164. ศพลึกลับ
สำนักหลักสี่แห่งมีเพียงสำนักซากศพสำนักเดียวที่กลับแคว้นฮัวเฝินหลังจากแคว้นอันดับสี่เข้ามากวาดล้างอสูรอัคคี
การเคลื่อนไหวนี้ทำให้ผู้คนสงสัยหลายคน แม้ว่าอสูรอัคคีได้ถูกกวาดล้างออกไปแล้วพลังปราณที่มีนั้นรุนแรงเกินกว่าจะใช้ฝึกฝน ดังนั้นทั้งแคว้นจึงเป็นเขตอันตรายต่อเหล่าเซียน
สำนักซาพศพไม่ได้อธิบายอะไรอื่นและเพียงแค่หายตัวไปในชั่วข้ามคืน
สำนักซากศพเป็นสำนักที่มีความลึกลับอย่างมากในสายตาของอีกสามสำนัก แม้ว่าทางสำนักจะไม่มีเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดมากนัก ทว่าทุกครั้งที่มีการรวมตัวกันของเหล่าเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิด พวกเขาจะรู้สึได้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่มาพร้อมกับเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดของสำนักซากศพ
เมื่อคิดถึงเรื่องนั้นทางสำนักหลักทั้งสามแห่งทำได้เพียงเงียบเสียงและไม่ได้หยุดพวกเขา
ในพื้นที่ทางทิศตะวันตกของฮัวเฝิน ข้างใต้ภูเขาไฟที่กำลังปะทุมีถ้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งนำไปสู่เครือข่ายอุโมงค์เชื่อมต่อกับถ้ำที่เป็นโลกใต้ดินของตนเอง
หากเปรียบสำนักซากศพของแคว้นจ้าว โรงสร้างแห่งนี้ค่อนข้างคล้ายกันเพียงแต่มันมีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย
จ้าวสำนักซากศพในปัจจุบัน จ้าวชวนเหลียง คุกเข่าข้างหนึ่งเบื้องหน้าผลึกที่มีรูปร่างไม่สม่ำเสมอซึ่งสร้างจากผลึกหลายชั้น
จ้าวชวนเหลียงเป็นคนที่ได้รับการเคารพอย่างมาก ร่องรอยความกลัวเผยขึ้นบนใบหน้าและพลันหายไป เขากระซิบขึ้น “ซางจงโปรดให้เวลาข้าอีกเล็กน้อย ข้าสัญญาว่าจะตรวจหาว่าเกิดอะไรขึ้นกับวิญญาณดวงที่ 4876”
“หากข้าให้เวลาเจ้า เช่นนั้นใครจะให้เวลาข้าเพิ่มหล่ะ? วิญญาณดวงที่ 4876 เป็นศิษย์คนหนึ่งของเทียนกางจากสำนักเทียนกางที่อยู่ในการดูแลของข้า และตอนนี้พวกเขาเข้ามาสอบถามแล้ว จากการคำนวณวิญญาณดวงที่ 4876 ควรจะเสร็จสิ้นกระบวนการกลืนกินร่างกายไปแล้ว ข้าจะบอกเขาว่าอย่างไรเล่า?”
