192. คาดไม่ถึง
เขาชำเลืองมองหวังหลินจากนั้นลอยเข้าไปในรอยแยก หวังหลินยืนเงียบๆและเข้าไปในรอยแยกเช่นเดียวกัน
เบื้องหลังเขาเป็นเซียนมารทั้งหมดที่ติดตามมาเป็นพรวน
แต่ตอนที่พวกเขากำลังจะเข้าไป มันเริ่มปิดตัวทันที ในพริบตารอยแยกหายไปโดยไร้ร่องรอย นอกจากหวังหลินและตั่วมู่ ไม่มีใครได้เข้าไป
ขณะที่รอยแยกพับลง สิ่งปรากฎเบื้องหน้าหวังหลินไม่ใช่ทะเลโลหิตอย่างที่คาด แต่เป็นพื้นที่แห่งหนึ่งที่มีแสงสีม่วงเข้มส่องสว่าง
พื้นที่แห่งนี้ไม่ใหญ่มาก แต่ละทิศทางเพียงหนึ่งร้อยฟุตเท่านั้น ในทั้งสี่มุมมีเครื่องมือรูปร่างประหลาดลอยอยู่ คลื่นแสงอ่อนๆเปล่งออกจากพวกมัน
ถัดจากเครื่องมือมีเซียนคนหนึ่งนั่งอยู่ แต่ละคนกำลังฝึกฝนถัดจากเครื่องมือนั้น พวกเขาต่างดูเหมือนตั่วมู่ที่รักษาร่างมนุษย์ตัวเองไว้และไม่ได้เปลี่ยนเป็นมาร หวังหลินตรวจสอบทั่วบริเวณและนับได้ทั้งหมดเก้าคนที่ฝึกฝนอยู่ในห้อง
เมื่อคนทั้งสองเข้ามา เหล่าเซียนทั้งหมดลืมตาขึ้นทีละคน พวกเขากระตุ้นหลายวิชาบนแต่ละเครื่องมือจนทำให้แสงสีม่วงเรืองรองออกมา
ตั่วมู่หันกลับมาพร้อมกับจับจ้องไปที่หวังหลินตาไม่กระพริบ
หวังหลินก้าวถอยหลังเล็กน้อย รูม่านตาพลันแคบลง เขามือขวาใกล้กับกระเป๋าขณะที่จ้องบุคคลเบื้องหน้า เรื่องนี้แตกต่างกับสิ่งที่เขาคาดคิดอย่างมาก
หนึ่งในเซียนเก้าคนพวกนั้นพูดขึ้น “ตั่วมู่ เราไม่ยันไว้ได้นาน เต็มที่ได้สามชั่วโมง รีบอธิบายทุกอย่างเร็ว”
แสงสีทองพุ่งออกมาจากดวงตาตั่วมู่ขณะที่เขาจ้องหวังหลิน “หนุ่มน้อย เจ้าทำการหายตัวไปแล้ว ทำไมถึงปรากฎตัวอีกครั้งเล่า?”
หวังหลินขมวดคิ้ว เขาจ้องไปที่ตั่วมู่ ขณะที่กำลังจะพูด ฝ่ามือขวาสร้างเป็นผนึกชิ้นหนึ่ง ฝ่ามือซ้ายกวาดด้านหน้าโดยใช้วิชาสวรรค์ที่เรียนมาจากกลยุทธ์เทพโบราณ มันทำให้เขาไปที่ไหนก็ได้ในร่างเทพโบราณนี้
จังหวะที่รอยแยกปรากฎเบื้องหน้าหวังหลิน แสงสีม่วงพุ่งออกมาจากหนึ่งในเครื่องมือและทำลายมันทันที
ใบหน้าตั่วมู่สงบนิ่ง ไม่มีอารมณ์ใด
จิตใจหวังหลินต่ำลง เขาจ้องตั่วมู่และพูดช้าๆ “เพื่อออกจากดินแดนของเทพโบราณ”
เซียนร่างสูงใบหน้าแดงพูดขึ้นพร้อมขมวดคิ้ว “ตั่วมู่เจ้ามักจะพูดชัดช้าเกินไป เด็กน้อยให้ข้าบอกเจ้าเถอะ ก่อนที่ผนึกของต้าเสินจะลบไป ทุกคนที่อยู่ที่นี่จะตาย เขาเป็นเพียงคนเดียวที่จะหนีรอด”
“ก่อนหน้านี้ พวกเราทั้งสิบเอ็ดคนมาถึงบนดาวเคราะห์ป่าเถื่อนแห่งนี้ เดิมทีพวกราวางแผนจะตั้งรกรากที่นี่แต่ไม่คาดคิดว่าจะพบเจอสถานที่ที่มีพลังปราณของเทพโบราณ หลังจากข้าตรวจสอบเล็กน้อย ข้าพบกับเซียนคนหนึ่งนามว่าต้าเสินที่อยู่ภายนอกร่างเทพโบราณ ระดับฝึกฝนของเขาแข็งแกร่งมาก แม้พวกเราจะร่วมมือกันต่อสู้ก็ไม่สามารถเปรียบกับเขาได้” ชายชราผมแดงพูดเสียงดังขึ้น เขาพูดอย่างรวดเร็วและในทันทีที่พูดจบ เซียนคนอื่นยกศีรษะขึ้นและพูดอย่างโศกเศร้า
