Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 235

Cover Renegade Immortal 1

235. เพราะชื่อว่า เถิง

ภูเขาเหิงยั่ว

สำนักซวนต้าวถูกหุ้มอยู่ในสายหมอกและเมฆฝน สายฟ้ากระพริบวาบพร้อมกับเสียงฟ้าร้องคำราม ใบไม้ส่งเสียงเปาะแปะขณะที่ฝนชุ่มฉ่ำลงมา

ค่ำคืนฝนตกในวันนี้ ชายหนุ่มผมขาวค่อยๆเดินออกมาจากป่าอย่างช้าๆ ทุกก้าวที่เดินอยู่บนใบไม้สร้างเสียงกรอบย่ำผืนดิน

คนคนนี้มองไปที่ยอดภูเขาเหิงยั่วตำแหน่งสำนักซวนต้าวที่อยู่ห่างไกล หลังผ่านไปนานเขาถอนสายตาขึ้น เป้าหมายของเขาตอนนี้คือหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไปหลายร้อยลี้

เวลาเที่ยงคืนที่หมู่บ้านในภูเขา นอกจากเสียงฟ้าร้องแล้วมีแต่เพียงเสียงสายฝนตกกระทบพื้นดิน อีกทั้งมีเสียงเห่าหอนจากเหล่าสุนัขของชาวบ้านเพิ่มขึ้นราวกับต้องการท้าทายสภาพอากาศเช่นนี้ ถึงเช่นนั้นมีแต่เพียงเสียงตอบรับแค่สายฟ้าที่ดังขึ้นเท่านั้น

ทั่วทั้งหมู่บ้านตกอยู่ในความมืดขณะที่ชายหนุ่มผมขาวเดินผ่านถนนสายหลัก เขามองไปที่ฉากอันคุ้นเคยผสมกับสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมือนเดิม ดวงตาไม่มีเค้าความหนาวเย็นอีกต่อไปแต่เต็มไปด้วยความเศร้าโศก ความเศร้านี้เต็มไปด้วยความรักในครอบครัวที่มีเกินจินตนาการถึง

สี่ร้อยปีผ่านไปเพียงแวบเดียว แม้มันจะดูไม่นานนักสำหรับเหล่าเซียน แต่สำหรับคนธรรมดามันผ่านมาหลายรุ่นแล้ว บ้านทั้งหมดในหมู่บ้านถูกสร้างใหม่จากเหล่าลูกหลานและตอนนี้มันดูแตกต่างกับเมื่อก่อนมากนัก

เขาคนนี้คือหวังหลิน

เมื่อมองรอบๆบ้านในหมู่บ้าน สายตาหยุดลงตรงบ้านหลังหนึ่งพลันจดจำได้ว่ามันเคยมีต้นไม้ใหญ่ที่นี่ เขามักจะอ่านหนังสือและเล่นกับเพื่อนๆใต้ต้นไม้ต้นนั้น

ในพริบตาเดียว ทั้งหมดนั้นหายไปแล้ว

หวังหลินลอบถอนหายใจและเดินไปข้างหน้าช้าๆ หลังผ่านไปช่วงเวลาหนึ่งเขาหยุดลงขณะจดจ้องไปที่บ้านอันคุ้นเคย ร่างกายเริ่มสั่นเทาเมื่อมองไปที่บ้านหลังนั้น บ้านหลังอื่นทั้งหมดในหมู่บ้านเปลี่ยนไปแล้วแต่บ้านหลังนี้ยังเหมือนเดิมกับเมื่อก่อนจริงๆ

หวังหลินกัดริมผีปากเล็กน้อยและเปิดประตูหลักเข้าไป ประตูส่งเสียงเอี๊ยด หวังหลินปิดมันหลังจากที่เข้าไปแล้ว

ในลานมีโต๊ะไม้พร้อมกับเก้าอี้ไม้เล็กๆหลายตัวแขวนไว้ หวังหลินลอบมองภาพนี้พร้อมกับที่หยาดน้ำตาไหลรินออกมา

เวลาผ่านไปสักพักหวังหลินเดินเข้าไปในบ้าน เปิดประตูและก้าวเข้าไปข้างใน ทุกสิ่งทุกอย่างเหลือทิ้งไว้อยู่ตามที่เขาจำได้ราวกับไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไปเลย

ขณะนั้นหวังหลินรู้สึกราวกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลาสี่ร้อยปีราวกับเป็นความฝันและเขาพึ่งแค่ตื่นขึ้นมา ครอบครัวเขาไม่ได้ตายและวิญญาณของเขาไม่ได้อยู่ในมิติฝืนลิขิตฟ้า พวกเขาอยู่ในบ้านหลังนี้และนอนอยู่บนเตียงในคืนที่ฝนตกเช่นนี้

ถึงเช่นนั้นด้วยสัมผัสวิญญาณจึงรู้ว่า ไม่ว่าจะกระจายออกไปไกลแค่ไหนก็ไม่มีใครอยู่ในบ้านหังนี้

ใจกลางห้องหลัก หวังหลินเห็นแผ่นจารึกสองแผ่น แผ่นหนึ่งอยู่เหนืออีกแผ่นหนึ่ง ชิ้นบนอ่านได้ว่า

“หวังเทียนซุย โจวถิงซู”

แผ่นจารึกอันล่างอ่านว่า: “ลูกชายคนโต: หวังหลิน”

ข้างใต้แผ่นจารึกสองแผ่นนี้มีกระถางธูปพร้อมกับธูปหอมที่ยังไม่ได้ใช้อยู่ถัดไป

หวังหลินจุดธูปสามดอกพร้อมกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจและวางลงในกระถางธูปนั้น เขาค่อยๆคุกเข่าลงบนพื้น หวังหลินโขกศีรษะอย่างแรงหลายครั้งและพึมพำ “ลูกอกตัญญูมาครั้งนี้เพื่อจุดธูปเคารพ ครั้งหน้าข้าจะสร้างหอคอยจากศีรษะตระกูลเถิงเพื่อครอบครัวของข้า” กลิ่นอายฆ่าฟันออกมาจากหวังหลิน ทั้งห้องพลันหนาวเหน็บมากกว่าฝนที่ตกข้างนอกทันที

หลังกล่าวจบเขาขบคิดชั่วขณะจากนั้นขยับกายและหายไปจากจุดนั้นทันที

ผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง รถม้าพุ่งทะยานตรงมาจากหมู่บ้านในภูเขา สารถีเป็นชายชราสวมชุดคลุมสีขาว เห็นได้ชัดเจนว่าเขาเป็นนักรบในโลกมนุษย์

เขาหวดแส้ในแขนเพียงหนึ่งครั้งม้าก็วิ่งเร็วมากขึ้น

เพราะพื้นดินขรุขระจึงทำให้รถม้าเด้งขึ้นลงหลายจังหวะแต่ดูเหมือนชายชราจะตัวติดกับรถม้า เขาดูไม่สะทกสะท้านและบางครั้งก็ตะโกน “ไป!”

