Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 505

Cover Renegade Immortal 1

505. สำนักเสี่ยวหยวน

ดาวเคราะห์เทียนหยุนคือดาวเคราะห์เซียนอันดับเจ็ดที่อยู่ภายใต้สมาพันธ์เซียน

กล่าวได้ว่าท่ามกลางเหล่าดาวเซียนอันดับเจ็ดนั้นดาวแห่งนี้ถือว่าอยู่ชั้นแนวหน้าและนั่นก็เป็นเพราะมีคนชื่อว่าเทียนหยุนอยู่บนดาวเคราะห์เทียนหยุน

เทียนหยุนถือได้ว่าเป็นเซียนที่มีคนเคารพยกย่องอย่างมากในรุ่น เขากระทั่งมีที่นั่งในสมาพันธ์เซียน! ทั้งยังเป็นคนที่ใครต่อหลายคนไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวด้วย!

ดาวเคราะห์เซียนอันดับเจ็ดโดยปกติคือมีดาวเคราะห์เซียนระดับหกหลายแห่งอยู่ภายใต้การควบคุมเพื่อเกื้อหนุนพลังของตนเอง แต่นี่ไม่ใช่ความจริงสำหรับดาวเคราะห์เทียนหยุน

มีดาวเคราะห์เซียนอยู่ห้าดาวที่วนรอบดาวเทียนหยุน ทั้งหมดเป็นดาวเคราะห์เซียนระดับหกโดยมีชื่อว่า สวรรค์ ปฐพี มนุษย์ ชีวิต และโชคชะตา

มีค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่เชื่อมต่อดวงดาวเหล่านี้มาที่ดาวเทียนหยุน ทว่าด้วยราคาของการเปิดใช้มันจึงไม่ใช่เรื่องง่าย

นอกจากดาวเคราะห์ห้าดวงเหล่านี้ยังมีดาวเคราะห์ที่เล็กกว่าอีกหลายดวงรอบดาวเทียนหยุน ทั้งหมดเป็นถ้ำฝึกตนส่วนตัวของเหล่าพวกเฒ่าสัตว์ประหลาด ถึงแม้จะมีค่ายกลเคลื่อนย้ายเชื่อมต่อกันแต่ปกติจะถูกปิดผนึกไว้และไม่ได้เปิดขึ้นง่ายๆ

ณ ส่วนทิศตะวันออกของดาวเทียนหยุนมีค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ค่ายกลเคลื่อนย้ายแห่งนี้ถูกควบคุมโดยสำนักชะตาสวรรค์และมีคนประจำการที่นี่ตลอดปี

จ้าวจื่อเป็นหนึ่งในผู้รับผิดชอบบริเวณนี้ เขาตื่นขึ้นยามเช้าและนั่งสมาธิอยู่นอกค่ายกลตั้งแต่นั้น

จ้าวจื่อเป็นศิษย์ของกองกำลังสีเขียวในรุ่นที่ห้า เขาฝึกฝนมาเจ็ดร้อยปีและบรรลุขั้นตัดวิญญาณระดับกลางแล้ว ยิ่งมากเข้าก็ยิ่งพึงพอใจในชีวิตน้อยลง กล่าวได้ว่าการเป็นศิษย์สำนักชะตาสวรรค์ทำให้เขามีสถานะสูงขึ้นบนดาวแห่งนี้ เขาไปที่ไหนจะเป็นที่ชื่นชมและถูกคนอื่นเคารพ

จ้าวจื่อลืมตาขึ้นและถอนหายใจยาว

“อีกเพียงสามเดือนเท่านั้นจะมีคนอื่นมาแทนที่ข้า เมื่อข้ากลับไปที่สำนักข้าจะต้องปิดด่านฝึกตนอีกหลายปีเพื่อดันตัวเองให้ขึ้นระดับปลายขั้นตัดวิญญาณ​เมื่อข้าบรรลุขั้นนั้นข้าจะสามารถออกไปฝึกฝนนอกสำนัก หากข้าได้หินหยกสวรรค์ด้วยตัวเอง เมื่อนั้นข้าจ้าวจื่ออาจจะมีโอกาสบรรลุขั้นแปลงวิญญาณได้จริงๆ!”