จ้าวชวนเหลียงลอบสาปแช่ง ใบหน้าเผยความหวาดกลัวและเขารีบพูดขึ้น “ซางจงข้าพบเบาะแสบางอย่างแล้วและพบว่าวิญญาณดวงที่ 4876 หายไปที่ไหน จากการวิเคราะห์เบาะแสนั้นดูเหมือนว่าศิษย์คนหนึ่งของสำนักเจดีย์เทพสงครามนามว่าหม่าเหลียงจะเกี่ยวข้องกัน ข้าได้รับข่าวว่าเขาพึ่งปรากฎตัวล่าสุดในซวนหวู่ ดังนั้นข้าจึงส่งคนไป ตราบใดที่เจ้าให้เวลาข้าสิบวัน ข้ามั่นใจว่าจะสามารถค้นหาความจริงได้แน่นอน”
ใบหน้าคนภายในผลึกเริ่มผ่อนคลายเล็กน้อยขณะที่มองดูจ้าวชวนเหลียงและถอนหายใจ “ชวนเหลียง ข้าจะให้เวลาเจ้าสิบวันเพราะว่า ‘คนผู้นั้น’ หรอกนะแต่ว่าหากเจ้ายังไม่เจออะไรในสิบวันก็อย่ากล่าวหาว่าข้ารายงานเรื่องนี้กับพวกแคว้นอันดับห้าหล่ะ ด้วยการทำงานของพวกนั้นข้ามั่นใจว่าเขาจะริดรอนสิทธิ์การเลือกกายเนื้อของเจ้าไป”
สิ้นคำพูดใบหน้าคนภายในผลึกค่อยๆหายไป
จ้าวชวนเหลียงกระทืบพื้นและยิ้มอย่างขมขื่น “หากวิญญาณดวงที่ 4876 เป็นคนจากเทียนกางเช่นนั้นมันดีกับเขาหรือที่มากลืนกินร่างที่นี่แทน? ทำไมต้องโยนเรื่องนี้ไว้กับข้า หาาาา?! ” ทว่าเขาเข้าใจได้แล้วว่าเมื่อคนคนหนึ่งต้องการกลืนร่างกายมักจะทำมันในต่างแคว้นเช่นนี้เสมอ
น้ำเสียงเยือกเย็นดังออกมาจากจ้าวชวนเหลียง “ลืมเรื่องโอกาสการเลือกร่างกายของเจ้าซะจ้าวชวนเหลียง ดูเหมือนว่าเจ้าจะอยู่ในสถาการณ์ย่ำแย่!”
จ้าวชวนเหลียงถอนหายใจและถามขึ้น “เย่จื่อข้าควรทำเช่นไร?”
“ทำเช่นไรงั้นหรือ? ข้าไม่รู้เหมือนกัน แต่สำหรับอดีตจ้าวสำนักซากศพของแคว้นจ้าวอย่างข้าได้พบสถานการณ์คล้ายๆกันแบบนี้ สถานการณ์นี้กับลูกศิษย์ของข้าช่างคล้ายคลึงกันแต่ต่างกันนิดหน่อย ตะเกียงวิญญาณของวิญญาณดวงที่ 4876 ยังไม่ได้หายไปไหนนั่นหมายความว่าเขายังมีขีวิตอยู่ หากเจ้าสามารถหาเขาพบได้นั่นจะเป็นเรื่องดีที่สุด แต่หากไม่แล้วเจ้าจะอยู่ในอันตราย”
“แต่ข้าอยากรู้อยากเห็นเหลือเกินที่ว่าซางจงให้เวลาเจ้าสิบวันเพราะเรื่องร่างกายนี้ เจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับเจ้าของร่างนั้นในอดีตหรือ?”
จ้าวชวนเหลียงพูดอย่างสงบ “เป็นน้องชายของข้า เราทั้งคู่เข้าสำนักซากศพมาเมื่อสี่ร้อยปีก่อน พรสวรรค์ของเขาดีกว่าข้าดังนั้นจึงถูกซางจงเลือกไป”
เย่จื่อหัวเราะเยาะ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความผิดหวัง “หากไม่ใช่ว่าร่างกายที่สมบูรณ์นั้นที่เตรียมไว้เพื่อตัวข้าเองถูกแคว้นอันดับห้าพบเจอและนำไปจากข้า ข้าคงฟื้นฟูระดับฝึกฝนได้เรียบร้อยและกลืนกินร่างกายได้สำเร็จไปแล้ว”