ไม่นานนักรถม้าจึงเข้าใกล้บ้านหลังนี้ ชายชราร้องตะโกนและกระชับบังเหียน เหล่าม้าร้องขึ้นขณะที่ขาคู่หน้าลอยขึ้นไปบนอากาศและรถม้าหยุดเบื้องหน้าบ้านของหวังหลิน

ชายชรากระโดดออกจากรถม้าและเปิดประตูอย่างเคารพ เมื่อประตูเปิดออกเด็กสาวนางหนึ่งกระโดดออกจากรถม้า นางสวมเสื้อสีเขียว เส้นผมผูกขึ้นเป็นซาลาเปาลูกหนึ่งและนางดูน่ารักมาก

หลังเด็กสาวออกมาจากรถม้า ร่างกายสั่นสะท้านเห็นได้ชัดว่านางได้รับอากาศหนาวเหน็บ ถึงอย่างนั้นนางไม่ได้คิดมากพลางกางร่มและเอ่ยด้วยน้ำเสียงคมชัด “นายหญิง เราถึงแล้ว”

ร่างประณีตงดงามออกมาจากรถม้าและยืนอยู่ใต้ร่ม สตรีคนนี้ใบหน้าซีดเผือด ในความอ่อนแอนั้นเผยความงดงามที่ปิดไม่มิด

ร่างอ่อนแอออกมาด้วยร่างกายสั่นเทา สาวรับใช้รีบถือร่มไว้มือเดียวและคว้าเสื้อขนหนูตัวใหญ่สีม่วงจากในรถม้ามาใส่มือนาง ด้วยการช่วยเหลือของชายชรา พวกเขาจึงใส่เสื้อโค้ทให้กับสตรีเยาว์วัยคนนี้ได้

ในเวลาเดียวสาวรับใช้เอ่ยอย่างไม่พอใจ “นายหญิงทำไมเราถึงต้องมาที่นี่ในคืนที่ฝนตกด้วยเล่า? เรามาพรุ่งนี้แทนก็ได้ หากท่านเป็นหวัดขึ้นมาจะว่าอย่างไร?”

แม้กระทั่งสายตาของชายชรายังเผยความเสียในในแววตาอบอุ่นนั้น

สตรีเยาว์วัยคนนั้นยิ้มขึ้น นางเดินไปด้วยพูดไปด้วย “พวกเจ้าไม่รู้เรื่องนี้หรอก แต่ก่อนที่ท่านปู่จะเสียชีวิต ท่านได้บอกว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ลูกหลานต้องมาเยี่ยมที่นี่วันนี้ให้ได้ มันเป็นประเพณีของตระกูลไปแล้ว”

คนรับใช้ยังกล่าวโดยไม่มีความสุข “นายหญิง ที่นี่ไกลจากเมืองหลวงมากนัก ทำไมเราต้องมาที่นี่ทุกวันเล่า? เป็นไปได้ว่ามีบางสิ่งสำคัญถูกซ่อนไว้ที่นี่หรือ?​ข้าได้ยินมาจากคนรับใช้คนอื่นว่าสถานที่แห่งนี้เคยเป็นหนึ่งในสาขาของตระกูลหวัง”

สตรีเยาว์วัยหยุดชายชราไม่ให้เปิดประตูและยกแขนราวกับหยกของนางเพื่อเปิดมันเอง นางยิ้มให้กับคนรับใช้พลางกล่าวว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้ามากับข้าที่นี่เช่นนั้นเจ้าจึงไม่รู้ เมื่อเรามีเวลา ข้าจะบอกเจ้าเอง”

หลังจากเข้ามาในลาน ทั้งสามคนไม่ลังเลที่จะตรงเข้าบ้านในทันที สาวรับใช้หุบร่มพลางส่ายเอาน้ำออกไปจากนั้นจึงมองไปรอบๆห้องอย่างระมัดรวัง

สำหรับชายชรา เขายืนเงียบๆที่ทางเข้าประตู

สตรีเยาว์วัยสูดหายใจลึก ขณะที่สาวรับใช้กำลังจะเดินเข้าไป สตรีเยาว์วัยหยุดนางไว้และเอ่ยขึ้น “เจ้ารอกับปู่ลี่ข้างนอกนี่ ข้าจะเข้าไปข้างในเอง”

คนรับใช้บุ้ยปากแต่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

สตรีเยาว์วัยยิ้มขึ้นพลันไอออกมาสองสามครั้งจากนั้นจึงเดินเข้าสู่ห้องโถงหลักอย่างช้าๆ หลังเข้าไปนางมองไปที่แผ่นจารึกสองแผ่น วางตัวเองนั่งลงกับเสื่อข้างหน้าแผ่นจารึกและคุกเข่าลงบนพื้น หลังหมอบคลานสองสามครั้งนางกำลังจะหยิบก้านธูปมาแต่สายตาตกใจจดจ้องไปบนก้านธูปสามดอกที่เกือบจะมอดลง ขณะที่นางกำลังจะร้องไห้พลันสายลมหนาวเย็นพัดมาจากในห้อง ร่างของนางแข็งขึ้นและหน้าผากปกคลุมไปด้วยเหงื่อเย็นเฉียบ นางรู้สึกว่าหากนางเคลื่อนไหวนางจะถูกสังหารทันที

นางเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งผมสีขาวเต็มศีรษะค่อยๆเดินออกมาจากห้อง

หวังหลินมองไปที่หญิงสาวและถามอย่างสุภาพ “เจ้าเป็นลูกหลานของใคร?”

