249. เป็นคนธรรมดา
หลังจากหวังหลินเข้ามาในแคว้นอันดับสี่ เขาไม่ได้เหาะเหินแต่เดินดินเช่นคนธรรมดา หวังหลินมองไปที่พื้นที่ต่างแดนแห่งนี้และถอนหายใจ
ไม่มีการบ่มเพาะวิธีใดที่สามารถช่วยทะลวงผ่านจากขั้นวิญญาณแรกกำเนิดไปถึงตัดวิญญาณได้ แม้กระทั่งเม็ดยายังไร้ประโยชน์ เว้นแต่ว่าจะมีเม็ดยาอันดับหกหรือสูงกว่า
การบรรลุถึงขั้นตัดวิญญาณนั้น คนผู้นั้นต้องเรียนรู้สวรรค์และได้รับเต๋าของตนเอง ซึ่งนั่นมีเพียงหนทางเดียว
หวังหลินไม่ต้องการเข้าร่วมสำนักใดที่อยู่ในแคว้นอันดับสี่เพราะเขารู้เรื่องนี้ การเข้าร่วมสำนักไม่ได้ช่วยเขาบรรลุเส้นทางขั้นตัดวิญญาณได้มากนัก
หากเขาต้องการเข้าร่วมสำนักและเป็นศิษย์หลัก นับว่าใช้เวลามากเกินไป เวลาที่เขาไม่ต้องการสูญเปล่า
จากประสบการณ์การฝึกฝนเซียนมาสี่ร้อยปีและประสบการณ์ต่อเซียนขั้นตัดวิญญาณคนอื่นๆ เขาเข้าใจแล้วว่าการรู้แจ้งสวรรค์นั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากต่อการบรรลุขั้นตัดวิญญาณ
หวังหลินได้เดินบนถนนแห่งโลหิตมาอย่างยาวนานและการสังหารทั้งหมดนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับการรู้แจ้งสวรรค์เลย เขารู้สึกได้ว่าหากเดินต่อไปบนเส้นทางนี้ เขาไม่อาจบรรลุขั้นตัดวิญญาณได้อีกชั่วชีวิต
แท้จริงแล้วระดับฝึกฝนของหวังหลินไม่ใช่ขั้นวิญญาณแรกกำเนิด ขอบเขตจวี่ได้ขัดขวางร่างหลักไม่ให้บรรลุขั้นตัดวิญญาณ ดังนั้นจึงมีเพียงร่างอวตารของเขาที่บรรลุขึ้นวิญญาณแรกกำเนิดเท่านั้น
หวังหลินเดินอยู่บนถนน ร่างหลักหวังหลินค่อยๆเปลี่ยนเข้าไปข้างในและหลับลึกลงไปพร้อมกับร่างอวตารของเขาออกมา
เพื่อศึกษาขอบเขตจวี่ของตนเอง ดังนั้นจึงไม่ยืนกรานที่จะทะลวงผ่านคอขวดขอบเขตจวี่ เขาจะไม่พึ่งพาขอบเขตจวี่ให้มากนัก นับตั้งแต่วันนี้ต่อไปมันจะเป็นเพียงสมบัติวิเศษอีกชิ้นของเขา
สมบัติในปัจจุบันของเขาอ่อนแอเกินกว่าจะทำร้ายเซียนขั้นตัดวิญญาณได้ การให้สมบัติชิ้นนี้ยกระดับแข็งแกร่งขึ้น เขาจำเป็นต้องใช้สมบัติสวรรค์ที่หายากอันเป็นที่สุดเช่นผลึกดาวเคราะห์เซียนของแคว้นอันดับหก
หลังจากยอมแพ้ต่อขอบเขตจวี่ หวังหลินจึงตัดสินใจใช้ร่างอวตารเพื่อเดินบนเส้นทางของเซียนธรรมดาคนหนึ่ง หากวันใดร่างอวตารบรรลุขั้นแปลงวิญญาณ เขาอาจจะมีโอกาสได้รับผลึก เมื่อนั้นที่เขาหลอมรวมมัน เขาอาจจะมีโอกาสทะลวงผ่านขอบเขตจวี่ได้