จ้าวชวนเหลียงสูดหายใจลึกขณะที่เขาวางหินหยกบนหน้าผากตัวเอง หลังจากนั้นชั่วครู่ก็โยนออกมา
“เซียนขั้นแกนลมปราณและสูงกว่าทั้งหมดติดตามข้าเดินทางไปสมาพันธ์ฮัวเฝิน!” สิ้นคำสั่งเหล่าศิษย์ของสำนักซากศพทั้งหมดลืมตาขึ้น แสงอันน่ากลัวปรากฎวาบบนแววตาทุกคน
ส่วนหวังหลิน แม้ว่าวิธีฝึกเส้นทางสวรรค์เป็นสิ่งวิเศษ มันกลับไม่เหมาะสมที่เขาจะฝึกฝน หวังหลินวิเคราะห์เล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมาและเริ่มจากไป สิ่งที่หวังหลินแปลกใจก็คือเส้นทางสวรรค์ในหัวเขาตอนนี้ยังคงอยู่แทนการหายไปยามปกติ
ทว่าเมื่อหวังหลินพยายามสร้างบทคัดลอกเขาก็ยังทำไม่ได้เช่นเดิมราวกับมีพลังล่องหนป้องกันเส้นทางสวรรค์จากการถูกบันทึกไว้อยู่
หวังหลินไตร่ตรองเล็กน้อยก่อนจะยอมแพ้การเขียนมันลงไป เขามองประตูกระจกวารีรอบๆ ทั้งหมดสีมืดหม่นและดูเหมือนกัน
หวังหลินครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะกระจายสัมผัสวิญญาณออกมา แต่ดูเหมือนว่ามีชั้นป้องกันบนตัวกระจกวารีที่สะท้อนสัมผัสวิญญาณของเขากลับมาได้ สายตาหวังหลินสว่างขึ้นและมองไปที่ทางเข้า ผู้อาวุโสใบหน้าแดงอาจจะอยู่ประตูด้านนอก
หวังหลินกระโดดและร่อนลงเบื้องหน้าหนึ่งในประตูกระจกวารีบานหนึ่ง เขายื่นมือเข้าไปในกระจกและรู้สึกเย็น ในไม่ช้าหวังหลินก็มาถึงกำแพงศิลา
หวังหลินยื่นมือออกมาและเริ่มครุ่นคิด เขารีบนำหินหยกที่มีวิธีหลอมสมบัติของเจดีย์เทพสงครามออกมาอย่างรวดเร็วและเริ่มค้นดูข้างใน
วิชาหลอมสมบัติของเจดีย์เทพสงครามมีสามส่วนหลักๆนั่นก็คือ แยก หลอม และผสาน สมบัติวิเศษทั้งหมดต่างสร้างด้วยกระบวนวิธีสามแบบนี้ หวังหลินค้นพบบางสิ่งที่เรียกว่า การหลอมย้อนกลับ จากในหินหยก
การหลอมย้อนกลับนั้นเดิมทีมีไว้สำหรับเหล่าเซียนทำการแลกเปลี่ยนวิธีหลอมสมบัติ การหลอมย้อนกลับสมบัติวิเศษนั้นก็เพื่อหาว่ามันสร้างขึ้นอย่างไรและจากนั้นถึงสร้างสมบัติเซียนชิ้นนั้นขึ้นมาใหม่โดยมีหน้าตาเหมือนกัน
การฝึกวิธีหลอมย้อนกลับนี้สามารถเพิ่มความสามารถในการหลอมสมบัติให้คนคนหนึ่งได้ การย้อนกลับผลผลิตของคนอื่นนั้นก็เพื่อเรียนรู้วิธีการสร้างและใช้มันในการสร้างสมบัติของตนเอง
ทว่าการย้อนกลับรูปแบบนี้ใช้ได้เฉพาะสมบัติที่สร้างผ่านกระบวนการ แยก หลอมและผสานเท่านั้น
หวังหลินศึกษากระบวนการนี้อย่างรอบคอบก่อนจะนำหินหยกเก็บไป เขาวางมือตัวเองเข้าด้วยกันแนบหน้าอกและส่งพลังปราณเข้าไป เมื่อขยับแขนจะมีเส้นใยพลังปราณเชื่อมต่อทั้งฝ่ามือ
หวังหลินตะโกนขึ้น “ไป!”