“ต้าเสินคนนี้ไม่ได้สังหารพวกเรา แต่ชวนให้เข้ามาดินแดนเทพโบราณแห่งนี้ คนผู้นี้เข้าใจดินแดนเทพโบราณดีมาก เขาควบคุมดินแดนทั้งสามแห่งได้อย่างสมบูรณ์ เขาอยู่ที่ดินแดนเทพโบราณแห่งนี้มานานมาก แต่เรื่องเศร้าก็คือเขาถูกป้องกันจากประตูในด่านสุดท้าย”
“เขาชวนเราให้ช่วยทะลวงด่านสุดท้าย แม้ว่าโอกาสการสืบทอดจะต่ำมาก แต่สิ่งยั่วยวนมีมากเกินไป แม้ว่าเราจะไม่สามารถเอาชนะเขาได้ แต่เรารู้จักค่ายกลหนึ่งที่เมื่อเปิดใช้งานจะสามารถเอาชนะได้แม้กระทั่งเขา แต่เพียงหลังจากใช้ค่ายกลนี้พวกเราจะสูญเสียระดับฝึกตนไปจำนวนมาก”
“คนผู้นั้นได้วางแผนการเดินทางเข้าสู่ร่างเทพโบราณในส่วนลึก แต่พวกเราไม่ใช่คนที่จะถูกชักจูงได้ง่ายๆ เราเตรียมตัวพร้อมสำหรับเขาในที่สุดก็ผ่านด่านสุดท้าย แต่เรื่องทั้งหมดดูประหลาดเกินไป ในด่านสุดท้ายเป็นผนึกชิ้นหนึ่งและพลังของมันมหาศาล มันทำให้เราใช้เวลานานมากเพื่อผ่านเข้าไป ดูเหมือนเทพโบราณจะใช้มันผนึกบางสิ่งบางอย่างออกไป หากไม่ใช่ว่าคนผู้นั้นเข้าใจผนึกได้อย่างดี แม้เราจะมีวิธีทำลายผนึกก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถทำลายได้ หลังจากผนึกถูกทำลาย เราเพียงบอกได้ว่าคนชื่อต้าเสินเปลี่ยนไป บอกไม่ได้ว่าเปลี่ยนไปตรงไหน”
“เราเข้ามาในร่างเทพโบราณได้สำเร็จ เทพโบราณตู่ซือเป็นอัจฉริยะของจริง เขาทิ้งมรดกไว้เบื้องหลังจริงๆ ในทะเลปราณเราได้เห็นมรดกแห่งอำนาจ แต่ก่อนที่เราจะได้ต่อสู้เพื่อแย่งชิง มันกลับหายไปต่อหน้าต่อตา และต้าเสินเป็นคนเอาไป”
“หลังจากมันได้รับการสืบทอดของอำนาจพลังเทพโบราณ มันเริ่มหัวเราะอย่างบ้าคลั่งทันที แต่ในเวลาเดียวกันภายในทะเลปราณ ยักษ์ตนหนึ่งปรากฎตัวขึ้นและเริ่มต่อสู้กับเขา จากนั้นเกิดสิ่งประหลาดมากขึ้น คนผู้นั้นรู้จักวิชาของยักษ์ทั้งหมด ในตอนท้ายยักษ์ตนนั้นพ่ายแพ้และแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งสร้างทะเลวิญญาณมรณะและอีกส่วนเป็นวิชาสวรรค์ที่แข็งแกร่งมาก”
“มันเห็นได้ชัดว่าพบเจอกับวิชาที่ไม่คุ้นเคย ข้าจดจำที่มันพูดได้ ‘ข้ารู้ทุกสิ่งที่เจ้ารู้’ แต่วิชาสวรรค์นี้เห็นได้ชัดว่ามันไม่รู้จัก วิญญาณของเทพโบราณแบ่งออกเป็นหมื่นชิ้นและเข้าไปในร่างชายคนนั้นสร้างเป็นผนึกนับพันบนร่างก่อนจะขังเขาไว้ในทะเลโลหิต ”
