1780. เพียงพลิกฝ่ามือก็กลับตาลปัตร
สายฝนเทกระหน่ำลงมา เสียงร้องดังรุนแรงยิ่งกว่าเดิม ทว่าก้านธูปทั้งเก้ายัง เผาไหม้และไม่มีทีท่าว่าจะมอดดับ ควันลอยฉุยขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าสายฝนจะตกลงมาเร็วแค่ไหนก็ไม่สามารถทำให้ควันหายไปได้
ควันผสานกับสายฝนกลายเป็นภาพอันงดงามดุจความฝัน
ยามสายฝนพรำ ร่มคันหนึ่งกางขึ้นเหนือศีรษะหวังหลิน เป็นชายหนุ่มที่ติดตามหวังหลินมา เขามีท่าทีอึดอัดและตัดสินใจจะถือร่มโดยไม่มองหวังหลิน
ด้านลานกว้างมีเซียนเกือบร้อยคนและทั้งหมดมองเข้ามา กลุ่มหนึ่งนำโดย ชายหนุ่มชุดดำต่างขมวดคิ้ว พอได้ยินเสียงระฆังดังสามครั้งจึงพลันจะตะโกนไป
ควันที่ลอยอยู่ในอากาศเกิดการบิดเบือนและรวมตัวกันเป็นวังวน มันผลักสายฝนออกไปและมีร่างพร่าเลือนผู้หนึ่งปรากฏในวังวน
ร่างนั้นก้าวเดินออกมาและยืนในท้องฟ้า!
“ยินดีต้อนรับกลับจากการปิดด่านบ่มเพาะ ท่านอาจารย์!” เสียงเหล่าเซียนรอบด้านเกือบร้อยคนพลันคำนับฝ่ามือให้กับร่างนั้น
เขาเป็นชายวัยกลางคนผู้มีเรือนผมสยายพาดบนบ่า ไม่ได้หล่อเหลาแต่มีกลิ่นอายแปลกประหลาด
ขณะที่ยืนอยู่บนท้องฟ้า สายตากวาดผ่านศิษย์ด้านล่าง เมื่อได้เห็นหวังหลินและชายหนุ่มที่ถือร่มด้านหลัง จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว แต่ไม่นานก็ยิ้มออกมา
“ซูต้าว โจวลี่ เจ้าสองคนตามอาจารย์ไปที่ห้องโถง คนที่เหลือไปได้แล้ว” ชายวัยกลางคนเอ่ยอย่างอ่อนโยน ก้าวเท้าออกไปและเดินเข้าสู่ห้องโถง
ชายหนุ่มชุดดำผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มนั้นต้องการกล่าวหาหวังหลิน เขาพยักหน้าด้วยความเคร่งเครียด หันไปมองหวังหลินและเดินเข้าห้องโถง
หวังหลินมีสีหน้าสงบนิ่ง ในความทรงจำที่เขาได้รับมาจากวิญญาณดวงที่สาม อาจารย์ของเขาเป็นคนดีมาก ถ้าไม่ใช่เพราะมักจะปิดด่านบ่มเพาะอยู่ตลอดเวลา เขาคงไม่โดนการปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมในสำนัก
ช่วงต้นการบ่มเพาะ นิสัยของราชันย์เทพสีรุ้งนั้นเป็นคนขี้ขลาดและไม่มีวันพูดเรื่องพวกนี้เลย
ส่วนโจวลี่นั้นเขาเป็นศิษย์พี่ของราชันย์เทพสีรุ้งซึ่งเป็นคนมีพรสวรรค์อย่างมาก มองผิวเผินแล้วเขาเป็นคนสุภาพ แต่ความจริงเขารู้สึกดูถูกราชันย์เทพสีรุ้ง เขาไม่สนคนอื่นและเอาแต่กลั่นแกล้งราชันย์เทพสีรุ้ง
หวังหลินก้าวผ่านสายฝนเข้าไปในห้องโถงภายใต้สายตาอิจฉาของทุกคน ภายในห้องโถงนั้นชายวัยกลางคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ โจวลี่กำลังยืนอยู่ข้างๆ ด้วยความเคารพ
“อาจารย์ไม่อยากละการปิดด่านบ่มเพาะไปนาน หลังจากจัดการเรื่องราวแล้วจะกลับไปปิดด่านบ่มเพาะต่อ” ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นช้าๆ สายตากวาดผ่านโจวลี่และหวังหลินไปก่อนจะขบคิดเงียบๆ
