254. ไม่เคยเห็นมันมาก่อน
หวังหลินคว้าทองบนโต๊ะและโยนใส่ตระกร้าเล็กโดยไม่หันมามอง
เรื่องไม้แกะสลักในร้าน นอกจากครอบครัวและคนที่เขารัก เขาไม่สนใจชิ้นอื่น ในสายตาเขาของพวกนี้เป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น เครื่องมือที่ช่วยให้จิตใจสงบและเข้าใจสวรรค์
เขาเชื่อว่าเมื่อสามารถแกะสลักรูปปั้นของเซียนขั้นตัดวิญญาณหรืออสูรวิญญาณได้ ระดับฝึกฝนของเขาจะมีความก้าวหน้า
ต้าหนิวออกจากร้านด้วยความมึนงง เขาเดินไปพร้อมกับพึมพำกับตัวเองไปด้วยโดยไม่มีใครรู้ว่ากำลังพึมพำเรื่องอะไร
หวังหลินดื่มเหล้าผลไม้ไปหนึ่งอึกและจมไปกับการแกะสลักอีกครั้ง เมื่อแกะสลัก ขี้เลื่อยจะตกลงบนพื้นและท่อนไม้เป็นรูปร่างขึ้นมา กลิ่นอายทรงพลังออกมาจากการแกะสลักแต่มันไม่ได้กระจายออกและถูกขังไว้ข้างในไม้แกะสลักแทน
ทุกๆเส้นจากการใช้มีดแกะสลัก กลิ่นอายจะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น รูปร่างมังกรตัวใหญ่ค่อยๆปรากฎบนท่อนไม้แต่มีดแกะสลักของไว้หลังเริ่มที่จะลังเล
เขาครุ่นคิดอยู่พักใหญ่และค่อยถอนหายใจ มีดแกะสลักหายไปจากฝ่ามือ ส่วนอีกมือหนึ่งเขาโยนไม้แกะสลักที่ไม่สมบูรณ์เข้าไปในกล่องใหญ่อย่างลวกๆ ข้างในกล่องนั้นมีไม้แกะสลักที่ไม่สมบูรณ์มากกว่าสิบชิ้น
หากมองเข้าไปใกล้ๆ จะเห็นได้ว่ามีหลากหลายแบบทั้งคนและอสูรวิญญาณ เช่นเมิ่งหลังค่อม จักรพรรดิโบราณ จ้าวปิศาจหกปรารถนา อสูรวิญญาณระดับสูงและกระทั่งอสูรเดียวดาย…
แม้ว่าไม้แกะสลักทั้งหมดนี้แตกต่างกัน สิ่งหนึ่งที่พวกมันมีก็คือระดับขั้นสูงเท่าเทียมตัดวิญญาณ
ในปีที่ผ่านมานี้ หวังหลินพยายามแกะสลักคนหรืออสูรวิญญาณที่มีระดับขั้นตัดวิญญาณอยู่หลายครั้ง แต่ทั้งหมดล้มเหลว หากเขาบังคับให้ตนเองแกะสลักสำเร็จ ไม้แกะสลักจะกลายไปเป็นฝุ่นผง
เขาขบคิดเล็กน้อยพร้อมกับปิดตา ทันใดนั้นสารสีแดงหนาเท่าหนึ่งฝ่ามือปรากฎรอบตัวเขา
สารสีแดงคือกลิ่นอายปิศาจที่เขาควบแน่นในปีที่ผ่านมา หวังหลินพึงพอใจอย่างมากกับผลลัพธ์นี้ แท้จริงแล้วเขาไม่ได้บังคับให้ควบแน่นกลิ่นอายปิศาจ มันเกิดขึ้นโดยธรรมชาติจากการกระทำของเขา
หวังหลินเชื่อว่าอีกหนึ่งปี เขาจะบีบอัดกลิ่นอายปิศาจนี้จนถึงขีดสุด ซึ่งจะทำให้กำจัดกลิ่นอายปิศาจที่มันขัดขวางไม่ให้เขายกระดับออกไปได้
แต่หวังหลินเชื่อมาตลอดว่าหากเขาทำให้กลิ่นอายปิศาจนี้หายไป เขาจะเสียใจในอนาคต มันคือสัญชาตญาณของเซียนที่รู้ได้ว่ามันอาจจะเป็นสิ่งจำเป็นในอนาคต ซึ่งทำให้หวังหลินตัดสินใจควบแน่นกลิ่นอายปิศาจนี้
พ่อของต้าหนิวส่งเสียงออกมาจากข้างนอก “น้องหวัง วันนี้น้องสะใภ้ของเจ้าทำอาหารดีดีมาให้ เข้ามากินด้วยกันแล้วพี่น้องเราค่อยดื่มสักสองสามจอก”