ใบหน้าหญิงสาวเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ร่างกายนางสั่นเทาเมื่ออากาศหนาวเย็นแทรกเข้าสู่ร่าง นางถามขึ้นเสียงสั่น “ท่านเป็นใคร? และทำไมท่านถึงมาอยู่ที่บ้านบรรพบุรุษตระกูลหวัง…”

หวังหลินมองสตรีเยาว์วัยพลันสะบัดแขน อากาศหนาวเย็นรอบๆนางหายไปและแทนที่ด้วยความอบอุ่น เมื่อร่างนางรู้สึกอบอุ่นจึงเผยใบหน้าตกใจและมองหวังหลิน ทว่านางลอบขยับแขนขวาและจับเข้าที่เอว

ทันใดนั้นฝ่ามือรีบผักเข้ามาในห้องสร้างเป็นสายลมกรรโชกแรงมาพร้อมกับชายชรา ทว่าขณะที่ชายชราเข้ามาในห้อง เขาทรุดลงและผลอยหลับไป

ใบหน้าหญิงสาวซีดขาว

หวังหลินกระทั่งไม่ได้ชำเลืองมองชายชราที่เป็นลมไปและเอ่ยอย่างสุภาพ “ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าเป็นลูกหลานของใคร?” ความจริงขณะที่เขาเห็นบ้านหลังนี้ก็มีความสงสัยอยุ่แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่บ้านหลังนี้จะอยู่เหมือนเดิมโดยที่ไม่มีใครดูแล แม้ว่าบ้านนี้จะดูเหมือนก่อนแต่ความจริงมันถูกสร้างใหม่จนดูเหมือนเมื่อก่อนเท่านั้น

สตรีเยาว์วัยเผยใบหน้ามุ่งมั่น นางกัดฟันแน่นและเอ่ยออกมา “พ่อของข้าชื่อหวังหยุน นับที่ท่านติดตามข้ามาที่นี่ ทำไมพี่ชายถึงถามคำถามเช่นนี้เล่า?”

หวังหลินขมวดคิ้วและถามต่อ “ชื่อคนที่ถูกสลักไว้ในแผ่นจารึกนี้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า?”

“…มันเป็นบ้านบรรพบุรุษของบรรพชนผู้พี่ของข้าเอง” สตรีสาวงุนงงอย่างมาก หากเขาถูกส่งมาจากศัตรูของพ่อนาง ทำไมถึงถามคำถามพวกนี้กัน?

หัวใจหวังหลินสั่นไหว น้ำเสียงเขาไม่อ่อนโยนอีกแล้วแต่สั่นเทาเล็กน้อย “บรรพบุรุษของเจ้าชื่อว่าอะไร?”

สตรีสาวลังเลเล็กน้อยและตอบ “บรรพชนชื่อว่า เทียนตู้…” นางรู้สึกว่าคนผู้นี้ประหลาดยิ่งนัก

หลังจากหวังหลินได้ยินชื่อนั้น ร่างกายเขาสั่นเทาทันทีพลันพึมพำ “ลุงสี่…” พูดถึงตระกูลหวังแล้วนอกจากครอบครัวของหวังหลินเอง อีกคนที่เขาห่วงใยก็คือลุงสี่ หลังได้ยินข่าวของลุงสี่จึงอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น

ภาพของลุงสี่ฉายขึ้นอีกครั้งในหัวหวังหลิน หลังผ่านไปนานเขาถอนหายใจและมองหญิงสาว สายตาเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ซับซ้อน สายตาที่มองดูเหมือนลูกหลานของตนเองพลันกล่าวขึ้นช้าๆ “บรรพชนของเจ้า…เสียชีวิตตอนที่อายุเท่าไหร่?”

ใบหน้าหญิงสาวมีความประหลาดใจและยิ่งประหลาดใจยิ่งกว่าเดิมขณะที่นางตอบคำถาม “บรรพชนเสียชีวิตตอนอายุ 98 ตอนเขาวัยกลางคนได้ถูกเซียนของสำนักเพียวเมียวให้ความดูแล หลังออกมาจากภูเขาจึงเริ่มชีวิตของตัวเองในเมืองหลวงและเป็นหนึ่งในขุนนางของราชวงศ์ นั่นจึงเป็นตอนที่รากฐานตระกูลหวังเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่นั้น”

แววตาแฝงไปด้วยความโล่งใจขณะถามขึ้น “สี่….ลูกชายบรรพชนของเจ้า หวังฮู่ ก็เสียชีวิตแล้ว?”

ใบหน้าหญิงสาวตื่นตะลึงขณะพึมพำ “ระ…รู้เกี่ยวกับหวังฮู่ ลูกชายบรรพชนได้อย่างไร? สามปีหลังจากที่ท่านบรรพชนเสียชีวิต เขาก็เสียเช่นกัน”

วันเวลาผ่านพ้น ผู้คนเข้ามาและผ่านไป หลังจากหวังหลินได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับลุงสี่ จิตใต้สำนึกของเขาจึงเปลี่ยนไป หลังเวลาผ่านไปนานเขามองไปที่หญิงสาวและเอ่ยอย่างช้าๆ “มีพลังงานหยินอันตรายอยู่ในร่างกายเจ้า แม่เจ้าได้รับบาดเจ็บตอนที่คลอดเจ้าหรือ?”

หลังได้ยินคำพูดหวังหลิน ความคิดหญิงสาวตกอยู่ในความปั่นป่วนสิ้นเชิง กล่าวได้ว่าหากหวังหลินตรวจสอบนางอย่างระมัดระวังและมีเบาะแสบางอย่าง เช่นนั้นก็พอมีเหตุมีผลที่จะเดาความลับของนางได้ ทว่ามีคนน้อยนิดเท่านั้นที่รู้เรื่องพลังงานหยินในร่างกายนางและคนส่วนใหญ่คิดแค่ว่านางเกิดพร้อมกับร่างกายที่อ่อนแอ

สตรีสาวมองไปที่หวังหลินและถามขึ้นน้ำเสียงสั่นเครือ “ท่าน…ท่านเป็นใครกัน?” หญิงสาวโยนความคิดที่เขาเป็นนักฆ่าจากศัตรูของพ่อไปเรียบร้อย หากเขาเป็น ทำไมถึงรู้เรื่องราวหลายอย่างเช่นนี้?