หวังหลินสูดหายใจลึกและนำขอบเขตจวี่ออกจากจิตใต้สำนึก เขาเข้าใจว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่เขาต้องทำก็คือการรู้แจ้งสวรรค์ แต่เขาใช้เวลาส่วนใหญ่บนเส้นทางแห่งความตายมามากและเส้นทางนี้ไม่สมบูรณ์ หากต้องการรู้แจ้งสวรรค์เช่นนั้นเขาต้องเริ่มจากการเป็นคนธรรมดา
หากใครต้องการเป็นเซียน อันดับแรกเขาต้องกลายเป็นคนธรรมดาก่อน
ก่อนที่เขาจะรู้เรื่องนี้ ความคิดของหวังหลินได้เปลี่ยนไปและแฝงความเข้าใจเล็กน้อย ทว่าคำใบ้นั้นเป็นเหมือนสายฟ้าและหวังหลินไม่อาจจับต้องได้
เขาครุ่นคิดชั่วครู่จากนั้นยิ้มขึ้นมา ระดับฝึกฝนของเขาหายไปราวกับหิมะกำลังละลาย หลังจากผ่านไปชั่วครู่เขาจึงดูไม่ต่างจากคนธรรมดาจริงๆ
แววตาหวังหลินเผยแสงประหลาดพร้อมกับคว้าใบไหม้แห้งขึ้น หวังหลินวางมันไว้ในปากเพื่อลิ้มรสชาติขณะเดินไปตามถนนหนทาง
แคว้นอันดับสี่แห่งนี้นับว่ากว้างใหญ่กว่าแคว้นจ้าวหลายเท่า มีเหล่าเซียนจำนวนมากและคนธรรมดามีจำนวนที่เกินกว่าจะจับได้
ขณะที่หวังหลินกำลังเดินไป เขาเห็นผู้คนผ่านไป ทั้งหมดต่างกำลังถือประเป๋า ซึ่งไม่เหมือนกับเขาดังนั้นหวังหลินจึงให้ความสนใจอย่างมาก
หวังหลินขบคิดเล็กน้อย เดินออกไปด้านข้างถนน รวบรวมกิ่งไม้เล็กๆและสร้างตระกร้าให้ตัวเอง เขารวบรวมใบไม้ปละสมุนไพรเพื่อเติมให้เต็มตระกร้า
หวังหลินเดินอยู่บนถนนอีกไม่กี่ชั่วโมงและเห็นชาวยุทธจากโลกธรรมดาขี่ม้าผ่านไป ไม่มีใครให้ความสนใจหวังหลิน
ทุกครั้งที่พวกม้าผ่านไป พวกเขาจะขึ้นจนเป็นฝุ่น ทว่าหวังหลินไม่ใส่ใจ เขาปัดสิ่งสกปรกบนเสื้อผ้าออกและเดินต่อไป แต่ครั้งนี้เขาเดินไปเล็กน้อยก่อนจะได้ยินเสียงด้านหลังตะโกนขึ้นว่า “หลีกทาง!”
สายลมรุนแรงหนึ่งพัดมาจากเบื้องหลัง หวังหลินรีบหลบหลีกไปด้านข้างอย่างรวดเร็วและเห็นม้าสีดำตัวหนึ่งเกือบชนเขาผ่านไป
หลังจากนั้นไม่นานมีม้าผ่านไปอีกหลายตัว
หนึ่งในนั้นกำลังชนหวังหลินขณะที่คนขับดึงบังเหียนขึ้น เจ้าม้าร้องเสียงดัง ขาคู่หน้าทั้งสองยกขึ้นและเคลื่อนไปด้านข้าง
ม้าตัวนั้นหยุดลงหลังจากไปข้างหน้าเพียงไม่กี่ก้าว ชายผู้กำลังขี่ม้าตอนนี้จอจ้องหวังหลิน เขาหยิบแส้ขึ้นและหวดมันเข้าใส่ศีรษะหวังหลินพร้อมกับร้องตะโกน “เจ้าคนตาบอดนี้มาจากไหน? เจ้าไม่มีตาหรือ?”
หวังหลินขมวดคิ้ว ทว่าเมื่อแส้กำลังหวดเข้ามา ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งออกมาจากด้านข้างคว้าแส้ไว้ และร้องตะโกน “จางซาน เจ้ากำลังทำอะไร?”
