2087. หวานเอ๋อร์ ตื่นเถอะ
เสียงของเทียนหยุนดังกึกก้องอยู่ในแดนเทพบรรพกาลซึ่งมีภูเขาหิมะสีรุ้งอยู่ใจกลาง ร่างใหญ่ยักษ์ที่สร้างจากสายหมอกพุ่งเข้าหาหวังหลินอย่างไม่พอใจและบ้าคลั่ง
เขาไม่ยอมให้กลายเป็นแบบนี้ เขารอคอยมานาน รอคอยวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่หลายครั้ง จนกระทั่งวันนี้ได้มาถึงแต่ก็ไม่คาดคิดว่าทุกอย่างจะกลายเป็นเช่นนี้
หวังหลินหลอกลวงทุกคน แม้แต่เทียนหยุนที่รู้ทุกอย่างก็ยังไม่รู้ว่านี่ไม่ใม่ใช่ความฝันของหวังหลินแต่เป็นเต๋าของร่างอวตารมือสังหาร
จิตใจเทียนหยุนเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่ดี ความรู้สึกแบบนี้มากพอที่จะทำให้เขาเกิดอาการบ้าขึ้นมา เขาคือวิญญาณสมบัติของเข็มทิศและเขาเห็นหวังหลินมาที่นี่ครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งยังหายไปทุกครั้งในวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่
จนกระทั่งถึงตอนที่เขาเห็นหวังหลินเข้ามาทำลายเพื่อเปิดเข็มทิศด้วยตัวเองและจากนั้นก็หายตัวไป ทำให้เทียนหยุนออกมาได้และในตอนนั้นเขาก็หัวเราะอย่างยินดี
เขาไม่รู้ต้นกำเนิดของตัวเอง ในความทรงจำตอนที่เขาตื่นขึ้นมาเมื่อหลายปีก่อน เขาก็เป็นจิตวิญญาณสมบัติของเข็มทิศไร้ขอบเขตไปแล้ว
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนสร้างเข็มทิศขึ้นมา เขาไม่มีความทรงจำและสับสนอยู่นานจนกระทั่งได้เห็นหวังหลินมายืมเข็มทิศ เขาเห็นหวังหลินเข้าไปในวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าจนตัวเขาเองได้รับการปลดปล่อย
พอเขาได้รับการปลดปล่อย จึงเต็มไปด้วยความรู้สึกมีความสุขอย่างพูดไม่ออก เขาเหมือนกำลังเป็นอิสระและไม่ต้องการอยู่ในเข็มทิศเหมือนเป็นนักโทษอีกต่อไปแล้ว
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงต้องการครอบงำหวังหลิน!
จากมุมมองของเขา ทุกชีวิตบนแผ่นดินเซียนดาราจึงเป็นเรื่องโกหกและมีเพียงหวังหลินที่เป็นความจริง จากการวิเคราะห์ของเขา เมื่อเขาครอบงำหวังหลินได้สำเร็จ เขาก็จะมีระดับบ่มเพาะขั้นย่ำสวรรค์และได้รับอิสระอย่างแท้จริง
เขาไม่สามารถโดนขังในเข็มทิศเพื่อเป็นจิตวิญญาณสมบัติได้อีกต่อไปแล้ว แม้เขาจะรู้สึกว่านอกจากการเป็นจิตวิญญาณสมบัติ เขาก็ยังเป็นองครักษ์ของเข็มทิศนี้ก็ตามที
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ทุกอย่างที่เขาทำก็เพื่ออิสรภาพ!
เขากระทั่งได้ตัดสินใจว่าเมื่อได้รับอิสระและครอบงำร่างหวังหลินได้สำเร็จ เขาจะออกไปตามหาต้นกำเนิดของตัวเอง ตามหาคนที่ทำให้เขาเป็นจิตวิญญาณสมบัติ
จากมุมมองเช่นนี้ หลังจากครอบงำร่างหวังหลินได้สำเร็จ เข็มทิศไร้ขอบเขตก็จะกลายเป็นสมบัติของเขา เขาซึ่งเป็นจิตวิญญาณสมบัติอยู่แล้วจึงไม่มีใครรู้ความแข็งแกร่งของมันได้ดีกว่าเขาอีก
นอกจากพลังของมัน ส่วนสำคัญที่สุดคือทำให้คนออกไปจากดินแดนฝืนชะตาปฐพีได้!
