Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 163

Cover Renegade Immortal 1

163. เส้นทางสวรรค์

 

หวังหลินเชิดศีรษะตัวเองขึ้นไปทางผู้อาวุโส “ผู้อาวุโสไม่ต้องกังวล เมื่อข้าเสร็จสิ้นการอ่านเส้นทางสวรรค์ ข้าจะจากที่นี่ไปทันที หลังจากนั้นข้าคงไม่กลับมาที่นี่อีกครั้ง”

ผู้อาวุโสจ้องหวังหลินเป็นเวลานาน เขาสะบัดมือขวาและหินหยกปรากฎบนฝ่ามือพลันกระแทกหินหยกบนแผ่นหินและแสงสีขาวกระจายผ่านแผ่นหินทันทีจากนั้นมันคลุมพื้นผิวแผ่นหินราวกับกระจกบานหนึ่ง

ผู้อาวุโสไม่ได้หันตัวกลับแต่ทว่าก้าวเข้าไปในกระจก พื้นผิวเกิดระลอกคลื่นราวกับกำลังเดินบนน้ำ หวังหลินติดตามเขาไปจากด้านหลัง

ความรู้สึกเย็นและสดชื่นแล่นผ่านร่างหวังหลินขณะที่เขาเดินผ่านแผ่นหิน มันราวกับใบหน้าถูกชะล้างด้วยผ้าขนหนูเปียกชื้นและเย็นเยียบ หลังจากนั้นหวังหลินพบว่าเขาได้เดินผ่านแผ่นหินมา เขาหันกลับไปพลันเห็นแผ่นหินด้านข้างเป็นแบบเดียวกับภายนอกที่มีระรอกคลื่นราวกับน้ำใส

หวังหลินวางมือตัวเองลงข้างในและรู้สึกได้ถึงความเย็นอีกครั้ง

ผู้อาวุโสใบหน้าแดงก่ำพูดขึ้นอย่างใจเย็น “นี่คือประตูกระจกวารีที่สร้างโดยวิธีหลอมสมบัติของเจดีย์เทพสงคราม หากไม่มีหินหยกจะไม่สามารถเปิดมันออกได้เว้นแต่ว่าเจ้าจะบรรลุขั้นตัดวิญญาณ”

หลังจากหวังหลินได้ยินคำว่า “วิธีหลอมสมบัติ” ทำให้จิตใจเขาสั่นก่อนที่จะติดตามผู้อาวุโสใบหน้าแดงก่ำไปด้านหลัง

พื้นที่ภายในเจดีย์หินแห่งนี้มีขนาดใหญ่มาก มีโถงหลักอยู่ตรงกลางและมีห้องศิลาด้านข้างหลายร้อยห้อง ภายนอกของห้องศิลาแต่ละห้องเป็นผนังศิลา หลังจากตรวจสอบอย่างรอบคอบแล้วหวังหลินจึงเชื่อได้ว่าแต่ละห้องมีประตูกระจกวารีอยู่ด้วย

ผู้อาวุโสมองหวังหลินที่จ้องประตูพวกนั้นพลันพูดขึ้น “มีห้องศิลาทั้งหมด 365 ห้องที่นี่ ทุกห้องจะมีประตูกระจกวารีทุกบาน การสร้างประตูกระจกวารีเป็นสัญลักษณ์ของศิษย์ที่ไม่ได้เป็นผู้ฝึกหัดการหลอมสมบัติแล้ว”

หวังหลินมองชั่วครู่ก่อนจะหายสายตาออกมา ทั้งสองมาถึงโถงหลักตรงกลาง ด้านหน้ามีชั้นวางของจำนวนสี่ชั้นแต่ละชั้นมีป้ายอยู่บางส่วน

นอกจากชั้นบนสุดที่มีเพียงป้ายเดียว ชั้นอื่นๆต่างมีป้ายเพียงไม่กี่ชิ้น

สายตาหวังหลินตกลงบนป้ายบนชั้นบนสุดนั้น มันอ่านว่า “ผู้ก่อตั้งเจดีย์เทพสงคราม — กงโม่ว(宮墨 Gōng mò)”

“บรรพชนกงเป็นผู้ก่อตั้งของเจดีย์เทพสงครามและเป็นคนที่พบเส้นทางสวรรค์ด้วยเช่นกัน” ผู้อาวุโสใบหน้าแดงโค้งคำนับไปทางป้ายก่อนที่จะหันไปหาหวังหลิน