หวังหลินสะบัดแขนขวาและเมฆหมอกสีเขียวเริ่มรวบรวมไปที่หน้าผากหญิงสาว สีของเมฆหมอกเริ่มเข้มขึ้นและเข้มขึ้นจนในที่สุดหวังหลินสะบัดแขนและหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ทันใดนั้นร่างหญิงสาวรู้สึกอบอุ่นขึ้น ความหนาวเย็นที่ก่อกวนนางมายี่สิบกว่าปีหายไปเพียงแค่สะบัดแขนคราเดียว ทันใดนั้นนางนึกถึงรูปร่างของคนผู้หนึ่งจากในตำนาน

หญิงสาวกัดริมฝีปากเล็กน้อยและถามขึ้น “ท่าน…ท่านเป็นเซียนหรือ?”

หวังหลินหัวเราะ “เซียน…ทำนองนั้น” เมื่อเห็นว่าลุงสี่มีลูกหลานและพวกเขายังอยู่ดีในเมืองหลวง หวังหลินจึงรู้สึกโล่งใจ

หวังหลินขบคิดเล็กน้อยเขามองไปที่สตรีสาวและเอ่ยขึ้น “พูดถึงเรื่องนั้น ข้านับว่าเป็นบรรพชนของเจ้าด้วย ข้ามีข้อตกลงกับลุงสี่ไว้ว่าหากข้ากลายเป็นเซียนได้สำเร็จ ข้าจะปกป้องครอบครัวของเขาเพื่อตอบแทนที่ให้โอกาสข้ากลายเป็นเซียน” เช่นนั้นเขาตบกระเป๋าและนำขวดเม็ดยาออกมาหลายขวดและพูดต่อ “มีเม็ดยาอยู่ 72 เม็ดในนี้ ลูกหลานทุกคนใช้ได้เม็ดเดียว พวกเขาต้องห้ามโลภ แต่เจ้าอนุญาตนำไปได้สามเม็ด”

หลังนำขวดให้สตรีสาวแล้วเขาขบคิดเล็กน้อยและชี้นิ้วระหว่างคิ้วตนเอง เมื่อแยกหยดโลหิตออกมาพลันตบกระเป๋าและนำหินหยกขึ้น เขาใส่เสี้ยวขอบเขตจวี่ไว้ในหินหยกจากนั้นยื่นให้สตรีสาว พลันพูดด้วยใบหน้าเคร่งเครียด “ข้าได้ทิ้งเศษเสี้ยวสัมผัสวิญญาณใส่ในหินหยกนี้แล้ว ไม่มีเซียนคนใดในแคว้นจ้าวจะต่อกรได้แม้เพียงเสี้ยววินาที ทว่าหินหยกนี้ใช้ได้เพียงสามครั้งเท่านั้น ต่อไปนี้ให้เจ้าถือมันไว้ มีเพียงลูกหลานตระกูลหวังเท่านั้นที่ใช้มันได้ จงคิดและใช้อย่างระมัดระวัง”

หลังโยนหินหยกให้สตรีสาว หวังหลินสะบัดแขนเสื้อและหายไปจากห้องทันที

สตรีสาวจดจ้องเม็ดยาและหินหยกในมืออย่างตื่นตะลึง นางยังคงรู้สึกเหมือนกำลังฝันไป ชายชราที่สลบบนพื้นค่อยๆตื่นขึ้น ดวงตาสว่างขึ้นทันทีพร้อมกับลุกขึ้นยืนเดินไปถัดจากสตรีสาวและถามว่า “นายหญิงเกิดอะไรขึ้นกัน?”

ณ เวลานี้สาวรับใช้ก็เข้ามาด้วยเช่นกัน เพียงหลังจากเห็นสตรีสาวไม่เป็นไรนางจึงโล่งอก ใบหน้านางแดงระเรื่อพร้อมกับเอ่ยขึ้น “นายหญิงคุ่ยเอ๋อร์เหนื่อยมากและบังเอิญหลับไปหล่ะมั้ง”

เมื่อชายชราได้ยินคำพูดนั้นใบหน้าพลันฉุนเฉียว เขาจำได้ชัดเจนว่านายหญิงส่งสัญญาณให้แต่เมื่อเข้าไปในห้อง เขากลับสูญเสียการควบคุมทั้งหมดและสลบไป

“ข้าสบายดี ไม่ต้องคิดมาก เรากลับไปเมืองหลวงกันเถอะ” สตรีสาวสูดหายใจลึกและยืนขึ้น อาการป่วยหายไปจากใบหน้าและแทนที่ด้วยความแข็งแกร่งพร้อมกับผิวเปล่งปลั่ง

ชายชรารับรู้ถึงความผิดปกติได้อันดับแรก เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงตกตะลึง “นายหญิง ท่าน….”

ขณะนั้นสาวรับใช้ก็รับรู้ความแตกต่างได้เช่นกันและไม่เชื่อสายตา

สตรีสาวยิ้มขึ้น นางไม่ได้อธิบายแต่หันกลับไปมองแผ่นจารึกสองแผ่นในห้องโดยเฉพาะแผ่นที่เขียนว่าหวังหลิน จากนั้นนางหันกลับไปและออกจาห้อง

ด้วยความฉลาดของนางจึงมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาทันดี แต่เพื่อยืนยันสิ่งที่คิดจึงต้องตรวจสอบลำดับเครือญาติที่เมืองหลวงก่อน นางเชื่อว่าเมื่อถึงเวลานั้นท่านพ่อจะใช้ตารางเวลาที่ไม่ค่อยว่างมาตรวจสอบให้

หลังออกมาจากหมู่บ้าน ความอบอุ่นบนใบหน้าหวังหลินหายไปและกลายเป็นเคร่งเครียด ทั้งร่างเปล่งกลิ่นอายสังหารที่รุนแรง เขาเหาะเหินในทิศหนึ่งด้วยความรวดเร็ว หัวใจตั้งมั่นการแก้แค้นให้เสร็จสิ้น

หากเขาไปสังหารเถิงฮว่าหยวนตรงๆ เช่นนั้นลูกหลานทั้งหมดคงกระจายตัวเพื่อไม่ให้เขากวาดล้างตระกูลเถิงตามความฝันได้สำเร็จ