ส่วนต้นกำเนิดของเข็มทิศไร้ขอบเขต เขาผุดความคิดบางอย่างขึ้นมาแต่มันก็พร่าเลือน เขาไม่รู้ว่าใครสร้างมันมา แล้วทำไมเขาถึงอยู่ข้างในได้
เขาเพียงแค่รู้ว่าเมื่อได้รับอิสระ เขาก็จะค้นหาคำตอบนั้น
แต่ในยามนี้แผนทุกอย่างของเขากลับมาพังทลายเพราะคำพูดของหวังหลิน เขาไม่มีความหวังเหลืออยู่เลย เขารู้สึกเพียงแต่ความสิ้นหวังและความโกรธเกรี้ยว พร้อมด้วยความหวาดกลัวและไม่ยินยอม
เทียนหยุนพุ่งเข้าใส่หวังหลินอย่างสุดกำลัง สายหมอกสีดำส่งเสียงร้องโหยหวนรุนแรง เพียงเข้าใกล้จึงได้เห็นหวังหลินผุดรอยยิ้มเบาๆ ออกมา
หวังหลินยกแขนขวาพลางมองสายหมอกสีดำที่กำลังเข้ามาและสะบัดเบาๆ
“ตอนที่ข้าเชี่ยวชาญวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ ข้าก็บรรลุขั้นย่ำสวรรค์ไปแล้ว” หวังหลินพูดขึ้นมาอย่างสงบนิ่ง หมอกสีดำเบื้องหน้าเหมือนกำลังกลายเป็นไอและเริ่มแตกสลายอย่างรวดเร็ว
“ข้าไม่ยอมให้เป็นแบบนี้!! หวังหลิน ข้าไม่ยอมให้เป็นแบบนี้!!” เทียนหยุนร้องอย่างโหยหวน ควันที่เหลือควบแน่นกลายเป็นศีรษะขนาดยักษ์ ศีรษะนี้ดูแตกต่างจากเทียนหยุน โดยมีรูปลักษณ์เป็นชายวัยกลางคนและตรงส่วนกลางหน้าผากมีรูปดาวที่กำลังกะพริบแสง ข้างในรูปดาวมีร่างเงากะเรียนที่กำลังดิ้นรนอยู่ในนั้น
ทั้งหมดนี้กินเวลาชั่วพริบตาก่อนจะแตกสลายไป ศีรษะของชายวัยกลางคนแตกสลายและควันสีดำทุกอย่างพลันเปลี่ยนกลายเป็นนกกระเรียนสีดำตัวยักษ์
เจ้ากระเรียนสีดำส่งเสียงกู่ร้องใส่ท้องฟ้าและพุ่งเข้าหาหวังหลินอีกครั้ง
ชั่ววินาทีที่เขาเข้าใกล้ แววตาหวังหลินเป็นประกายเย็นเยียบ เขาก้าวไปข้างหน้าและยกแขนขวาขึ้นมาคว้าจับลำคอของเจ้ากระเรียน
เจ้ากระเรียนพยายามดิ้นรนต่อไป ยิ่งมันส่งเสียงร้อง หวังหลินยิ่งมีแววตาเป็นประกาย แขนขวาบีบแน่นขึ้นจนเกิดเสียงดังปังทำให้ทั้งแดนเทพบรรพกาลสั่นเทาและท้องฟ้าเกิดความพร่าเลือน
นกกระเรียนสีดำแตกสลายอย่างสมบูรณ์
สัมผัสวิญญาณของเทียนหยุนตกอยู่ในความปั่นป่วน ตอนที่กระเรียนสีดำแตกสลาย นั่นคือสัมผัสวิญญาณสุดท้ายของเทียนหยุนที่กำลังพังทลาย เขาเหมือนจดจำอดีตบางอย่างได้ บางอย่างที่เขาคิดว่ามันไม่ได้อยู่ในความทรงจำ
“ดินแดนเต๋ารุ่งอรุณ…บ้านเกิดของข้า…” เทียนหยุนพึมพำพร้อมกับสัมผัสวิญญาณที่แตกสลายไปอย่างสิ้นเชิงและเขาตายอย่างสมบูรณ์ ร่างกระเรียนเปลี่ยนกลายเป็นควันสีดำนับไม่ถ้วน ท่ามกลางควันสีดำนั้นมีควันสายหนึ่งที่เป็นสีเทาอย่างชัดเจน หวังหลินเฝ้าดูควันสีเทาพุ่งเข้าหาสะพานซึ่งเชื่อมต่อกับท้องฟ้าและเลือนหายไปในภาพมายาด้านหลังสะพาน
ควันสีเทานี้ไม่ได้พากลิ่นอายของเทียนหยุนไปด้วย