หวังหลินครุ่นคิดเล็กน้อยและจากนั้นโค้งคำนับ

ผู้อาวุโสใบหน้าแดงหันตัวและเดินไปข้างหน้า เขาหยุดข้างหน้าผนังสีเขียวที่ปกคลุมไปด้วยคำพูดขนาดเล็กนับไม่ถ้วน คำพูดพวกนี้ต่างถูกสลักบนผนังแห่งนี้ ด้านบนผนังหวังหลินสามารถเห็นคำพูดสามคำที่ชัดเจนว่า “เส้นทางสวรรค์”

ทว่าหลังจากมองลงมาจิตใจของเขาจมดิ่งลงขณะที่อ่านมัน “ศิษย์เฉินจงสลักมาจากความทรงจำ เหล่าศิษย์ในอนาคตจำเป็นต้องฝึกฝนด้วยความระมัดระวัง”

“ผิดหวัง?” ผู้อาวุโสใบหน้าแดงมองหวังหลินและถอนหายใจ “ปีที่สองหลังจากบรรพชนของเราพบเส้นทางสวรรค์ มีคนทรยศขึ้น ดังนั้นข่าวเรื่องเส้นทางสวรรค์ได้กระจายออกอย่างกว้างขวาง ไม่นานหลังจากนั้นแคว้นอันดับสี่เทียนกางได้มาถึงที่นี่ หลังจากพูดคุยกับบรรพชนกงแล้วพวกเขานำมันออกไป จากนั้นท่านบรรพชนกงก็จากเจดีย์เทพสงครามไปและไม่เคยกลับมาอีกเลย”

“เส้นทางสวรรค์เป็นวิธีฝึกเซียนที่แปลกประหลาดอย่างที่สุดที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต ทุกคนที่เห็นมันสามารถเข้าใจมันได้แต่ทว่าไม่สามารถจดจำมันได้ ราวกับว่ามีพลังลึกลับปกป้องมันอยู่”

“พรสวรรค์ของท่านบรรพชนเฉินจงนั้นธรรมดามากและเขาเป็นศิษย์ที่อ่อนแอที่สุดของท่านบรรพชนกง ทว่าเขากลับสามารถใช้ความทรงจำของตัวเองทำเรื่องบางอย่างที่ไม่มีใครคาดคิดว่าเป็นไปได้นั่นคือการสลักเส้นทางสวรรค์ หลังจากเขาสลักเสร็จสิ้นพลันสิ้นชีวิตไป ก่อนตายได้พูดว่าวิธีฝึกนี้ทรงพลังมาก ช่วงชีวิตของเขาเองไม่เพียงพอและทำได้เพียงสลักมันลงไปหนึ่งส่วนเท่านั้น ดังนั้นศิษย์ในอนาคตจึงต้องฝึกฝนด้วยความระมัดระวัง”

“ความจริงท่านบรรพชนเฉินจงกังวลมาก วิธีฝึกเส้นทางสวรรค์จะเข้าใจได้ง่ายๆได้ยังไงกัน? นับตั้งแต่นั้นมีคนเพียงสามสิบคนที่เข้าใจส่วนนั้นได้และครึ่งหนึ่งบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดได้สำเร็จ”

“ส่วนเส้นทางสวรรค์ที่สำนักอื่นในฮัวเฝินดูนั้นมันเป็นของปลอม ดังนั้นจำนวนคนนอกที่ได้เข้าใจมันน้อยมากนัก”

ขณะที่หวังหลินได้ยินคำกล่าวพวกนั้นพลันมองไปบนผนังศิลาสีเขียว เขาเห็นรูปภาพอันเลือนราง ชายหนุ่มใช้ชีวิตของเขาเองสลักมันไว้บนนั้น

“เจ้าดูมันด้วยตัวเองเถอะ ข้าจะรอเจ้าข้างนอกและห้ามเจ้าไปล่วงเกินประตูกระจกวารีห้องอื่น” หลังจากผู้อาวุโสพูดจบเขาหันหลังเพื่อจากไปทันที

หวังหลินมองผนังศิลาและอ่านทุกประโยคบนนั้น ทุกคำยากที่จะเข้าใจและบางส่วนได้ขัดแย้งกันและกัน ขณะที่อ่านมันหวังหลินก็เริ่มขมวดคิ้วช้าๆ