ชายคนนั้นหายใจออก เขาเก็บแส้กลับไป จ้องหวังหลินด้วยความโมโหและจากไป
ชายวัยกลางคนไม่หันไปมองเขาแต่หันเข้าหาหวังหลินและเอ่ยขึ้น “ขออภัยด้วยน้องชายที่ทำให้เจ้ากลัว ข้ายังมีเรื่องสำคัญ โปรดยกโทษให้ข้าด้วย”
หวังหลินส่ายศีรษะ “ไม่มีปัญหา” เช่นนั้นเขาจึงปัดฝุ่นบนเสื้อตัวเอง
ชายวัยกลางคนเผยแววตาประหลาดใจ จากมุมมองของเขา หวังหลินเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่มีแววของชาวยุทธ์ แต่ความกล้าหาญของหวังหลินสูงเกินกว่าคนทั่วไป
ชายวัยกลางคนมองหวังหลินอย่างละเอียด เขายิ้มและเอ่ยขึ้น “ข้าลู่ซิง ถนนสายนี้มุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลวง ข้าสงสัยว่าน้องชายจะไปเมืองหลวงทำไมกัน?” เช่นนั้นเขาเห็นตระกร้าด้านหลังหวังหลินและถามด้วยความประหลาดใจ “หรือน้องชายเป็นแพทย์พเนจร?”
หวังหลินไม่ได้แก้ตัวและพยักหน้า
ชายวัยกลางคนยิ้มแย้ม เขาคำนับและกระโดดขึ้นไปบนม้า ทันใดนั้นเจ้าม้าส่งเสียงร้อง แทนที่เขากลับหลังแทนที่จะตรงไปเบื้องหน้า
หวังหลินหันตัวกลับไปและเห็นรถม้าคันหนึ่งเคลื่อนข้างหน้าเข้ามาอย่างช้าๆห่างจากเขาหนึ่งร้อยเมตร
หนึ่งชั่วโมงถัดมา รถม้าค่อยๆปรากฎเบื้องหลังหวังหลิน มีคนมากกว่าร้อยคนคุ้มกันบนรถ สายตาพวกเขาเปล่งประกาย ศีรษะตั้งตรง ทั้งหมดเป็นนักรบระดับสูงอย่างชัดเจน
ลู่ซิงอยู่บนข้างรถม้า เขาใกล้เพื่อพูดคุยกับคนข้างใน
ถนนสายนี้ไม่กว้างนักดังนั้นจึงเห็นรถม้าได้ หวังหลินยืนอยู่บนด้านข้างถนน ขณะที่รถม้าผ่านเขาไป คนสี่คนบนรถม้าปรากฎเบื้องหน้าเขาเพื่อกันจากรถม้า
ลู่ซิงหันมามองหวังหลินและดวงตาเปล่งประกาย เขาเคลื่อนตัวไปถัดจากหวังหลินจากนั้นคำนับขึ้น “น้องชาย เจ้ามีเม็ดยาใดสำหรับโรคลมปิศาจไหม?”
หวังหลินรู้เลยว่าคนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นแพทย์ ด้วยอารมณ์ของเขาตามปกติแล้วจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เขาเข้าใจบางอย่างในทันใด การบรรลุขั้นตัดวิญญาณเขาจะต้องรู้แจ้งสวรรค์ โอกาสนี้อาจจะเป็นการเข้าสู่โลกของคนธรรมดา
เมื่อคิดเรื่องนี้หวังหลินจึงถามขึ้น “มีคนป่วยหรือ?”