“เราคิดว่าทุกสิ่งจบแล้วและไม่กล้าพักอยู่นาน ดังนั้นเราทั้งหมดจึงออกอย่างรวดเร็ว แต่ฝันร้ายมันพึ่งเริ่มต้น พวกเราเพียงคนเดียวในสิบเอ็ดคนที่สามารถออกจากสถานที่แห่งนี้ได้สำเร็จ เราที่เหลือถูกจับไว้ด้วยฝ่ามือมารที่ออกมาจากรอยแยกซึ่งพาเราเข้าไปในทะเลโลหิต”
“ต้าเสินหน้ากลัวมาก เขาคิดหาทางทำลายผนึกพันแห่งบนร่างกาย แต่ละผนึกโดยพื้นฐานเป็นเสี้ยววิญญาณของเทพโบราณตู่ซือ เขาบังคับพวกมันบางส่วนออกมาและใส่เข้ากับพวกเรา”
“ทุกๆหนึ่งพันปีจะมีเหล่าเซียนน้อยคนที่มาถึงที่นี่ เหล่าเซียนถูกเขาจับกุมทั้งหมดและถูกผนึกบางส่วนฝังไว้ แม้จะมีหลายคนเข้ามาด้วยกันมากขึ้น เขามักจะให้คนหนึ่งโชคดีหนีออกไปได้เสมอ เพื่อให้คนเข้ามามากขึ้นในอนาคต”
“ยิ่งมีเซียนเข้ามามากขึ้น ผนึกบนร่างต้าเสินยิ่งลดลง เรื่องดีก็คือเหล่าเซียนในยุคหลังแตกต่างจากเรา ระดับฝึกฝนของพวกเขาต่ำมาก ดังนั้นจึงไม่สามารถรวมกับเสี้ยววิญญาณเทพโบราณได้ เซียนหลายคนสามารถรองรับผนึกได้ชิ้นเดียวบนร่าง ดังนั้นกระบวนการลบผนึกของต้าเสินจึงช้าลง”
“แต่เขาเป็นอัฉริยะของจริง หลังจากที่เห็นว่าวิธีนี้ช้าลงจึงมีอีกความคิดหนึ่งก็คือ วิญญาณกลืนกิน!”
“ก่อนหน้านี้ เราไม่รู้กระทั่งว่าสิ่งมีชีวิตแบบวิญญาณกลืนกินคืออะไร แต่ต้าเสินดูเหมือนจะรู้ เขาส่งเซียนมารอย่างเราเพื่อออกไปจับวิญญาณกลืนกินตนหนึ่งให้กลืนกินเสี้ยววิญญาณในร่างกายเขา”
“วิธีนี้มีประสิทธิภาพมาก แต่หลังจากวิญญาณกลืนกินได้กลืนไปจำนวนหนึ่ง มันต้องการจะหลับ เป็นผลให้ความปรารถนาของต้าเสินไม่สำเร็จ จึงผุดความคิดใหม่คือการยกระดับวิญญาณกลืนกินของตนเอง ดังนั้นจึงช่วยท่านซื่อเจี๋ยที่เป็นวิญญาณเร่ร่อนให้เติบโตกลายเป็นวิญญาณกลืนกิน”
“เดิมทีการที่ท่านซื่อเจี๋ยกลายเป็นวิญญาณกลืนกินได้มันจะใช้เวลายาวนานมาก แต่ตอนนี้เจ้าปรากฎขึ้น ทุกสิ่งจึงเปลี่ยนไป”
ทั้งสิบคน แต่ละคนนอกจากชายชราใบหน้าเหี่ยวย่นที่ดูเหมือนจะพึ่งคลานออกจากหลุมศพต่างเล่าเรื่องราวพวกนั้น สิ่งนี้ทำให้หวังหลินประหลาดใจมาก แต่เขาไม่ได้เชื่อไปทั้งหมด
“ยังมีจุดสำคัญจุดหนึ่งที่พวกเรายังสงสัย ตัวตนของต้าเสินคือใคร ทำไมเขาถึงคุ้นเคยกับร่างเทพโบราณ หลังจากสังเกตเขามานานหลายปี เราเดาได้ว่าต้าเสินไม่ได้เป็นมนุษย์เหมือนกับเรา แต่เป็นร่างมารร้ายจากร่างกายเทพโบราณที่ตายอย่างไม่พอใจ” ประโยคสุดท้ายตั่วมู่เป็นคนพูด ท่าทางของเขาสงบนิ่ง
หากหวังหลินได้รับการมรดกภูมิปัญญาอย่างสมบูรณ์ เขาจะรู้ได้ว่าทั้งหมดนี้จริงหรือโกหก แต่ตอนนี้หลังจากฟังความคิดอันน่ากลัว จึงช่วยไม่ได้ที่เขาจะเปลี่ยนสีหน้า