หลังจากผ่านไปนานเขานั่งลงในท่านั่งดอกบัวด้วยใบหน้าอันยุ่งเหยิง ทว่าหวังหลินไม่แม้แต่กระพริบตาขณะที่จ้องบนกำแพงศิลา คำพูดที่เขียนในนั้นค่อยๆปรากฎในจิตใจเขา

ยิ่งอ่านมันก็ยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม วิธีฝึกเส้นทางสวรรค์เป็นวิธีที่ไม่อาจเข้าใจได้ หวังหลินขมวดคิ้วมากกว่าเดิมจนกระทั่งเขาอ่านมันจนจบจากนั้นหลับตาและรำลึกถึงทุกสิ่งบนกำแพงศิลา

เวลาค่อยๆผ่านไปหวังหลินยังไม่อาจเข้าใจสิ่งใดได้ เขาลืมตาขึ้นช้าๆและถอนหายใจออกมาก่อนจะมองกลับตรงไปที่ผนังศิลา ทว่าขณะเดียวกันรูม่านตาเขาหดเล็กและพึมพำขึ้น “มีบางสิ่งผิดพลาด!”

เมื่อหวังหลินมองเบื้องหน้าผนังศิลาอีกครั้ง ทุกประโยคที่เขาจดจำมันไว้ทันใดนั้นหายไปราวกับเขาไม่เคยมาที่นี่มาก่อน หวังหลินมองประโยคอันคุ้นเคยที่เขาเคยจดจำครั้งก่อนแต่ตอนนี้ราวกับมีบางสิ่งขาดหายไป คำพวกนั้นเขาลืมไปหมดแล้ว

หวังหลินสูดหายใจลึกและเริ่มเพ่งสมาธิ วิธีฝึกเส้นทางสวรรค์นั้นแปลกประหลาดเกินไป ไม่สงสัยเลยว่าไม่มีใครสามารถทำสำเนามันได้ ก่อนหน้านั้นที่เขาให้โจวซื่อจงทำสำเนาบันทึกให้แต่เธอกลับบอกว่าไม่ว่าจะลองพยายามแค่ไหนก็ลืมมันอยู่ดี หวังหลินไม่ได้คิดมากเรื่องนั้น แต่ตอนนี้เขาเจอมันด้วยตัวเองจึงกลายเป็นเคร่งเครียดมากทันที

หวังหลินมองประโยคที่ว่า “ศิษย์เฉินจงสลักมาจากความทรงจำ เหล่าศิษย์ในอนาคตจำเป็นต้องฝึกฝนด้วยความระมัดระวัง” ยิ่งตกใจมากกว่าเดิม แม้ว่าเขาจะได้ยินมันมาจากคนอื่นทว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอมันกับตัวเองว่ายากแค่ไหนที่จะบันทึกเส้นทางสวรรค์ลงไป หวังหลินจดจำชื่อเฉินจงในใจเขา

หวังหลินสูดหายใจลึกขณะที่สายตากวาดผ่านประโยคและกลับไปบนเส้นทางสวรรค์อีก ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงหวังหลินจดจำมันอีกครั้งแต่สิ่งที่เกิดขึ้นคราก่อนได้ผ่านเข้ามาอีก

หลังจากย้ำอีกหลายครั้งใบหน้าหวังหลินมืดหม่นลง ขณะที่เขาจ้องไปที่ผนังศิลาพลางไม่ได้พยายามจำแต่กลับอ่านมันหลายครั้งมากขึ้นแทน

ครั้งแรกที่หวังหลินอ่านเส้นทางสวรรค์เขาใช้เวลาสามชั่วโมง แต่ตอนนี้เขาใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง สายตาเริ่มเร็วขึ้นจนตอนนี้เขาใช้เวลาครึ่งชั่วโมงเพื่ออ่านมันทั้งหมด

เวลาค่อยๆผ่านไป หวังหลินเริ่มอ่านเร็วขึ้นและเร็วมากขึ้น จากการอ่านหนึ่งรอบในครึ่งชั่วโมงเป็นอ่านสามรอบในครึ่งชั่วโมง สายตาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในขณะเดียวกันก็เริ่มรู้สึกเจ็บปวดทางสายตา

หลังจากไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ หวังหลินหลับตาลงอย่างไร้สติแต่ผนังศิลาดูเหมือนยังอยู่ในสายตาเขา

เนื้อหาเหล่านั้นเริ่มเร็วขึ้นและเร็วขึ้นหลังจากหวังหลินหลับตาลงเขายังเจ็บปวด ในไม่ช้าโลหิตสองสายไหลออกจากดวงตาแต่ขณะเดียวกันหวังหลินก็ลืมตาขึ้น ดวงตาเต็มไปด้วยโลหิตและเผยความตกใจ