สิ่งสำคัญที่สุดหากเขาสังหารเถิงฮว่าหยวนได้ง่ายๆมันคงไม่ระงับความโกรธเกรี้ยวในใจได้แน่ เขาต้องการให้เถิงฮว่าหยวนเห็นเขาสังหารลูกหลานของมันให้หมดทุกคนเพื่อให้มันพบเจอความเจ็บปวดที่ถูกฆ่าล้างตระกูล หลังจากนั้นหวังหลินจึงจะสังหารเถิงฮว่าหยวนเป็นอันดับสุดท้าย

เขากระจายสัมผัสวิญญาณออกและครอบคลุมทั้งแคว้นจ้าวได้อย่างง่ายดาย หวังหลินพบตำแหน่งของเถิงฮว่าหยวนอยู่ในเมืองตระกูลเถิงและลอยตรงไปราวกับสายฟ้า

หวังหลินหยุดห่างจากเมืองตระกูลเถิงไปหนึ่งหมื่นลี้ เขาปักธงกฎค่ายกลไว้บนพื้นและเพียงสะบัดมือคราเดียว ธงพลันหายไปทันที

จากนั้นหวังหลินเหาะเหินไปรอบๆเมืองตระกูลเถิงและปักธงค่ายกลไว้ 16 ผืน เขาจ้องเมืองตระกูลเถิงด้วยแววตากระหายเลือด พลันยิ้มอย่างโหดเหี้ยมและกระซิบขึ้น “คนสามารถเข้าเมืองตระกูลเถิงได้แต่ออกมาไม่ได้ เถิงฮว่าหยวน การล้างแค้นของข้าพึ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น”

สายตาหวังหลินเยือกเย็นขณะที่สร้างผนึกในฝ่ามืออย่างรวดเร็ว เขาลอยขึ้นไปในอากาศ ขณะที่ร้องคำรามพลันกดจุดไปบนร่างตัวเอง ไม่นานนักควันสีเขียวออกมาจากร่างและล้อมรอบเขา เบื้องหลังเป็นร่างที่ดูเหมือนราวกับเทพมารโบราณตนหนึ่งปรากฎตัวขึ้น

หวังหลินคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น เขาจี้นิ้วขวาออกมาและโลหิตหนึ่งหยดปรากฎขึ้นพลันร้องตะโกน “วิญญาณเถิงลี่ ปรากฎตัว!”

ทันใดนั้นเทพมารภาพมายาอ้าปากของมันออกและกลืนกินหยดโลหิตเข้าไป จากนั้นมันพ่นแสงสีเขียวที่ดูอ่อนแอออกมา

แสงสีเขียวค่อยๆคล้อยลง หวังหลินคว้าเอาไว้และเทพมารภาพมายาค่อยๆหายไป

วิชานี้เขาศึกษามาจากความทรงจำที่ตกทอดมาจากเทพโบราณ วิชานี้อนุญาตใ้ห้เขาฟื้นฟูวิญญาณใครก็ได้ที่ถูกเขาสังหารไป ทว่าวิญญาณของมันคงอยู่ได้เพียงครึ่งชั่วโมง

วิญญาณที่กลับมาไม่มีความทรงจำใด มันมีแต่สัญชาตญาณพื้นฐานบางอย่างเท่านั้น สำหรับเทพโบราณแล้วมันเป็นเพียงวิชาไร้ประโยชน์ที่ทำให้เพิ่มพลังของสมบัติวิเศษได้ชั่วคราวเท่านั้น

แต่เมื่อหวังหลินพบวิชานี้จึงวางแผนแก้แค้นขึ้นมา

เมื่อกำวิญญาณเถิงลี่ไว้ หวังหลินกลืนกินมันโดยไม่เสียเวลาคิดและปกคลุมทั้งแคว้นจ้าวด้วยสัมผัสวิญญาณอีกครั้ง ไม่นานนักจุดแสงผุดขึ้นมาเรื่อยๆในสัมผัสวิญญาณของหวังหลินด้วยความช่วยเหลือของวิญญาณเถิงลี่ แต่ละจุดแสงแสดงถึงคนที่มีสายเลือดตระกูลเถิงในร่างกาย คนเหล่านี้ไม่ว่าจะมาจากสาขาหลัก สาขาย่อย หรือลูกหลานตระกูลเถิงที่แต่งงานแล้วทั้งหมดปรากฎในสัมผัสวิญญาณหวังหลิน กล่าวได้ว่าตราบใดที่พวกเขามีสายเลือดตระกูลเถิงในร่าง หวังหลินจะพบเจอทั้งหมด

การกวาดล้างตระกูลไม่ใช่เพียงแค่การสังหารคนตระกูลเถิงทั้งหมด หวังหลินต้องสังหารทุกคนที่มีสายเลือดตระกูลเถิงเพื่อกวาดล้างลูกหลานทั้งหมด นั่นจึงเป็นความหมายของการกวาดล้างตระกูลที่แท้จริง

จุดแสงค่อยๆปรากฎมากขึ้นและมากขึ้นในสัมผัสวิญญาณหวังหลินและรอยยิ้มเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมมากขึ้น ผ่านมานานหลายปี จำนวนลูกหลานตระกูลเถิงเพิ่มขึ้นมาด้วยอัตราที่เกินบรรยายและสัญลักษณ์ทางวิญญาณทุกคนต่างจดจำไว้ในใจหวังหลิน

ครึ่งชั่วโมงผ่านไปในพริบตาและวิญญาณเถิงลี่ที่หวังหลินกลืนกินก็หายไป

ฝ่ามือขวาหวังหลินตบกระเป๋าและอสูรยุงพลันปรากฎตัวขึ้น เขายืนบนอสูรยุงและเหาะเหินตรงเข้าไปสำนักใกล้ที่สุดซึ่งมีสมาชิกตระกูลเถิงทั้งหมดเจ็ดคนที่นั่น

เถิงซวนเป็นหนึ่งในศิษย์รุ่นที่หกของตระกูลเถิง เขาได้บรรลุมาถึงขั้นแกนลมปราณระดับต้นแล้ว เหตุผลหนึ่งที่เขามาได้ไกลเช่นนี้เพราะเกิดมาจากตระกูลเถิง อีกเหตุผลคือเขาเข้าสำนักจนกลายเป็นศิษย์ของบรรพชนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดของสำนักเทียนต้าว