ดวงตาหวังหลินเปิดขึ้นทันทีเผยให้เห็นแสงโบราณ แสงนั้นค่อยๆหายไปและหวังหลินกลับมาเป็นคนธรรมดา เขาถือไหเดินไปสองก้าว จากนั้นลังเลเล็กน้อยก่อนจะคว้าทองจากตระกร้าและเดินออกไป
ส่วนเรื่องชายหนุ่มชื่อซิ่วนั้น ตอนนี้เขานั่งอยู่ในรถม้า หัวใจเต้นรัวขณะถือห่อของไว้ในมือ ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
เขาไม่คิดว่าการไปเยี่ยมบ้านเพื่อเจอครอบครัวจะทำให้เขาพบคนที่สามารถสร้างไม้แกะสลักรูปแบบนี้ได้ กล่าวได้ว่างานอดิเรกของราชาคือการเก็บสะสมสิ่งของประเภทนี้
ไม่ว่ามันจะสร้างมาจากหินหรือไม้ ไม่เกี่ยวกับว่าเป็นวัตถุดิบแบบไหน ตราบใดที่มันเป็นประติมากรรม พระราชาชอบมันทั้งหมด
และเจ้าชายเป็นลูกกตัญญูมาก หากเขานำสิ่งนี้ไปให้เจ้าชาย เขาจะได้รางวัลอย่างงาม เมื่อคิดเรื่องนี้ชายหนุ่มนามว่าซิ่วจึงสูดหายใจลึก
กลุ่มของเขาเป็นรถม้ามากกว่าสิบคันมุ่งผ่านเมืองหลวงอย่างรวดเร็วแต่เขายังอยากให้ไปเร็วๆเพื่อที่จะกลับไปพระราชวังเร็วๆ
หลังจากเวลาผ่านไปพักใหญ่ รถม้าหยุดลง ชายหนุ่มนามว่าซิ่วปิดประตูอย่างรวดเร็วและรีบเร่งเข้าไปในวัง
ในลานทางทิศตะวันออก ชายหนุ่มหยุดลงเบื้องหน้าสิ่งก่อสร้างที่ดูงามสง่าและเอ่ยขึ้น “เจ้าชาย ซิ่วเต๋ามีความประสงค์จะขอเข้าพบด้วยเรื่องสำคัญ”
หลังผ่านไปชั่วครู่น้ำเสียงเกรียจคร้านดังออกมาจากเบื้องหน้า “ซิ่วเต๋า เจ้าไม่ได้กลับไปเยี่ยมญาติหรอกรึ? ทำไมกลับมาเร็วนักเล่า? หากมีสิ่งใดเราค่อยพูดกันพรุ่งนี้ก็ได้”
ซิ่วเต๋าสามารถได้ยินเสียงร้องครวญครางและเสียงหอบจากในวังได้ เขาลังเลเล็กน้อย ปกติแล้วมันไม่ใช่เวลาที่จะรบกวนองค์ชายจริงๆแต่เขามั่นใจกับของที่กำลังถืออยู่ เขากัดฟันแน่นและเอ่ยขึ้น “องค์ชาย ข้ามีเรื่องสำคัญจริงๆ ตอนที่ข้ากลับไปบ้าน ข้าได้พบไม้แกะสลักชิ้นหนึ่ง หากพระราชาเห็นไม้แกะสลักชิ้นนี้ เขาต้องมีความสุขแน่นอน”
เสียงเงียบออกมาจากในวัง ผ่านไปชั่วครู่ น้ำเสียงไม่พอใจดังออกมา “เข้ามาก่อน หากของชิ้นนี้ไม่ดีอย่างที่เจ้าพูด เช่นนั้นเจ้าจะถูดงดรายรับของเดือนนี้”
ซิ่วเต๋ารีบเดินเข้าไปในวังและเห็นเตียงใหญ่ปกคลุมไปด้วยม่าน ชายหนุ่มใบหน้าซีดเล็กน้อยนั่งอยู่ที่ขอบเตียง แววตาโศร้าโศกเล็กน้อย
ซิ่วเต๋าวางเสื้อคลุมตัวเองลงบนพื้น จากนั้นเปิดมันขึ้นมาอย่างระมัดระวังเผยให้เห็นเป็นมังกรแกะสลักข้างใน
เมื่อชายหนุ่มเห็นไม้แกะสลัก แววตาพลันเฉียบคมทันที เขายืนขึ้นและเดินเข้าหาไม้แกะสลักอย่างรวดเร็ว พลันยืนมือออกไปคว้าไม้แกะสลักในมือขวา
ขณะที่ซิ่วเต๋ากำลังจะกล่าวเตือนชายหนุ่ม เขาพลันได้ยินเสียงร้อง ชายหนุ่มสะบัดแขนและไม้แกะสลักหายไป “เยี่ยมมาก! ซิ่วเต๋า เจ้าทำได้ดีทีเดียว!”