เส้นใยถูกตัดแบ่งครึ่ง ส่วนปลายได้เชื่อมเข้าไปในประตูกระจกวารีพร้อมกับอีกส่วนยังเชื่อมกับฝ่ามือหวังหลิน ขณะที่หวังหลินเติมพลังปราณเข้าไปในฝ่ามือมากขึ้น เส้นใยยิ่งปรากฎขึ้นจนมีขนาดพอให้ห่อหุ้มรอบประตูกระจกวารี
กระบวนการสร้างสมบัติในส่วนของการหลอมนั้นคล้ายคลึงกับการทำสมดุลพลังปราณ และโครงสร้างภายในสมบัติก็เพื่อทำสมดุลนั้นให้คงที่
กระบวนการย้อนกลับสมบัติก็คือการทำสิ่งตรงข้ามกัน ก้าวแรกคือการทำลายสมดุล เมื่อมันสำเร็จสมดุลจะพังทะลายลง หวังหลินเติมพลังปราณด้วยใบหน้าสงบนิ่งแต่สายตาจ้องไปบนประตูกระจกวารี
ทันใดนั้นใบหน้าหวังหลินเปลี่ยนไปขณะที่เส้นใยที่กำลังออกมาจากฝ่ามือเริ่มสั่นสะเทือนและวงแหวนแสงสว่างจ้าปรากฎขึ้นใจกลางประตูกระจกวารี วงแหวนนี้มีเสียงดังแกร๊กเล็ดลอดออกมาจนกระทั่งมันกระจายไปในที่สุด ขณะที่มันกระจายไปนั้นแสงสว่างขยายไปจนสุดขอบเจดีย์และหายไป
ประตูกระจกวารีเริ่มหมองลง หวังหลินรู้ได้ว่าสมดุลภายในของมันพังทะลายแล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือแยกส่วนวัตถุดิบกับแกนพลังที่เคยสร้างประตูในกระบวนการหลอม
ใบหน้าหวังหลินเคร่งเครียดขณะที่เขาถอนเส้นใยพลังปราณออกมาช้าๆ ขณะที่เส้นใยพลังปราณถูกถอนออกมาประตูกระจกวารีเริ่มสั่นและขอบเจดีย์เริ่มส่องแสง แสงสว่างถอนออกจากขอบเจดีย์อย่างช้าๆและกลายเป็นบอลแสง
มีเส้นใยบนบอลแสงนั้นนับไม่ถ้วนซึ่งเส้นใยทั้งหมดนั้นเชื่อมต่อกับฝ่ามือหวังหลิน เขาพลันตะโกนขึ้น “ถอนคืน!”
เมื่อหวังหลินดึงฝ่ามือตัวเองอย่างรวดเร็วพลันบอลแสงถูกดึงออกจากประตูทันทีและเส้นใยหายกลับเข้าไปในร่างเขา
หวังหลินมองบอลแสงด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า เขาสำเร็จขั้นที่สองของกระบวนการย้อนกลับแล้วซึ่งมันเป็นการแยกส่วนขั้นตอนการหลอม แกนพลังได้ถูกแยกออกจากวัตถุดิบอื่นของสมบัติ
หวังหลินสูดหายในลึกและมองกลับไปที่ทางเข้า เขาไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่เขาอยู่ที่นี่ แต่ประตูกระจกวารีพวกนี้ปิดบังสัมผัสวิญญาณและพลังปราณได้ ดังนั้นไม่ว่าเขาจะสร้างความวุ่นวายที่นี่แค่ไหนจะไม่มีใครข้างนอกสังเกตได้
นอกเหนือจากนั้นผู้อาวุโสใบหน้าแดงไม่เชื่อว่าหวังหลินจะสามารถทำลายประตูกระจกวารีด้วยระดับฝึกตนเพียงขั้นแกนลมปราณได้ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รออยู่ข้างใน
นี่จึงทำให้หวังหลินมีโอกาสแต่เขารู้ว่าต้องทำให้มันรวดเร็ว ไม่เช่นนั้นหากผู้อาวุโสเข้ามา ทุกอย่างที่เขาทำจะเปล่าประโยชน์
เมื่อคดเช่นนี้จึงนำเตาปฏิกรณ์ที่เขาสร้างขึ้นในหุบเขาซากศพที่สิบสี่ออกมา หวังหลินนำแกนพลังใส่เข้าไปด้วยความระมัดระวังและผนึกมัน จากนั้นเตาปฏิกรณ์เริ่มหมุนทันที มันหมุนช้าในคราแรกแต่จากนั้นมันก็เร็วขึ้นและเร็วขึ้น
หลังจากผนึกมัน หวังหลินจึงเดินเข้าหาประตู ประตูกระจกวารีนี้ถูกสร้างขึ้นมาสองส่วนนั่นคือส่วนแกนพลังและส่วนแกนอุปกรณ์ประตูศิลา