ชายวัยกลางคนลังเลเล็กน้อยและเอ่ยขึ้น “สาวรับใช้คนหนึ่งป่วยและเรายังไกลจากตัวเมือง แพทย์รอบๆที่นี่พยายามให้นางกินโอสถ แต่ไม่มีคนไหนใช้ได้”
หวังหลินชำเลืองมองไปที่รถม้าและเอ่ยขึ้น “มาให้ข้าดูคนป่วย”
ลู่ซิงยิ้มบิดเบี้ยวและเอ่ยขึ้น “น้องชาย เจ้ามีโอสถที่ช่วยได้ไหม? หากเจ้าไม่มีก็ไม่จำเป็นต้องดูคนป่วย”
ขณะนั้นน้ำเสียงชราหนึ่งดังออกมาจากรถม้า เขากล่าวขึ้น “ลู่ซิง คนคนนี้เดินทางมามากนัก เช่นนั้นเขาอาจจะมีหนทางรักษา”
ลู่ซิงตอบอย่างรวดเร็ว เขากระโดดลงจากม้าและเอ่ยขึ้น “ข้าขอรบกวนน้องชายแล้ว”
หวังหลินติดตามลู่ซิงเข้าไปในรถม้าและเมื่อขึ้นไปเขาก็เห็นชายชรากระแอมอยู่ข้างใน ลิ่วซิงรีบหยุดหวังหลินทันทีและเอ่ยขึ้น “น้องชายเพียงแค่ดูจากตรงนี้ ไม่จำเป็นต้องเข้าไปข้างใน”
หวังหลินขมวดคิ้ว ต้องขอบคุณสัมผัสวิญญาณเขาจึงรู้ว่ามีคนสามคนอยู่ในรถม้า นอกจากชายชรายังมีสตรีสุดสวยอีกสองคน เป็นเรื่องชัดเจนว่าพวกเขาเป็นเจ้านายและคนรับใช้ของนางคนที่กำลังป่วยไม่ใช่คนรับใช้แต่เป็นเจ้านาย ด้วยสัมผัสวิญญาณของเขา หวังหลินจึงเห็นได้ชัดเจนว่าสตรีคนนั้นไม่ได้ป่วยจากโรคลมปิศาจที่เข้าไปในร่างกาย แต่มาจากควันสีเขียวในร่าง นางถูกพิษชัดเจน
หวังหลินกล่าว “ยื่นมือที่ป่วยออกมา”
สตรีข้างในรถม้าลังเลเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือออก หวังหลินจับมือของนางเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือตนเองเข้าไปตระกร้า เขานำใบไม้หนึ่งใบออกมาและส่งพลังปราณผ่านไปหนึ่งครั้ง
หวังหลินยื่นใบไม้ให้กับลิ่วซิงและเอ่ยขึ้น “ให้นางกินมันสดๆและนางจะหายขาดในพรุ่งนี้”
ลิ่วซิงมองใบไม้ในมือเขาและเผยใบหน้าประหลาดใจ ไม่ว่าเขาจะดูยังไง มันเป็นเพียงใบไม้เท่านั้น ลิ่วซิงยิ้มอย่างขมขื่นขณะคิดว่าเขาเข้าใจชายหนุ่มผิด ชัดเจนแล้วว่าชายหนุ่มไม่ใช่แพทย์แต่เป็นคนบ้า
ไม่เช่นนั้นใครจะใช้ใบไม้นี้มาเป็นตัวยากัน? หากใบไม้นี้เป็นการรักษาจริงเช่นนั้นใครก็ตามสามารถคว้าทั้งก้านจากข้างทางมาก็ได้ใช่ไหมเล่า
เขากำลังจะโยนใบไม้นั้นออกไปทว่าม่านในรถม้าถูกยกขึ้นทันที ชายชราเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวยื่นออกมาและคว้าใบไม้ไว้ หลังจากมองมันอยู่นานใบหน้าเขาเปลี่ยนไปและเอ่ยขึ้น “ใบไม้ร้อยปี!”
เขาสูดหายใจลึก มองหวังหลินด้วยความไม่เชื่อสายตาและถามขึ้นอย่างเคารพ “มีเคล็ดใดในการใช้ใบไม้นี้หรือ?”
หวังหลินยิ้มบางและเอ่ยขึ้น “กินมันสดๆนับว่าดีแล้ว”
ชายชราพยักหน้าอย่างรวดเร็ว เขามองเข้าหาลิ่วซิงและกลับเข้าไปในรถม้าตามเดิม
ลิ่วซิงมองหวังหลินด้วยใบหน้าประหลาดใจ เขายิ้มบูดเบี้ยวอย่างช่วยไม่ได้และเอ่ยขึ้น “น้องชาย นับตั้งแต่ที่เจ้าจะไปเมืองหลวงเหมือนกัน มาเดินทางกับเราไหม?”
หวังหลินยิ้ม “ข้าต้องการม้า”
หลังลิ่วซิงได้ยินเช่นนั้นเขาพูดทันที “ซุนเล่าเอ๋อร์ ส่งม้าของเจ้าไป”
ชายหนุ่มอายุราวยี่สิบปียิ้มอย่างขมขื่น เขาลงจากม้าและยื่นมันให้ หลังพึมพำสองสามคำจึงหันกลับและจากไป