หวังหลินเคยเห็นเรื่องนี้ในความทรงจำของวิญญาณดวงที่สามแล้ว เขารู้ว่าหลังจากอาจารย์ของซูต้าวบอกเล่าเรื่องบางอย่าง เขาอยากจะสอนเคล็ดวิชาให้ซูต้าวและโจวลี่
มันคือหนึ่งในสามเคล็ดวิชาที่ทรงพลังที่สุดของสำนักตงหลิง กล่าวถึงเคล็ด สวรรค์เต๋าเมฆา หากสามารถบรรลุระดับสูงสุดของเคล็ดนี้ได้ จะสามารถเรียนรู้ แก่นแท้จากมันได้เช่นกัน
เคล็ดพื้นฐานนั้นมีเพียงสั้นๆ แต่ลึกลับ ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถบ่มเพาะได้ เมื่อใช้เคล็ดพื้นฐานของมันจะเกิดก้อนเมฆขึ้นมา หากก้อนเมฆเบาบางนั่นหมายความว่า คนผู้นั้นไม่เหมาะสำหรับการฝึกวิชา หากก้อนเมฆหนาแน่นและมีเงาปรากฏขึ้น มาด้วย นั่นแปลว่าเหมาะสมที่สุด นอกจากนี้เวลาที่ใช้ก่อร่างมันขึ้นมาก็นับรวมเป็นการทดสอบ ตลอดหลายพันหลายหมื่นปีที่ผ่านมาในสำนักตงหลิน คนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมใช้เวลาเร็วที่สุดเพียงเจ็ดลมหายใจ ส่วนที่ช้าที่สุดใช้เวลาหลายชั่วโมง
ตอนที่ราชันย์เทพสีรุ้งกำลังเรียนรู้เคล็ดวิชานี้ เขาหวาดกลัวสายตาเยือกเย็นของโจวลี่และเกิดอาการลังเล ความเร็วของเขาจึงตกลงและใช้เวลายี่สิบลมหายใจเพื่อโคจรได้หนึ่งรอบ
ส่วนโจวลี่โคจรสำเร็จภายในสิบเอ็ดลมหายใจ
เนื่องด้วยสายตาเยือกเย็นของโจวลี่ เขาจึงไม่มีสมาธิและไม่สามารถสร้างก้อนเมฆได้มากนักและทำให้โจวลี่เหนือกว่า จากนั้นมีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นภายในก้อนเมฆของโจวลี่และกลืนกินก้อนเมฆของซูต้าวไปหมด
อาจารย์ได้เห็นดังนั้นจึงถอนหายใจ เขาจึงไม่สอนหนึ่งในสามสุดยอดเคล็ดวิชาของสำนักตงหลินให้ซูต้าวแต่สอนเคล็ดเทพสีรุ้งให้ซึ่งมีระดับต่ำกว่า
หวังหลินรู้เรื่องนี้จากความทรงจำที่ได้มาและดูเหมือนว่ามันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
วันนี้ฉากเหตุการณ์ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง หวังหลินยืนนิ่งและขบคิดเงียบๆ ไม่รู้ว่าควรจะคล้อยไปตามความทรงจำและเจอเหตุการณ์เดียวกันกับราชันย์เทพสีรุ้ง เมื่อตอนนั้นหรือเปลี่ยนทิศทางในความทรงจำและเจอเรื่องราวอย่างอื่น
ตามทฤษฎีแล้วเขาควรทำไปตามความทรงจำของราชันย์เทพสีรุ้งเพื่อให้สามารถผสานกับวิญญาณดวงที่สามได้มากขึ้น ในที่สุดเขาอาจจะผสานได้มากพอจนรู้ว่า ประตูของจริงอยู่ที่ไหน
แต่เขาไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นตามที่คิดหรือไม่ อีกทั้งหวังหลินก็ไม่ต้องการผสานเข้ากับวิญญาณดวงที่สามอย่างจริงจัง หากเขาทำแบบนั้นเซี่ยฉิงจะไม่ตื่นขึ้นอีกเลย ชั่วจังหวะที่หวังหลินผสานกับวิญญาณดวงที่สามอย่างสมบูรณ์ เซี่ยฉิงจะหายไปและหวังหลินจะกลายเป็นราชันย์เทพสีรุ้งคนใหม่
ซึ่งหวังหลินไม่ยอมทำแบบนี้แน่นอน!