ตอนนี้เขาได้นำแกนพลังออกมา จึงเหลือเพียงสิ่งเดียวที่กีดกัดเขาไว้คือแกนอุปกรณ์ประตูศิลา
หวังหลินชูมือตัวเองขึ้นและกดไปบนประตู สัมผัสวิญญาณของเขาเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว หลังจากกวาดผ่านด้วยสัมผัสวิญญาณทำให้ใบหน้าหวังหลินเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดทันที
ภายในห้องศิลามีเพียงศพร่างหนึ่งที่มีพลังล่องหนปกป้องจากการเน่าเปื่อยไว้ ศพนั่งอยู่ตรงนั้นพร้อมกับชี้นิ้วไปบนพื้น ร่องรอยกลิ่นอายสีดำกำลังออกมาจากนิ้วไปบนพื้นดิน
สัมผัสวิญญาณของหวังหลินตรวจสอบภายในห้องอย่างละเอียดก่อนจะถอนกลับมา สิ่งที่หวังหลินเห็นทำให้เขาเริ่มลูบคางตัวเอง หวังหลินยื่นมือออกไปเบื้องหน้าเตาปฏิกรณ์ทำให้มันหยุดชะงักและแกนพลังลอยออกมา แกนพลังตอนนี้หม่นหมองกว่าครั้งก่อนหน้าเท่าตัว
หวังหลินมองมันหนึ่งคราก่อนที่จะโยนกลับเข้าไปเตาปฏิกรณ์ตามเดิม เตาปฏิกรณ์เริ่มหมุนอีกครั้งเมื่อแกนพลังอยู่ข้างใน สายตาหวังหลินตกไปบนห้องศิลาถัดไป หลังจากเปิดขึ้นมากกว่าสิบห้อง ท่าทางหวังหลินเริ่มแปลกใจมากขึ้นกว่าเดิม
“เจดีย์เทพสงครามกำลังทำบ้าอะไร? ที่แห่งนี้เป็นสุสานหรือ?” ทุกห้องศิลามีศพหนึ่งร่างและไม่มีอะไรอื่นอีก
หวังหลินมองรอบๆและเริ่มครุ่นคิด เขาเปิดประตูกระจกวารีอย่างรวดเร็ว ตรวจสอบข้างในและจากนั้นนำแกนพลังกลับคืนประตูกระจกวารีให้เป็นปกติ หลังจากตรวจสอบห้องเดี่ยวทุกห้องในที่สุดเขาก็พบว่ามีบางสิ่งผิดปกติ
ศพร่างหนึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าแตกต่างจากร่างอื่น แทนที่มันจะนั่งลงทว่ากำลังลอยบนอากาศ ควันสีดำกำลังออกมาจากผนังและเข้าไปในร่างกายพลันทำให้จิตใจหวังหลินบีบแน่นทันที
คนผู้นี้ไม่ได้ตาย มีสัญลักษณ์แห่งความตายบนร่างเขาและพลังชีวิตในร่างกายเขาทำให้ทุกคนตกใจได้
หวังหลินกำลังจะออกจากห้องแต่กลับสังเกตกระเป๋าผ้าไหมสีดำใต้ร่างกายนั้นได้ นี่เป็นกระเป๋าติดตัวชัดๆ สายตาหวังหลินขมวดขึ้น เมื่อครุ่นคิดสักพักจึงไม่ได้ทำอะไรผลีผลามแต่ถอนสัมผัสวิญญาณและถอยออกมาแทน
หลังออกมาจากห้องหวังหลินมองไปที่เตาปฏิกรณ์ มันหมุนช้าลงและแกนพลังได้ละลายกลายเป็นน้ำใสๆ หวังหลินยื่นมือเข้าไปหาน้ำนั้นโดยไม่ต้องคิดซ้ำสอง
พลันคว้ามันไว้ส่วนหนึ่งและปั้นมันกลับเป็นลูกบอลก่อนจะโยนกลับไปที่ประตูบานแรกที่เขาเปิด ประตูนั้นกลับเป็นเช่นเดิมทันที
หลังจากนั้นหวังหลินเผยใบหน้าลังเล กระเป๋าถือที่ปรากฎนั้นแตกต่างจากคนที่เขาเคยเห็นมาก่อน ทว่าที่นี่เป็นเจดีย์ของสำนักเทพสงคราม พวกเขายินยอมให้เข้ามาดูเส้นทางสวรรค์ ดังนั้นมันจึงยากที่จะได้รับอะไรบางอย่างจากที่นี่เช่นกัน
หากห้องศิลามีวัตถุดิบหลอมสมบัติเขาคงไม่ต้องคิดจะนำมันมา แต่มีเพียงห้องเดียวที่แตกต่างจากห้องอื่น
หลังจากไตร่ตรองเล็กน้อยในที่สุดหวังหลินก็เข้าใจบางอย่าง หรือว่าซากศพในห้องศิลาทั้งหมดนั้นความจริงแล้วใช้สำหรับฝึกฝนคนที่อยู่ในห้องผิดปกติห้องนั้น?