หวังหลินมีแววตาเปล่งประกายแต่ไม่ประหลาดใจ ราวกับรู้อยู่แล้วถึงตัวตนของควันสีเทา เขาเพียงแค่ชำเลืองมองและไม่สนใจ แขนขวายื่นออกมาคว้าจับควันสีดำ
เพียงแค่คว้าจับ ควันสีดำจึงพลันรวมตัวกันกลายเป็นก้อนขนาดเท่ากำปั้นในมือหวังหลิน
ก้อนควันไม่ได้เป็นสีดำแต่มีถึงเก้าสีดูงดงามยิ่ง
‘แก่นสารแห่งดินแดน…’ พอหวังหลินมองก้อนควันสีดำในมือ ดวงตาไม่ได้สงบนิ่งอีกต่อไปแล้วแต่เป็นความตื่นเต้น เขาสูดหายใจลึกและสะบัดแขนซ้าย ปรากฏโลงศพขึ้นเบื้องหน้า
ข้างในโลงศพมีสตรีผู้หนึ่งที่กำลังหลับใหล นางไม่ได้สวยงามไร้ที่ติแต่นางมีความอ่อนโยน ดวงตาหลับพริ้มและไม่ขยับเขยื้อนเลย
“หวานเอ๋อร์…ครั้งหนึ่งข้าพูดว่าถึงแม้สวรรค์อยากให้เจ้าตาย ข้าก็จะพาเจ้ากลับมา!” หวังหลินพึมพำพร้อมกับสัมผัสใบหน้าของนาง หยาดน้ำตาไหลรินและหล่นใส่ใบหน้าของนาง หยาดน้ำตาไหลลงบนแก้มเข้าสู่มุมปาก
“ข้าทำสำเร็จแล้ว! หวานเอ๋อร์ หลังจากผ่านไปหลายพันปีข้าก็ทำสำเร็จ!” หวังหลินมีใบหน้าอ่อนโยนพลางประทับก้อนควันเก้าสีลงตรงกลางหน้าผากของนางอย่างเบามือ เขาเฝ้ามองดูก้อนควันเข้าสู่ร่างกายของนางอย่างช้าๆ กาลเวลาคล้ายกับดำรงอยู่ไปชั่วกาลนาน
แต่บนใบหน้าหวังหลินเผยสัญญาณแห่งความตึงเครียดที่หาได้ยากนัก เขากังวลเป็นอย่างยิ่ง หวังหลินกัดริมฝีปากและมองสตรีตรงหน้า
เขาลูบเรือนผมของลี่มู่หวานเบาๆ และพึมพำ “หวานเอ๋อร์ กลับมาได้แล้ว…กลับมาเถอะ…ลืมตาของเจ้า …ลืมตาของเจ้าขึ้นมาและมองมาที่ข้าสิ…”
เรื่องราวที่เผชิญด้านนอกทะเลปิศาจดูเหมือนเป็นพรมลิขิตของทั้งคู่ ที่จะไม่มีวันลืมเลือน ไม่มีวันละทิ้ง…
เสียงร้องขอความช่วยเหลือครั้งนั้นและสายตาตื่นตระหนกของนางทำให้หวังหลินที่ซ่อนตัวอยู่ใต้พื้นดินได้สังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติ จึงเงยศีรษะขึ้นมา…
หากเขาไม่เงยหน้าขึ้นมา บางทีทุกอย่างคงไม่เหมือนเดิม
ในทะเลปิศาจ ตอนที่เขาลืมตาและได้เห็นร่างที่อ่อนแอยืนอยู่ตรงทางเข้าถ้ำ หัวใจเขาสั่นเทาไปชั่วจังหวะ เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงพูดว่า “ไม่ต้องกลัว ข้าจะพาเจ้าสังหารพวกมัน…” แต่เขารู้ว่าได้เอ่ยคำพูดนั้นออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ…
ร่างอรชรที่ใช้โลหิตของตัวเองเพื่อจารึกค่ายกลมังกรเข้าไปในเกล็ด ใบหน้าซีดเผือดนั้นทำให้หวังหลินเจ็บปวดหัวใจ แต่ในตอนนั้นเขากำลังถูกคนเกลียดชังไล่ล่าเข้าไปในส่วนลึกของมหาสมุทร เขาได้แต่เฝ้าบอกตัวเองว่าให้ลืมความทุกทรมานทั้งหมดที่นางได้ผ่านมา