เช่นนั้นเขาตบกระเป๋าผุพังที่ห้อยไว้ข้างเอว ทันใดนั้นควันสีม่วงออกจากจากกระเป๋าล้อมรอบชายหนุ่ม ควันหายไปและชายหนุ่มได้สวมชุดคลุมสีม่วงในตอนนี้
เมื่อควันสีม่วงปรากฎขึ้น ลมโชยพัดผ่านห้องจนเกิดม่านออกเล็กน้อย เสียงร้องเย้ายวนดังออกมาจากบนเตียงขณะที่เผยให้เห็นร่างสุดสวยสองสาว
ดวงตาซิ่วเต๋ามองพวกเขาโดยไม่ตั้งใจ เขาหันสายตาออกไปอย่างยากลำบากทั้งไม่กล้ามองดู
ชายหนุ่มไม่ใช่คนธรรมดาแต่เป็นเซียนคนหนึ่ง ทว่าระดับฝึกฝนของเขาไม่ได้สูงมากมีเพียงระดับขั้นรวบรวมลมปราณระดับแปดเท่านั้น
เขามองไปที่ซิ่วเต๋าและสังเกตสายตาของซิ่วเต๋าได้ เขาหัวเราะและเอ่ยขึ้น “เม่ยจี่ ออกมา วันนี้เจ้าเป็นของซิ่วเต๋า”
เสียงเย้ายวนตอบรับจากบนเตียงขณะที่ร่างสุดสวยเดินออกมา นางเดินอย่างสบายๆคว้าซิ่วเต๋าที่ตกตะลึงและออกไปกับเขาไปที่ประตูข้างๆ
แววตาชายหนุ่มส่องสว่างขึ้นและออกไปจากวังอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มเดินตรงไปที่พระราชวังกลาง เมื่อเขาอยู่ประตูข้างนอก เขาได้ยินเสียงเพลงและดนตรีดังอึกทึกพร้อมกับเสียงหัวเราะของท่านพ่อออกมาจากข้างใน
ข้างนอกห้องโถงมีทหารยามยืนเรียงรายหลายแถว เมื่อพวกเขาเห็นองค์ชาย ทั้งหมดจึงคุกเข่าหนึ่งข้าง ชายหนุ่มเดินผ่านพวกเขาอย่างรวดเร็วและเข้าไปในโถงหลัก
ข้างในห้องโถงเป็นโต๊ะเล็กสองตัวพร้อมกับเซียนคนหนึ่งยืนด้านหลังโต๊ะแต่ละตัว เหล่าเซียนสวมชุดคลุมที่มีสีแตกต่างกัน หนึ่งดำและหนึ่งเขียว
ดวงตาเซียนชุดดำปิดลง เขาไม่สนใจในเสียงเพลงและการเต้นรำ
เซียนชุดคลุมสีเชียวกำลังยิมขณะเฝ้าดูนักร้องและนักเต้นกำลังร่ายรำ
เหนือห้องโถงหลักมีชายวัยกลางคนหน้าตาหล่อเหลานั่งอยู่ ชายวัยกลางคนดูมีบารมีและเป็นผู้ปกครองที่นี่
หลังจากชายหนุ่มเข้ามาในห้องโถง ชายวัยกลางคนหัวเราะละเอ่ยขึ้น “ทำไมเจ้าไม่ไปสนุกสนานในวังชมพูเล่า? ทำไมถึงมาเจอคนแก่ที่นี่กัน?”