“สิ่งเดียวที่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมเขาถึงชวนเราเข้าไปในร่างเทพโบราณเมื่อตอนนั้น เขาต้องเป็นคนที่คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ และทำไมเราถึงรู้สึกได้ว่าเขาเปลี่ยนไปหลังจากเราทำลายผนึกแตกไป เห็นได้ชัดว่าผนึกนั้นสำหรับเหล่าเซียนเอาไว้ผนึกมารร้ายตอนที่มันเข้าสู่ร่างกาย สิ่งนี้จึงอธิบายได้ว่าทำไมวิชาทั้งหมดที่ยักษ์ตนนั้นใช้ออกมาแต่ต้าเสินรู้จักทั้งหมด นอกจากนั้นแล้วแค่มรดกอำนาจนับว่าไม่สำคัญ เฉพาะหลังจากได้รับทั้งสองมรดกเท่านั้นถึงจะมีพลังของเทพโบราณ การสังเกตการณ์ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นสิ่งเดียว คนผู้นั้นไม่เป็นเทพโบราณตู่ซือก็เป็นเทพมารตู่ซือ!”
ขณะที่คำพูดของตั่วมู่จมดิ่งลง หวังหลินสูดหายใจ ความคิดหนึ่งแวบผ่านในหัวแต่เขายังคงเงียบ
“ข้าไม่ต้องการหลอกหลวงเจ้าจริงๆ หากเจ้าเข้าไปในทะเลโลหิต เจ้าจะกลายเป็นเครื่องมือเหมือนกับวิญญาณกลืนกินในบททดสอบที่สาม และเมื่อผนึกถูกทำลาย เจ้าจะตาย”
“เมื่อเจ้าตายในทะเลโลหิต เขาสามารถดึงความรู้ของเจ้าออกมาได้!”
หวังหลินเงียบเสียง จากนั้นเยาะเย้ยขึ้น “ตายงั้นหรือ? ข้าสันนิษฐานได้ว่าการตายที่ท่านพูดถึงหมายถึงตอนที่วิญญาณข้าแตกสลายใช่ไหม? หากเรื่องที่พวกท่านพูดเป็นเรื่องจริง ตอนที่คนผู้นั้นเป็นอิสระ ทำไมไม่แค่นำเสี้ยววิญญาณกลับไปที่เดิม?”
กลุ่มของตั่วมู่เงียบกริบ
ในเหล่าคนทั้งสิบ ชายชราที่ไม่ได้พูดเลยพลันไอเล็กน้อย เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก “สหายเซียนเป็นคนฉลาดจริงๆ ครั้นที่ต้าเสินได้รับสืบทอดมรดกภูมิปัญญา เขาจะรับเสี้ยววิญญาณของร่างเราไปเพื่อให้วิญญาณของเขาสมบูรณ์อีกครั้ง ในหลายปีที่ผ่านมานี้ เสี้ยววิญญาณได้หลอมรวมกับวิญญาณของพวกเรา การทำให้พวกมันกลับไปจึงเป็นเหมือนการกลืนวิญญาณของเรา สหาย การช่วยเราก็คือการช่วยตัวเจ้าเอง ทว่าข้าไม่ได้บอกให้เจ้าช่วยเปล่า หากเจ้าตกลง ข้าจะให้ของตอบแทน”
หวังหลินไม่ได้ตกลง เขาลอบวิเคราะห์ว่าสิ่งที่คนพวกนี้พูดน่าเชื่อถือแค่ไหน ตั่วมู่ชำเลืองมองหวังหลินอย่างเย็นชาและพูดขึ้น “หนุ่มน้อย อย่าคิดว่าเราต้องพึ่งพาเจ้า เราสามารถสังหารเจ้าได้เสมอเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคต”
เซียนใบหน้าดำมืดผู้หนึ่งเย้ยหยัน “เวลาเกือบจะหมดแล้วและสิ่งที่จำเป็นต้องพูดก็ได้พูดไปแล้ว ตั้งแต่เจ้าเด็กนี่จะสมองทึบต่อไป ข้าอาจจะวางกฎเกณฑ์หนึ่งเอาไว้ แม้ว่ามันจะทำให้เกิดเรื่องไม่สบายใจขึ้นบ้าง แต่จะควบคุมเขาได้ง่ายมากขึ้น”
หลังหวังหลินได้ยินเช่นนี้ หากกฎเกณฑ์แบบนั้นทำงานได้จริง เจ้าแก่คนนี้ไม่ต้องเสียเวลาพูดกับเขาเลย เมื่อหวังหลินปรากฎขึ้นทำไมไม่ใช้กฎเกณฑ์นี้ควบคุมไปเลยซะหล่ะ?