ขณะที่คิดเช่นนี้ความคิดของหวังหลินติดชะงัก ควันสีดำที่ออกมาจากร่างคนผู้นั้นเป็นเช่นเดียวกันกับควันสีดำที่เปล่งออกมาจากเหล่าซากศพ
ใบหน้าหวังหลินเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ตอนนี้เขาเดาได้ว่าความสงสัยนั้นถูกต้องไม่แปดส่วนก็เก้าส่วน คนผู้นั้นกำลังฝึกฝนวิชาบางอย่าง หวังหลินได้เปิดดูมากกว่าร้อยห้อง ซากศพข้างในพวกนั้นต้องเตรียมไว้ให้คนผู้นี้ใช้งานแน่
หวังหลินเริ่มสงสัยว่าคนผู้นี้ไม่ใช่สมาชิกของเจดีย์เทพสงคราม เป็นไปได้ว่าเจดีย์เทพสงครามกระทั่งไม่รู้จักเขาไม่เช่นนั้นผู้อาวุโสใบหน้าแดงคงไม่ทำตัวตามสบายแน่ และสิ่งสำคัญที่สุดเขาคงไม่ทิ้งหวังหลินไว้ที่นี่คนเดียว
แน่นอนว่ามีโอกาสที่ผู้อาวุโสใบหน้าแดงจะมีความประสงค์ร้าย แต่หลังจากคิดเรื่องนี้แล้วการตายของหวังหลินไม่ได้มีประโยชน์ต่อเจดีย์เทพสงครามเลยซึ่งไม่จำเป็นต้องให้มีปัญหาใด
ยิ่งเขาวิเคราะห์ก็ยิ่งคาดเดาได้มากขึ้น สถานที่แห่งนี้ต้องเป็นที่พักผ่อนของบรรพชนของเจดีย์เทพสงคราม ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้ดึงดูดความสนใจคนผู้นี้เพื่อฝึกฝนวิชาที่นี่
หวังหลินถอยไปหลายก้าว เขารู้สึกคลื่นความเย็นแล่นผ่านไปราวกับสายตาคู่หนึ่งจ้องเขามานานหลายวัน แต่สายตาหวังหลินหันกลับไปที่กระเป๋าถือ เขาปล่อยพลังปราณออกมาและกระบี่หยกปรากฎขึ้น
กระบี่เหินตัดไปบนประตูมุมขวาล่างและโผล่ออกมาเป็นหลุม หวังหลินกุมลมหายใจตัวเองไว้ ร่างกายเขาเครียดจัดขณะที่ใช้วิชาแรงโน้มถ่วงเพื่อนำกระเป๋าสีดำออกมาจากหลุม
หวังหลินไม่ได้มองมันขณะที่ถือกระเป๋าเทียบบนหน้าอกตัวเองและถอยกลับทันที ฝ่ามือเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อส่งแกนพลังกลับเข้าไปที่ประตู ในพริบตาประตูกลับเป็นปกติ ทว่าหลุมที่มุมขวาล่างนั้นมองเห็นไม่ชัดเจน
หวังหลินไม่ได้หยุดวิ่งก่อนที่เขาจะออกมาจากเจดีย์อย่างรวดเร็ว เมื่อเขาออกมาพลันเห็นผู้อาวุโสใบหน้าแดงกำลังฝึกฝนอยู่ข้างนอก ผู้อาวุโสมองไปที่หวังหลินและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสุขุม “เจ้าอยู่ข้างในเจ็ดวันเข้าใจอะไรไหม?”