ตระกูลเถิงมีทั้งหมดหกคนในสำนักเทียนต้าวและทั้งหมดต่างมีตำแหน่งที่ดีในสำนัก แน่นอนว่าตำแหน่งที่สูงที่สุดยังเป็นเถิงซวน นอกจากนี้อีกห้าคนมีระดับเพียงขั้นพื้นฐานลมปราณเท่านั้น

เถิงซวนรู้สึกพึงพอใจอย่างมากกับสิ่งที่เขามี ไม่ว่าจะเป็นคู่ฝึกตนหรือตำแหน่งในปัจจุบัน แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ไม่สามารถเทียบได้กับสมาชิกหลักของตระกูลเถิงแต่เขารู้ขีดจำกัดตัวเองดีและคนพวกนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถแข่งขันได้

แม้แต่ในเหล่าคนในตระกูลเถิงจะมีกี่คนที่สามารถแข่งกันกับเหล่าอัจฉริยะเช่นนั้นได้จริงๆ? เถิงซวนขอเพียงบรรลุขั้นแกนลมปราณระดับปลายได้ก่อนที่เขาจะตายเท่านั้นก็พอ

วันนี้น้องเล็กเถิงยู่ จะมาเยี่ยม เมื่อคิดถึงน้องเล็กตำแหน่งส่วนล่างของเขาพลันร้อนขึ้น เขาและน้องเล็กมีความลับด้วยกันหลายเรื่อง

ทั้งสองหลับนอนด้วยกันตั้งแต่ยังเยาว์วัยและเก็บเรื่องนั้นไว้เป็นความลับเรื่อยมา เถิงซวนรู้ว่าน้องเล็กเป็นคนลามกมาก เมื่อเติบโตขึ้นจึงมีคนอื่นๆในตระกกูลเถิงอยากชิมนางและแม้แต่คนในตระกูลรุ่นก่อนหน้ายังมีความสัมพันธ์กับนาง แต่เขาไม่สนใจ เมื่อไหร่ก็ตามที่คิดเรื่องวิชาบนเตียงกับน้องเล็กที่เรียนรู้ในสำนักเฮฮวนทำให้เขาแทบจะทนรอไม่ได้

เขารีบมาถึงกระท่อมหลังภูเขาด้วยความร้อนระอุในศีรษะ เขารีบเปิดประตูและทันใดนั้นร่างทรงเสน่ห์เปล่งกลิ่นหอมหวานตกลงในอ้อมแขนเขา

หวังหลินเดินทางมาอย่างรวดเร็วและเห็นสำนักอยู่บนยอดภูเขา มีคำสามคำอยู่เหนือประตูทางเข้าหลักว่า “สำนักเทียนต้าว”

หวังหลินไม่หยุดและพุ่งเขาหาสำนัก ทันใดนั้นม่านแสงปรากฎขึ้นเป็นค่ายกลป้องกันสำนักอันมหึมาเพื่อขัดขวางหวังหลิน เขาตบกระเป๋าและธงกฎเกณฑ์ปรากฎในฝ่ามือ หวังหลินส่ายธงและกฎเกณฑ์หลายสิบอย่างพุ่งเข้าหาม่านแสง

ไม่มีการลังเลใด ม่านแสงแตกสลายและเกิดเสียงดังกึกก้องทุกแห่งหนในสำนักเทียนต้าวพร้อมกับก้อนหินและฝุ่นปลิวว่อน

บรรพชนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดเพียงน้อยนิดออกมาจากการปิดด่านฝึกตนแทบในทันทีและมองไปที่ท้องฟ้าที่สั่นไหว

อสูรยุงที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าหวังหลินรับรู้ถึงจิตสังหารผู้เป็นน้อยและพุ่งตรงเข้าหาเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดอย่างรวดเร็ว เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดเหล่านั้นลอบสาแช่ง ขณะที่พวกเขากำลังจะนำสมบัติวิเศษของตนเองออกมาต่อสู้ หวังหลินส่งข้อความหนึ่งลงมาได้ยินทั้งสำนักราวกับทัณฑ์สวรรค์

“ข้ามีความข้องใจส่วนตัวกับลูกหลานตระกูลเถิง ใครที่ขวางข้าจะต้องตาย!”

หวังหลินใส่สัมผัสวิญญาณของตนเองไปเล็กน้อยในข้อความ ข้อความนี้เปล่งออกมาจากบนท้องฟ้าและลงไปข้างล่าง ข้อความราวกับเสียงคำรามผ่านทั้งสำนักเทียนต้าว เหล่าเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดที่ได้ยินต่างไอออกมาเป็นโลหิต ทำให้พวกเขาเผยใบหน้าหวาดกลัว

ขณะเดียวกันหวังหลินกระโดดออกมาจากอสูรหยุง สายตาจรดลงบนหนึ่งในศิษย์ของสำนักซวนต้าวอย่างรวดเร็วที่อยู่ในสี่เหลี่ยมนอกโถงหลัก ผู้เยาว์คนนั้นขวัญหนีทันที

หวังหลินยิ้มอย่างเหี้ยมโหด เขาสะบัดแขนและผู้เยาวลอยเข้ามาหาเขา ฝ่ามือกุมคอตนเองไว้ขณะพยายามจะเอ่ยอะไรบางอย่าง โชคร้ายนักแต่เขาไม่ควรมีชื่อว่า เถิง

หวังหลินบิดแขนขวาตนเองและเกิดเสียงดังกร๊อบ ดวงตาชายหนุ่มโป่งพองและเขาตายทันที แขนซ้ายหวังหลินตบกระเป๋าและนำธงวิญญาณออกมาดูดวิญญาณคนตระกูลเถิงในทันที

หวังหลินโยนร่างชายหนุ่มไว้เบื้องหลัง ในเวลาเดียวกันธงรูปมังกรยาวลอยออกมาจากกระเป๋าล้อมรอบร่างนั้นไว้และถูกอสูรยุงถือไว้

เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเห็นได้จากทุกที่ในสำนักเทียนต้าว หวังหลินสังหารคนผู้นี้อย่างรวดเร็วและหมดจด จากนั้นพุ่งไปที่โถงหลักตรงหน้าผู้เยาว์อีกคน เขาดูไม่พอใจและกำหมัดแน่น หลังจากนั้นก็ไม่ได้คลายหมัดออกอีกเลย

ทั้งหมดก็เพราะชื่อของเขาคือ เถิง!