หวังหลินคิดเกินเลยไปเล็กน้อยและเดาได้ว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ใช้กฎเกณ์ ดูเหมือนไม่มีกฎเกณฑ์ใดที่จะไม่ถูกชายผมแดงตรวจพบ
เจตนาของคนพวกนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นจอมเวทย์ปิศาจฟ้า พวกเขาต้องมีแผนลับของตัวเอง
หวังหลินพูดอย่างใจเย็น “พวกท่านต้องการให้ข้าทำอะไร?”
ชายชราริ้วรอยเต็มใบหน้าได้ยินที่หวังหลินพูดและหัวใจเกือบหยุดเต้น คนผู้นี้ไม่ได้ถามถึงรางวัลอะไร แต่สิ่งแรกที่ถามคือทำอะไร ดูเหมือนว่าคนผู้นี้ใจเย็นมากและไม่ได้เคลื่อนไหวง่ายๆ
ชายชราพูดขึ้น “เข้าไปในทะเลโลหิต หลังต้าเสินลบผนึก เข้าจะมุ่งตรงเข้าไปในทะเลวิญญาณมรณะ เมื่อเขาเปิดทะเลวิญญาณมรณะขึ้น เจ้าต้องเข้าไปในทะเลวิญญาณมรณะและใช้วิชาหนึ่ง มันง่ายเช่นนั้น มันเป็นวิชาผนึกที่ยักษ์วิญญาณเทพโบราณนั้นใช้มา ข้าได้เรียนรู้วิชานั้นมานานหลายปีและมีโอกาสเพียงสามในสิบส่วน แต่หากเจ้าใช้มัน เจ้าจะมีโอกาสเจ็ดในสิบส่วนเพราะเจ้าเป็นวิญญาณกลืนกิน เสี้ยววิญญาณทั้งหมดที่เจ้าดูดซับจะฟังคำสั่งเจ้า”
หวังหลินเหยียดยิ้ม เขาพูดขึ้นอย่างเศร้าใจ “ด้วยระดับฝึกฝนเพียงขั้นแกนลมปราณ มันคงเป็นความฝันที่จะผนึกต้าเสิน”
ชายชราหัวเราะออกมา “แน่นอน เราไม่ได้ให้เจ้าสร้างผนึก แต่ให้เจ้าควบคุมเสี้ยววิญญาณที่กระตุ้นทะลวิญญาณมรณะอีกครั้ง จากการคาดเดาของข้า ทะเลวิญญาณมรณะจะผนึกขึ้นอีกครั้งและผนึกต้าเสินไว้ข้างในอย่างสมบูรณ์”
“หากเจ้าตกลง ไม่สนว่ามันจะสำเร็จหรือไม่ ข้าจะให้ของขวัญเจ้าหนึ่งชิ้น ข้าได้รับสิ่งนี้มาอย่างยากลำบาก หลังจากค้นหาคำพูดโบราณหลายคำ ในที่สุดก็พบชื่อของอุปกรณ์นี้ มันคือกับดักอสูรฮวนหยวน อสูรใดก็ได้ในโลกสามารถถูกมันควบคุมได้ช่วงเวลาหนึ่ง แต่ต้นตำเนิดไม่ทราบ ในทางทฤษฎีหากเจ้ามีพลังปราณเพียงพอ แม้กระทั่งอสูรอมตะ หากมันอยู่ในวงกลมก็สามารถควบคุมได้ แต่เมื่อยู่ในวงกลมนี้ ยิ่งอสูรที่ถูกไว้ภายในแข็งแกร่งเท่าไหร่ก็ยิ่งจำเป็นต้องใช้พลังปราณมากเท่านั้น หากเจ้าต้องการกักขังอสูรอมตะไว้สักตัว พลังปราณที่มันต้องการไม่อาจจินตนาการได้ ตอนที่ข้าได้รับมานั้นได้ลองใช้มันแต่กลับล้มเหลว ก่อนที่ข้าจะใช้มันเป็นครั้งที่สอง ข้าถูกขังไว้ที่นี่เสียก่อน”