทวะ…”

ในเมืองหลวงจักรพรรดิ ที่ศาลบรรพชนของหอเลือนโลกีย์ รูปปั้นจิ้งจอกดินเหนียวที่ตั้งบูชาบนหิ้งเองก็สั่นสะเทือนฉับพลัน มันหมุนหัวขวับ เบิกตาโพลงจ้องมองไปทางวังศึกษา

“แผ่นดินเทวะนิรนาม!”

“เทพเจ้าที่อุบัติขึ้นในที่แห่งนั้น…ไม่ใช่ เทพเจ้าองค์นี้…ผิดปกติ!”

ในขณะเดียวกัน กลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวก็ปะทุฉับพลัน จากรูปปั้นจักรพรรดิที่ประดิษฐานอยู่เบื้องหน้าสะพานสายรุ้ง

หน้าวังหลวง

ดวงตาจักรพรรดิค่อยๆ เบิกกว้าง เผยความเก่าแก่ของบรรพกาล ตามมาด้วยเสียงครืนครัน หัวของจักรพรรดิค่อยๆ หมุนไปมองยังวังศึกษา

ฉับพลันเสียงที่ทุ้มต่ำกว่าฟ้าร้องก็ดังขึ้น “กระบี่แขวนเหนือท้องนภา หากใจกล้าก็จงขยับดู”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!