ชายหนุ่มคารวะสองเซียนอย่างเคารพจากนั้นมองชายวัยกลางคนและเอ่ยขึ้น “ท่านพ่อ โปรดดูของสิ่งนี้” เช่นนั้นเขานำไม้แกะสลักรูปมังกรออกมาวางมันบนพื้น
ขณะนั้นเซียนชุดเขียวซึ่งกำลังมองนักแสดงพลันจดจ้องไปที่ไม้แกะสลัก ชายวัยกลางคนมีประกายตาส่องสว่างขึ้นเช่นกัน เขาสะบัดแขนและนักแสดงทั้งหมดกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
เซียนชุดคลุมสีเขียวยืนขึ้นทันทีและเดินเข้าหาไม้แกะสลัก เขามองการแกะสลักอย่างละเอียดถี่ถ้วน สูดหายใจลึกและเอ่ยขึ้น “นี่คือ…” เขาเดาได้ในใจเรียบร้อยแล้วแต่ไม่มั่นใจ
ชายชุดดำซึ่งหลับตามาตลอดพลันเปิดตาขึ้นและเอ่ยอย่างช้าๆ “นี่คือไม้แกะสลัก”
ชายชุดเขียวเบื้องหน้าไม้แกะสลักพลันตกตะลึง จากนั้นยิ้มอย่างบูดเบี้ยว “ศิษย์พี่ ข้ารู้ว่ามันเป็นไม้แกะสลัก ข้ากำลังอ้างถึงว่ามันเป็นการแกะสลักของตัวอะไร”
เซียนชุดดำที่ถูกกล่าวถึงพลันครุ่นคิดและเอ่ยอย่างช้าๆ “ข้าไม่เคยเห็นมันมาก่อน”
เซียนชุดเขียวยิ้มอย่างขื่นขม เขาเคยชินกับความแปลกประหลาดของศิษย์พี่แล้ว
ชายวัยกลางคนจ้องไม้แกะสลักและยิ้ม “เซียนผู้อาวุโสทั้งสอง มีสิ่งใดแปลกประหลาดเกี่ยวกับไม้แกะสลักชิ้นนี้หรือ?”
เซียนชุดเขียวซึ่งอยู่ใกล้ไม้แกะสลักพลันคว้าขึ้นมา ทันใดนั้นเขาสัมผัสถึงกลิ่นอายโบราณออกมาได้ กลิ่นอายนี้ทรงพลังมากจนทำให้เขาตกใจ ด้วยระดับขั้นพื้นฐานลมปราณระดับกลางของเขา เขารู้สึกว่าราวกับพื้นฐานกำลังแตกเสียหาย น่าหวาดกลัวนัก เขารีบปล่อยไม้แกะสลักอย่างรวดเร็ว
ศิษย์พี่สะบัดแขนเสื้อและไม้แกะสลักลอยเข้าสู่แขนของเขา ใบหน้าเซียนคนนี้พลันซีดขาวขณะที่แกนพลังเริ่มไม่เสถียร มันใช้เวลาพักใหญ่ก่อนที่เขาจะสามารถควบคุมความปั่นป่วนในแกนพลังของเขาได้อีกครั้ง
ยิ่งมีระดับฝึกฝนสูงขึ้นยิ่งได้ผลกระทบต่อการแกะสลักของหวังหลิน แต่หากพวกเขาเป็นคนธรรมดา ผลกระทบจะเล็กน้อยมาก
ชายชุดดำเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ “ของสิ่งนี้ไม่ใช่ไม้แกะสลักธรรมดา สิ่งมีชีวิตที่ถูกแกะสลักไว้แทบจะเหมือนกันกับมังกรในบันทึกโบราณของสำนักเรา”
เซียนชุดเขียวพูดขึ้นด้วยใบหน้าประหลาดใจ “ศิษย์พี่ ท่านไม่ได้พูดมาก่อนหรอว่าไม่เคยเห็นมันมาก่อน? ทำไมท่านมาพูดเรื่องว่ามันเป็นมังกรตอนนี้เล่า?”
เซียนชุดดำมองไปที่เซียนชุดเขียวอย่างแปลกใจ เขาเอ่ยขึ้นด้วยแววตาเต็มไปด้วยความอัศจรรย์ใจ “ศิษย์น้อง ในที่สุดข้าก็เข้าใจว่าทำไมระดับฝึกฝนของเจ้ายังทะลวงผ่านไปไม่ได้…”
เซียนชุดเขียวใบหน้าบิดเบี้ยว เขาไม่ได้กล่าวสิ่งใด
เซียนชุดดำถอนหายใจและเอ่ยขึ้น “ข้าไม่เคยเห็นอสูรตัวนี้แกะสลักออกมา แต่ข้าไม่ได้พูดว่าข้าจดจำมันไม่ได้ว่ามันคือสิ่งใด”
จิตใจเซียนชุดเขียวไม่มั่นคงเพียงพอดังนั้นเขาจึงไอออกมาเป็นโลหิต หลังเวลาผ่านไปพักใหญ่เขาจึงสงบจิตใจตัวเองและหัวเราะอย่างขื่นขม เขารู้สึกว่าไม่สามารถต่อกรกับพี่ใหญ่คนนี้ได้จริงๆ