หวังหลินเห็นประโยคบนผนังค่อยๆหายไปและปรากฎเป็นร่างคนผู้หนึ่งสวมชุดสีขาวขึ้นมา สายตาหวังหลินเห็นภาพที่ไม่ชัดดังนั้นจึงเห็นแต่เพียงฝ่ามือเขาสร้างผนึกหลายชั้น จากนั้นร่างกายก็แบ่งออกเป็นสองคนและเป็นสามคนอย่างรวดเร็ว

เดิมทีความแตกต่างระหว่างร่างต้นและร่างปลอมส่วนใหญ่จะโง่เง่าและดูจืดชืด การเคลื่อนไหวของร่างปลอมจะเป็นการเลียนแบบร่างต้นเท่านั้น

แต่ร่างปลอมที่ร่างชุดคลุมสีขาวทั้งหมดดูฉลาดและคล่องแคล่ว หวังหลินรู้สึกราวกับเขาไม่อาจบอกได้ว่าร่างไหนคือร่างต้นแบบ

ความจริงแล้วหวังหลินไม่ทราบว่าร่างปลอมของชายชราคนนี้ถูกสร้างมาจากพลังของสมบัติวิเศษที่ทรงพลังและไม่ได้มีวิชาแข็งแกร่งอันใด

หลังจากผ่านไปสักพักร่างชุดคลุมสีขาวค่อยๆหมองลงจนหายไปในที่สุด หวังหลินหลับตาอีกครั้งใบหน้าเขาขาวซีดและเริ่มครุ่นคิด บทร่ายอันลึกลับปรากฎขึ้นในใจเขาพลันวิเคราะห์มันชั่วครู่ก่อนที่หวังหลินจะลืมตาและยิ้มอย่างขมขื่น ในที่สุดเขาก็เข้าใจวิธีฝึกเส้นทางสวรรค์ขึ้นมาเล็กน้อย

วิชานี้เป็นวิชาการฝึกร่างอวตาร การที่มันเพิ่มโอกาสสำเร็จขั้นวิญญาณแรกกำเนิดนั้นคือการใช้ร่างอวตารเช่นนั้นเอง เมื่อคนหนึ่งฝึกฝนร่างหลักพร้อมกับร่างอวตารและหลอมรวมกันเป็นหนึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จในการบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดได้

ทว่าวิชานี้ไม่สมบูรณ์และมีข้อผิดพลาดร้ายแรง ร่างอวตารที่สร้างมาไม่มีระดับฝึกตนและช่วงชีวิตน้อยกว่าสามสิบปี ซึ่งเป็นเหมือนกับภาระข้อหนึ่ง

ส่วนบทร่ายนั้นเฉินจงทิ้งข้อความบางอย่างไว้ เนื่องจากวิชานี้ไม่สมบูรณ์และเขาไม่มีช่วงชีวิตเหลืออยู่พอที่จะสลักมันทั้งหมดจึงได้ทิ้งทางแก้ไว้ให้

วิธีแก้คือใช้วิชานี้เพื่อสร้างร่างอวตารและใช้อายุขัยสามสิบปีของมันบริโภคเม็ดยาจำนวนมาก เก็บเม็ดยาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้และฝึกฝนระดับฝึกตนของร่างอวตารให้สูงที่สุด ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเมื่อท่านรวมร่างอวตารเข้าด้วยกัน จะมีโอกาสทะลวงผ่านขั้นวิญญาณแรกกำเนิดเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

หากมีเม็ดยาเก็บไว้มากพอและร่างอวตารจนบรรลุขั้นแกนลมปราณจะเพิ่มโอกาสการสร้างวิญญาณเซียนได้อย่างมาก

หวังหลินไตร่ตรองจะนำวิธีฝึกเส้นทางสวรรค์นี้เก็บไปคิด เขาไม่มีเม็ดยามากพอที่จะให้ร่างอวตารของตัวเอง แม้ว่าเขาจะได้รับเม็ดยามาบ้างก็ยังไม่พอใช้กับตัวเองเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจะเก็บไว้ใช้กับร่างอวตารงั้นหรือ?

หาเม็ดยาที่ช่วยเพิ่มโอกาสการสร้างวิญญาณเซียนจะน่าเชื่อถือซะกว่ามาใช้วิชาเช่นนี้แทน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!