ฉากเหตุการณ์ในสำนักฟ้าเมฆา ยามเขาได้ยินเสียงพิณและเห็นร่างอันโดดเดี่ยวในอาราม หวังหลินจึงได้รู้ว่าเขามิอาจลืมเลือนไปได้
แขนซ้ายข้าคือเวรกรรมในทะเลปิศาจ แขนขวาข้าคือการบ่มเพาะหลายร้อยปี…
“หวานเอ๋อร์ ลืมตาขึ้นเถอะ ตื่นเถอะ…และยังมีผิงเอ๋อร์ด้วยนะ เขาก็จะตื่นเช่นกัน เจ้าจะต้องชอบเด็กคนนั้นแน่…” หวังหลินพึมพำพร้อมกับหยาดน้ำตาไหลลงมาเป็นสาย
กาลเวลาไม่ได้รอคอยข้า เจ้า…เมื่อใดเจ้าจะพาข้าไป…
“หวานเอ๋อร์ ข้าหวังหลิน เราเป็นสามีภรรยากัน ให้ข้าพาเจ้าไปด้วยกัน…” หวังหลินมองลี่มู่หวานด้วยน้ำตาที่ไหลออกมามากกว่าเดิม เขารอคอยมาหลายพันปีก็เพื่อวันนี้
ความอบอุ่นในหมู่บ้าน ร่างที่เขาเห็นยามที่มองกลับไป ฉากเหตุการณ์ในอดีตฉายซ้ำขึ้นมาในใจหวังหลิน เขาไม่มีวันลืม เขาไม่ต้องการลืม และเขาไม่อยากให้ลืม
เขาเฝ้าดูลี่มู่หวานแก่ชราและมีอายุมากขึ้นจนนางค่อยๆ มาถึงจุดจบของชีวิต วินาทีที่นางหลับตา หัวใจหวังหลินเจ็บปวดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาไม่ยอมให้ลี่มู่หวานจากไปแบบนี้ เขาจะต้องชิงนางกลับมาให้ได้!!
หลังจากพบกับความสูญเสีย เขาคงจะดึงมันกลับคืนมาแม้นั่นจะหมายความว่าเขาต้องเข้าไปแตะความทรงจำที่ปิดผนึกเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่าและก้าวเดินเข้าสู่หนทางแห่งความโศกเศร้า…แม้จะเป็นแบบนั้นเขาก็รู้สึกไม่เสียใจ
“หวานเอ๋อร์…ตื่นเถอะ…หวานเอ๋อร์….” หวังหลินมองสตรีที่ยังหลับใหล หยาดน้ำตาไหลลงมาอย่างต่อเนื่องไม่มีหยุด
ข้ายอมทำลายโลกทั้งใบเพียงเพื่อเปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้กลับมาถูกต้อง
ข้ายอมหันหลังให้กับทั้งโลกเพียงเพื่อสวรรค์ไม่ขวางกั้นสายตาเจ้า
ข้ายอมปัดเป่าความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุดเพื่อเปิดทาง…เพื่อให้เจ้าได้เจอทางกลับบ้าน
“หวานเอ๋อร์ ข้าเป็นสามีเจ้า ข้าอยากให้เจ้าลืมตาและตื่นขึ้นมา!!” หวังหลินมองขึ้นไปในท้องฟ้าและส่งเสียงคำราม เวลาผ่านไปสักพักแต่สตรีข้างในโลงศพก็ยังคงหลับตาอยู่เช่นนั้น
หวังหลินไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้ เขายอมไม่ได้!!
“…ไม่ต้องร้องไห้…” วินาทีที่หวังหลินร้องคำรามใส่ท้องฟ้า ฝ่ามืออบอุ่นค่อยๆ ยกขึ้นมาและสัมผัสกับใบหน้าเขา
ร่างทั้งร่างของหวังหลินสั่นเทา เขาก้มศีรษะมาเห็นเปลือกตาของลี่มู่หวานกำลังสั่นพร้อมกับนางได้ลืมตาขึ้นมา
ดวงตาอ่อนโยนคู่นั้นไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้จะผ่านไปหลายพันปี ความรู้สึกอ่อนโยนนั้นยังคงทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวด
……………………………………………………