“…เคล็ดวิชานี้คือหนึ่งในสามวิชาที่ทรงพลังที่สุดของสำนักตงหลิน มันเรียกว่าเคล็ดสวรรค์เต๋าเมฆา ระดับบ่มเพาะของพวกเจ้าไม่ได้สูงมากพอที่จะเรียนรู้มัน ดังนั้นจึงต้องเรียนรู้เคล็ดพื้นฐานก่อน อย่างไรก็ตามมันมีข้อห้ามในการเรียนรู้เคล็ดวิชานี้ มีเพียงคนเดียวในแต่ละรุ่นเท่านั้นที่จะเรียนได้ วันนี้ข้าได้เลือกเจ้าสองคนออกมาเพื่อหาว่าใครจะเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดในการเรียนรู้…” ชายวัยกลางคนเอ่ยเสียงดังกึกก้อง เขาเริ่มพูดถึงวิธีการเลือกรวมถึงความหนาแน่นของก้อนเมฆและเวลาในการสร้างหนึ่งรอบ
โจวลี่ก้มศีรษะลง สายตาเต็มไปด้วยความปรารถนา
“เต๋าแห่งสวรรค์ได้รับความเสียหายและใช้เวลาซ่อมแซมนาน…” ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นช้าๆ จากนั้นสอนเคล็ดพื้นฐาน สะบัดแขนขวาให้ก้อนเมฆสองก้อนลอยออกมาเข้าสู่ร่างของหวังหลินและโจวลี่
“ก้อนเมฆเข้าสู่ร่างพวกเจ้าแล้ว ทั้งสองจงนั่งลงและโคจรก้อนเมฆให้รวดเร็วที่สุด คนที่สำเร็จเป็นคนแรกจะได้เปรียบ! ระหว่างกระบวนการนี้พวกเจ้าสองคนต้องเพ่งสมาธิและห้ามถูกความคิดภายนอกรบกวน!” ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นมา โจวลี่นั่งลงทันที
หวังหลินนั่งลงเช่นกัน ขณะที่เขากำลังโคจรก้อนเมฆในร่างกาย โจวลี่มองมาที่หวังหลิน สายตาข่มขู่และน่ากลัว
ชายวัยกลางคนเห็นแบบนี้จึงขมวดคิ้ว เขาไม่ได้พูดอะไรแต่มองหวังหลินแทน
หวังหลินถอนหายใจอยู่ในใจ สายตานี้ทำให้ซูต้าวในอดีตต้องพ่ายแพ้ ทว่าวันนี้เขาไม่ใช่ซูต้าวแต่เป็นหวังหลิน ขณะที่สายตาของโจวลี่กวาดผ่านเข้ามา หวังหลินสายตาเย็นเยียบและมองไปที่โจวลี่โดยไม่ได้ตั้งใจนัก
สายตานี้ทำให้โจวลี่สั่นสะท้าน เขาสัมผัสจิตสังหารจากสายตาหวังหลินได้ชัดเจนจนความคิดสั่นไหว
ตอนนี้หวังหลินหลับตาไปแล้ว พลังก้อนเมฆหนุนนำพร้อมกับโคจรในร่าง อย่างรวดเร็ว ส่วนโจวลี่เองก็รีบหลับตาลงเช่นกัน
หนึ่งลมหายใจ สองลมหายใจ สามลมหายใจ…
ขณะที่ลมหายใจที่แปดผ่านเข้ามา ก้อนเมฆจำนวนมากแผ่กระจายออกมาจากร่างหวังหลิน ชายวัยกลางคนดวงตาลุกวาวและยืนขึ้นทันที
ก้อนเมฆรอบตัวหวังหลินหนาแน่นมากจนกระทั่งปกคลุมเกือบทั้งห้องโถง ก้อนเมฆปั่นป่วนและมีเสียงคำรามเบาบางดังออกมาจากข้างใน
พอถึงลมหายใจที่สิบสอง โจวลี่จึงสามารถโคจรพลังเพื่อสร้างก้อนเมฆออกมา ได้บางส่วน แต่เมื่อเทียบกับหวังหลินตอนนี้มันช่างเล็กน้อยเกินไป
วินาทีที่ก้อนเมฆโผล่ออกมาจากร่างเขา ก้อนเมฆจากร่างหวังหลินกลับปั่นป่วนและกลายเป็นเศียรมังกร!