หวังหลินส่ายศีรษะและยิ้มอย่างขมขื่น “วิถีฝึกเส้นทางสวรรค์นั้นแปลกมากเกินไป ข้าลืมมันทันทีหลังจากที่ข้าอ่านและไม่อาจเข้าใจมันได้ ผู้อาวุโส ผู้น้อยขอถามว่าห้องศิลาที่ถูกผนึกโดยกระตูกระจกวารีพวกนั้นแท้จริงคืออะไร? ท่านบอกข้าได้ไหม?”
ผู้อาวุโสใบหน้าแดงมองหวังหลินและพูดขึ้น “บรรพชนทั้งหมดของเจดีย์เทพสงครามต่างวางห้องศิลาไว้หนึ่งห้องหลังจากที่เขาตาย”
สีหน้าหวังหลินยังคงเป็นเหือนเดิมแต่จิตใจสั่นเทา ตอนนี้เขาแน่ใจได้แล้วว่าเขาเดาถูกต้อง หวังหลินคาระด้วยสองมือและพูดขึ้น “ผู้น้อยไม่ขอรบกวนท่านอีกต่อไป ลาก่อน!”
ผู้อาวุโสใบหน้าแดงพยักหน้าและเดินเข้าไปในเจดีย์ ขณะที่ผู้อาวุโสเดินเข้าไปในประตูกระจกวารี หวังหลินรีบเหาะเหินออกจากภูเขาอย่างรวดเร็ว
ในพริบตาเขาก็จากภูเขาของสมาพันธ์ฮัวเฝินมาและเห็นชายชรานั่งบนเมฆก้อนหนึ่ง ดวงตาเขาปิดขึ้นขณะที่หวังหลินเข้ามาใกล้ “หากเจ้าพักอยู่ในนั้นนานกว่านี้ข้าคงต้องเข้าไปหาเจ้าแล้ว”
หวังหลินเหาะไปโดยไม่พูดจา ชายชราเคลื่อนไหวร่างกายและก้อนเมฆแตกกระเจิงเผยออกเป็นน้ำเต้าใต้ฝ่าเท้าเขา เขาเคลื่อนตัวติดตามด้านหลังหวังหลินอย่างรวดเร็ว
หวังหลินก้าวไปบนน้ำเต้าและหายไปในท้องฟ้าพร้อมกับชายชรา
ความเร็วของน้ำเต้านั้นเร็วมาก มันเร็วกว่าวิชาหลบหนีปฐพีของหวังหลินเสียอีก พวกเขาค่อยๆเห็นขอบชายแดนซวนหวู่และฮัวเฝินเข้ามาในระยะสายตา
ระหว่างทางทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกัน หวังหลินรู้สึกถึงกระเป๋าถือในเสื้อผ้าได้แต่ไม่ได้ตรวจสอบว่ามันมีอะไรบ้างอยู่ข้างในและเขายังไม่ได้ใช้สัมผัสวิญญาณเพื่อตรวจสอบมัน
นอกจากนั้นชายชราที่อยู่ถัดจากเขา หากหวังหลินเคลื่อนไหวผิดปกติอาจจะมีปัญหามากขึ้น
ภายในเวลาไม่นานน้ำเต้าก็มาถึงชายแดนซวนหวู่และข้ามผ่านฮัวเฝิน หนึ่งวันผ่านไปเขาก็มาถึงขอบทะเลปิศาจ ตอนนี้ทะลปิศาจปกคลุมไปด้วยหมอกหนาหลายชั้นม้วนราวกับตาพายุ บางครั้งยังสามารถเห็นอสูรวิญญาณปรากฎตัวขึ้นและหายไปในสายหมอก
ภายนอกทะเลปิศาจ ชายชราแตะน้ำเต้าทำให้มันหดตัวลงกลับไปบนฝ่ามือ หวังหลินกระโดดออกจากน้ำเต้าและร่อนไปบนพื้น ชายชราเก็บน้ำเต้ากลับไปและพูดขึ้น “เราจะรออยู่ที่นี่สองถึงสามวันเพื่อรอคนเพิ่มอีกคน เมื่อเขามาถึง เราสามคนจะเข้าไปด้วยกัน”