ฝ่ามือขวาหวังหลินกระแทกใส่ศีรษะชายหนุ่ม อวัยวะภายในของเขาถูกทำลายและวิญญาณถูกใส่ไว้ในธงวิญญาณ ในสายตาหวังหลินไม่มีความสงสารขณะที่ร่างกายเคลื่อนไหวอีกครั้ง ขณะนั้นเหล่าเซียนขั้นวิญญาณของสำนักได้ไล่ตามทัน ชายใบหน้าสีแดงปรากฎเบื้องหน้าหวังหลินอย่างรวดเร็ว แม้เขาจะตกใจแต่ก็รีบพูดขึ้น “สหายเซียน โปรดหยุดก่อน หากมีปัญหาอะไร เราคุยกันได้”

หวังหลินกระทั่งไม่ได้มองชายคนนั้น ขอบเขตจวี่ของเขาเคลื่อนไหวทันที ในพริบตาแววตาชายใบหน้าสีแดงมืดลง เมื่อหวังหลินเคลื่อนผ่านจึงพลันกระแทกเขาทำให้ร่างกายและวิญญาณเซียนแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและตกลงสู่พื้น

น้ำเสียงหนาวเย็นราวเปล่งออกมาจากปากหวังหลิน “ใครก็ตามที่ต้องการหยุดข้าจงตายเหมือนกับตระกูลเถิง!”

จิตใจของเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดรอบๆพลันสั่นสะท้าน พวกเขาแข็งค้างและไม่กล้าเคลื่อนไหวอีกครั้ง

หวังหลินออกจากโถงหลักและเหาะเหินภายในสำนัก เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดทั้งหมดลังเล หนึ่งในนั้นนำหินหยกออกมาประทับข้อความไว้และโยนออกไป หินหยกลอยออกไปอย่างรวดเร็วและหายเข้าไปไกล

จากนั้นเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดทั้งหมดมองหน้ากันเอง พวกเขากัดริมฝีปากล่างและตัดสินใจติดตามหวังหลิน แม้ว่าจะไม่กล้าหยุดหวังหลิน แต่หากไม่กล้ากระทั่งติดตามเขาเช่นนั้นคงไม่เหมาะต่อบรรพชนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดจริงๆ

สตรีสุดสวยงดงามผู้หนึ่งเหาะเหินตรงเข้ามาหาสำนักซวนต้าวด้วยใบหน้าตื่นตระหนก นางไม่ต้องการตาย

สายตานางเต็มไปด้วยความหวาดกลัง นางไม่ต้องการตายแต่ว่านางมีชื่อ เถิง!

หวังหลินบดขยี้กระดูกสันหลังของนางอย่างโหเหี้ยม หลังเก็บวิญญาณนางมาได้เขาโยนร่างนางกลับไปเบื้องหลัง ธงมังกรลอยออกมาอีกครั้งและห่อหุ้มรอบร่างไว้ทำให้ในขณะนั้นมีอยู่สามร่างในธงมังกร

หวังหลินไม่หยุดเนื่องจากมีอีกสี่คนเหลืออยู่ สองในนั้นอยู่ในภูเขาด้านหลังและอีกสองคนกำลังวิ่งหนี หนึ่งในนั้นเกือบจะออกจากระยะค่ายกลสำนักเทียนต้าวแล้ว

ดวงตาหวังหลินเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง เขาเคลื่อนร่างและปรากฎตัวนอกสำนักเทียนต้าวทันที พลันเห็นผู้เยาว์คนหนึ่งกำลังบินตาเหลือกและมองกลับหลังต่อเนื่อง

ทว่าศีรษะของผู้เยาว์หันกลับไปและไม่มีโอกาสหันกลับมาอีกเลยเพราะเขาชื่อว่า เถิง!

หวังหลินสะบัดนิ้วไปที่หน้าอกผู้เยาว์ ร่างเขาสั่นสะท้านและตายทันที หวังหลินขังวิญญาณไว้ โยนร่างกลับไปที่ธงมังกรจากนั้นเข้าหาเป้าหมายถัดไป

เหล่าเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดติดตามเบื้องหลังเขาอย่างใกล้ชิดล้วนหวาดกลัว พวกเขาทั้งหมดคิดเหมือนกันว่า ตระกูลเถิงไปขัดใจปิศาจร้ายตนนี้เมื่อไหร่กัน?

ระดับฝึกฝนของปิศาจร้ายนี้เหนือจินตนาการ เขายังไม่ได้ไปต่อสู้กับเถิงฮว่าหยวน แต่กลับสังหารลูกหลานตระกูลเถิงที่นี่แทน ชัดเจนแล้วว่าเขามีความบาดหมางกับตระกูลเถิงอย่างลึกซึ้งและต้องการกวาดล้างทั้งตระกูล

เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดเหล่านี้พลันรู้สึกหนาวเย็นในใจและแต่ละก้าวของพวกเขาช้าลงอย่างไม่มีสติ

ดวงตาหวังหลินยังคงหนาวเหน็บขณะที่จิตสังหารค่อยๆห้อมล้อมร่างเขา หวังหลินยิ้มอย่างเหี้ยมโหดเมื่อจดจ้องไปคนที่ห้า เขาคนนี้แก่ที่สุดในทุกคนที่นี่ เส้นผมล้วนขาวโพลนแต่ระดับฝึกฝนไม่ได้สูงมาก มีเพียงขั้นพื้นฐานลมปราณระดับสูงสุดเท่านั้น

ใบหน้าชายชราไม่ได้แสดงอาการตื่นตระหนกหรือเศร้าโศกอันใดแต่กลับเคร่งเครียดแทน เมื่อเขาเหาะเหินจึงส่งข้อความผ่านหินหยกสื่อสารซ้ำแล้วซ้ำเล่าเต็มไป เติมด้วยสัมผัสวิญญาณเขาเล็กน้อยจากนั้นโยนออกไป

ถึงอย่างนั้นโชคชะตาของเขาถูกขีดเส้นแล้วเพราะเขาชื่อว่า เถิง!

เมื่อหวังหลินปรากฎเบื้องหน้าจึงหยุดขณะมองหวังหลินอย่างเฉื่อยชา “ผู้อาวุโสท่านเกิดความขุ่นเคืองอันใดกับตระกูลเถิงของเรากัน? นี่ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิด….”

หวังหลินไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำ เขาสะบัดแขนโดยไม่รอให้ชายชราพูดจบและกระบี่เหินสีดำลอยออกมาจากกระเป๋า กระบี่แทงเข้าหน้าอกชายราจนร่างเปลี่ยนเป็นสีดำ เขาตายก่อนที่จะทันพูดจบเสียอีก

หวังหลินผนึกวิญญาณ มัดร่างในธงมังกรและเหาะตรงไปที่หลังภูเขา

ทุกครั้งที่เถิงซวนเจอกับเถิงยู่ เขามักจะเปิดค่ายกลในกระท่อมหลังภูเขาเพื่อซ่อนตัวตนทั้งหมด ทว่านั่นหมายถึงเขาไม่สามารถรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นข้างนอกด้วยเช่นกัน แต่ในแง่ความปลอดภัยแล้วนี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด

นอกจากนั้นเขาและเถิงยู่เป็นพี่ชายและน้องสาว หากเขาถูกพบตัว ชื่อเสียงของเขาคงเสียหาย แม้ว่าเถิงยู่จะหลับนอนกับใครหลายคนมามากรวมถึงคนในตระกูลเถิง ผู้คนมักเก็บมันไว้ในใจและไม่เคยพูดออกมา หากเขาถูกจับได้บนเตียงกับนางเช่นนั้นเรื่องราวจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ซึ่งทำให้เขาไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นภายนอก ทั้งหมดที่เขาเห็นคือดวงตามีเสน่ห์และเรือนร่างละเอียดอ่อนของเถิงยู่เท่านั้น

หลังเสียงหอนสองสามครา เถิงซวนพุ่งใส่เถิงยู่ราวกับต้องการขย้ำนาง เถิงยู่กระตุ้นวิชาของสำนักเฮฮวนอย่างรวดเร็วและขณะนั้นทั้งคู่ก็ถึงจุดสุดยอดของร่างกาย

กล่าวได้ว่าเถิงซวนและเถิงยู่นับว่าโชคดี แม้ทั้งสองจะตาย แต่อย่างน้อยก็มีความสุขก่อนที่จะตายด้วยกัน

เถิงซวนสูดหายใจลึกสองสามครั้งและผละออกจากร่างเถิงยู่ ทว่าเขารับรู้สิ่งผิดปกติได้ทันทีเมื่อมีอีกคนในห้อง

หัวใจเขาสั่นสะท้านขณะที่กำลังจะเอ่ยคำพูด คนผู้นั้นเคลื่อนไหวในพริบตา และนั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาเห็น

เถิงยู่พึ่งจะลืมตาขึ้นมา นางเห็นศีรษะของเถิงซวนตกลงบนพื้นจึงกรีดร้องออกมาทันที ถึงอย่างนั้นเสียงกรีดร้องนี้ไม่ใช่เสียงร้องมีความสุขจากครั้งก่อน แต่เป็นเสียงกรีดร้องครั้งสุดท้ายในชีวิตนาง

ทั้งสองคนต้องตายเพราะเป็นพี่น้องที่ชื่อว่า เถิง!

หลังจากสังหารทั้งสองคน หวังหลินผนึกวิญญาณและหุ้มร่างกายพร้อมกับออกจากกระท่อม เหล่าเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดของสำนักทั้งหมดยืนข้างนอกกระท่อมด้วยความเงียบงัน หวังหลินกระทั่งไม่มองพวกเขาขณะกระโดดไปบนหลังอสูรยุงและจากไปพร้อมกับธงมังกรตามเบื้องหลังไป บนธงมังกรมีศพทั้งหมดเจ็ดร่าง

หวังหลินไม่หยุดเคลื่อนไหวขณะที่อสูรยุงบินห่างออกไปจากสำนักเทียนต้าว เมื่อจากไปไกลศพทั้งเจ็ดที่พันกับธงมังกรดูเหมือนกับหางนกยูงที่เปล่งแสงกระพริบ

จนเมื่อหวังหลินหายลับไปในเส้นขอบฟ้า พวกเขาทั้งหมดจึงถอนหายใจ หนึ่งในนั้นกระซิบขึ้น “ตระกูลเถิงจบสิ้นแล้ว…”

อีกคนหนึ่งพึมพำ “ไม่เพียงแค่ตระกูลเถิง ทั้งแคว้นจ้าวกำลังตกอยู่ในความโกลาหล” จากนั้นเขาสูดหายใจลึกและเอ่ยกับเหล่าอาวุโสของสำนักเทียนจ้าวที่มองไปทางนั้น “ส่งคำสั่งออกไปให้เรียกศิษย์ทั้งหมดที่ฝึกฝนข้างนอกกลับมา ตัดความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับตระกูลเถิงทั้งหมด ศิษย์คนไหนที่ฝึกฝนอยู่ข้างนอกและมีคู่ฝึกฝนกับสตรีตระกูลเถิงจะถูกไล่ออกจากสำนัก นับแต่วันนี้ไปเราจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเถิง”

หลังจากสังหารคนของตระกูลเถิงไปเจ็ดคน ดวงตาหวังหลินยังคงเยือกเย็น การกวาดล้างทั้งสายโลหิตนั้นหัวใจเขาต้องมั่นคง หากมีความอ่อนแอ เขาคงไม่อาจทำอะไรได้เด็ดขาดเมื่อยามจำเป็นและไม่สามารถผ่านเรื่องราวนั้นไปได้ นอกจากนั้นการกวาดล้างทั้งสายโลหิตไม่ใช่สิ่งที่คนทุกคนสามารถทำได้

เป้าหมายถัดไปของหวังหลินคือสำนักอีกแห่งที่อยู่ห่างออกไปหมื่นลี้ ที่นั่นมีคนของตระกูลเถิงอยู่จำนวนมากถึง 93 คน

หวังหลินไม่รีบ เขาต้องการสังหารพวกเขาช้าๆเพื่อให้เถิงฮว่าหยวนทนต่อความเจ็บปวดที่มองดูครอบครัวของเขาตายไปโดยไม่อาจทำอะไรได้ เขาต้องการให้เถิงฮว่าหยวนรู้สึกเจ็บปวดจนต้องฉีกหน้าอกตัวเองเพื่อดูว่าหัวใจเขายังไม่แตกเป็นเสี่ยงๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!