เศียรมังกรดุดัน ดวงตาอาฆาตหมายจะกลืนกินโจวลี่ ก้อนเมฆรอบโจวลี่พลันถูกมังกรดูดซับอย่างรวดเร็ว เขากระอักโลหิตและดูอ่อนแอ
ความทรงจำได้เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อมันกลับตาลปัตร ห้องโถงจึงเกิดการบิดเบือน ชายวัยกลางคนมองหวังหลินโดยที่ไม่สนใจโจวลี่อย่างสิ้นเชิง ร่างกายเขาเริ่มบิดเบือนไปด้วย
ขณะเดียวกันในลานกว้างด้านนอก รวมถึงภูเขา เทือกเขาและสำนักตงหลินต่างก็เริ่มบิดเบือน ราวกับโลกนี้กำลังแตกสลาย
ฉากเหตุการณ์ดูน่าตกตะลึงเนื่องจากความทรงจำได้เปลี่ยนไป!
“เยี่ยมมากซูต้าว! เจ้าเป็นคนที่สองรองจากยุคของอาจารย์ที่มีคุณสมบัติในการเรียนเคล็ดสวรรค์เต๋าเมฆา!” ชายวัยกลางคนหัวเราะพลางร่างเขาเริ่มจะบิดเบือน เขามองโจวลี่ที่ดูหวาดกลัวและเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“โจวลี่ ถึงแม้เจ้าจะไม่มีคุณสมบัติในการเรียนเคล็ดสวรรค์เต๋าเมฆา อาจารย์จะสอนเคล็ดเทพสีรุ้งให้เจ้า!”
เมื่อคำพูดของชายวัยกลางคนดังกึกก้อง ความเจ็บปวดฉีกกระชากขึ้นมาในใจหวังหลินราวกับทุกอย่างกำลังพังทลาย กลิ่นอายของประตูแปดบานพลัน ปรากฏขึ้นมาแต่ก็หายไปอย่างรวดเร็ว ต่อจากนั้นการบิดเบือนก็ค่อยๆ หายไปและกลับคืนสู่ปกติ ทว่าในใจหวังหลินเกิดระลอกคลื่นขนาดใหญ่ขึ้น!
‘ข้าเข้าใจแล้ว! เปลี่ยนแปลงความทรงจำของราชันย์เทพสีรุ้งเพื่อสร้างการขัดแย้ง ชั่วจังหวะที่สับสนจะทำให้ข้าสัมผัสได้ถึงประตูทั้งแปด! ยิ่งสร้างความขัดแย้งและ เกิดความสับสน ยิ่งรู้สึกได้ชัดเจน ข้าสามารถใช้มันเพื่อหาประตูบานจริงได้!’
‘นี่คือวิธีของข้า! เปลี่ยนแปลงความทรงจำของราชันย์เทพสีรุ้ง!’
“ซูต้าว เจ้าต้องใช้เวลาไปกับการฝึกฝนวิชานี้ ในอีกห้าเดือนจะมีการแข่งขันภายในสำนักตงหลิน สิบอันดับแรกจะได้เข้าไปยังบ่อน้ำตงหลิน หากเจ้าเข้าไปได้ อนาคตความสำเร็จของเจ้าจะมิอาจวัดได้!”
ทุกสิ่งทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว
หวังหลินพลันเงยหน้าขึ้นไปมอง