สิ้นคำเขานั่งลงในท่านั่งดอกบัวและหลับตา
หวังหลินจ้องไปที่ทะเลปิศาจ ชั้นหมอกหนาม้วนกันด้านหน้าเขาส่งคลื่นพลังความเย็นออกมา หวังหลินครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงฝึกฝน
ไม่นานนักเวลาได้ผ่านไปในที่สุดหวังหลินลืมตาขึ้น ฉากเหตุการณ์อันลึกลับเกิดขึ้นเหนือทะเลปิศาจ ลำแสงสีม่วงแปดเส้นปรากฎขึ้นบนอากาศบางๆ แต่ละเส้นแสงควบแน่นกลายเป็นเสาไม้หนึ่งต้น รวมทั้งหมดเป็นแปดเสา เสาทุกต้นขวางกันสร้างเป็นค่ายกลรูปวงกลม ความผันผวนพลังปราณที่ออกมาจากมันมีพลังแข็งแกร่งจนหมอกรอบๆมันทั้งหมดถูกผลักออกไปเผยเป็นอ่างน้ำวนด้านล่าง
เสาไม้ทั้งแปดมีสัญลักษณ์แปลกประหลาดหลายชิ้นและรูปภาพสลักบนนั้นทำให้มันดูน่าตกใจ มีลำแสงเชื่อมต่อกันสร้างเป็นวงแหวนด้านในเสาไม้แปดต้น หากมองใกล้ๆมันจะมีทั้งหมด 49 วง
ชายชราลืมตาขึ้นปล่อยลมหายใจ “นั่นคือค่ายกลเคลื่อนย้ายแบบพิเศษจากสำนักซากศพ ข้างสัยว่าเจ้าประหลาดพวกนั้นกล้ามาทำอะไรที่นี่”
หวังหลินคุ้นเคยอย่างมากกับสำนักซากศพ แม้กระทั่งค่ายกลแห่งนี้ยังดูคุ้นตาซึ่งดูเหมือนกันกับที่เขาเคยเจอในแคว้นจ้าวเพียงแต่มันมีขนาดใหญ่กว่าหลายเท่า
ขณะเดียวกันวงแหวนเริ่มส่องสว่างขึ้นทีละวงจนครบทั้งสี่สิบเก้าวง ร่างสีดำทะมึนมากกว่าสามสิบร่างปรากฎขึ้น แม้ว่าพลังปราณของแต่ละคนจะไม่เสถียรเล็กน้อย ดวงตาทุกคนเต็มไปด้วยแสงอันน่ากลัว อย่างน้อยในคนพวกนั้นอยู่ขั้นแกนลมปราณ และมีห้าคนที่อยู่ขั้นวิญญาณแรกกำเนิด
นอกจากคนห้าคนที่อยู่ขั้นวิญญาณแรกกำเนิดแล้วคนอื่นๆต่างมีโลงศพสีดำลอยอยู่ด้านหลัง
จ้าวชวนเหลียงเป็นหนึ่งในเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิด เขายืนตรงกลางค่ายด้วยขณะที่สายตาหยุดบนชายชราชั่วขณะก่อนที่จะหันสายตาไปที่หวังหลิน
เขาลังเลชั่วครู่ก่อนจะยื่นมือออกมา มันเป็นควันเมฆสีดำยักษ์พุ่งเข้าหาหวังหลิน
หวังหลินเย้ยหยันแทนที่จะหลบหลีก เขานั่งอยู่กับที่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อที่ควันสีดำเข้ามาใกล้หวังหลินพลันรู้สึกได้ถึงอากาศเย็นๆที่กำลังเข้ามา เมื่อมันกำลังจะแตะตัวหวังหลินใบหน้าชายชรามืดหม่นและสะบัดแขนขวาทันที ควันสีดำหายควับไปโดยไร้ร่องรอย