ขณะที่กำลังคิดเรื่องนี้ดวงตาจ้าวจื่อก็ทอดมองออกไปไกล

“น่าเสียดายที่โชคของข้าไม่ค่อยดี หากข้าโชคดีเป็นคนที่ท่านบรรพชนรับเป็นศิษย์ของผู้ก่อตั้งโดยตรงเช่นนั้นคงไม่มีปัญหา ตั้งแต่ที่จำความได้ข้าก็ฝันจะบรรลุขั้นเทวะ ข้าคงมีดาวเคราะห์สำหรับฝึกฝนของตัวเอง นั่นจะเป็นสิ่งที่มีความสุขที่สุดในโลก…”

จ้าวจื่อยิ้มอย่างขมขื่นจากนั้นสูดหายใจลึกและบ่มเพาะต่อไป

ชั่วขณะนั้นลำแสงสีม่วงเส้นหนึ่งข้ามผ่านท้องฟ้าราวกับอุกกาบาตและพุ่งจนเกิดการทำลายกำแพงเสียง ในไม่ช้าแสงสีม่วงก็เข้ามาใกล้และอยู่ห่างออกไปเพียงหนึ่งหมื่นฟุตเท่านั้น

ใบหน้าจ้าวจื่อเคร่งเครียด เขามองลำแสงสีม่วงที่กำลังเข้ามาด้วยสีหน้าเยือกเย็นโดยไม่ได้ลุกขึ้นยืน

ในทุกๆวันมีน้อยคนนักที่จะใช้ค่ายกลเคลื่อนย้าย นอกจากเซียนที่แข็งแกร่งไม่กี่คนแล้วแม้พวกเขาจะมีระดับบ่มเพาะสูงกว่าตน จ้าวจื่อยังมองลงต่ำใส่พวกเขาเพราะจ้าวจื่อเป็นศิษย์ของสำนักชะตาสวรรค์!

ขณะที่ดวงอาทิตย์เริ่มทอแสงในท้องฟ้า ลำแสงสีม่วงก็ค่อยช้าลงทำให้จ้าวจื่อเห็นคนที่อยู่ข้างในนั้น

คนผู้นี้ศีรษะมีเส้นผมยาวพริ้วไสวไปด้านหลัง สวมชุดคลุมสีม่วงและมาถึงเบื้องหน้าจ้าวจื่อห่างออกไปเพียงสิบฟุต เขามองจ้าวจื่อด้วยท่าทีเย็นชา

สายตาจ้าวจื่อตกลงบนป้ายที่อยู่บนเอวเขา บนป้ายมีคำว่า “เจ็ด” สลักไว้อย่างชัดเจน

ขณะที่เขาเห็นป้าย ร่างจ้าวจื่อเริ่มสั่นเทา เขายืนขึ้นและกล่าวอย่างเคารพโดยไม่มีอาการลังเล “ศิษย์จ้าวจื่อรุ่นที่ห้าแห่งกองกำลังสีเขียว ขอคารวะท่านบรรพชนลำดับเจ็ดแห่งกองกำลังสีม่วง!”

การกระทำของจ้าวจื่อตอนนี้เต็มไปด้วยความเคารพอย่างยิ่งแต่จิตใจเขาเต้นรัว แม้เขาจะไม่มีคุณสมบัติเพียงพอในการเข้าร่วมงานเลี้ยงเฉลิมฉลองวันเกิดของบรรพชนผู้ก่อตั้ง เขาก็ยังได้ยินเสียงเล่าลือ

ท่ามกลางข่าวลือนี้มีข่าวหนึ่งที่พูดคุยกันมากที่สุดนั่นก็คือท่านบรรพชนผู้ก่อตั้งรับศิษย์ใหม่ ศิษย์ลำดับเจ็ดของกองกำลังสีม่วง หวังหลิน!

หวังหลินเข้าสู่กองกำลังสีม่วงในไม่นานมานี้ เขาเปลี่ยนมันให้กลับตาลปัตรโดยสิ้นเชิง หลังจากสังหารศิษย์พี่ลำดับสองด้วยความโหดเหี้ยม เขายังเข้าร่วมการต่อสู้เพื่อตำแหน่งศิษย์สายตรงอีกด้วย

คนผู้นี้ใช้ระดับบ่มเพาะขั้นแปลงวิญญาณระดับกลางต่อสู้กับศิษย์พี่สี่ซึ่งเป็นเซียนระดับปลายและเอาชนะได้

แต่นั่นใช่ส่วนสำคัญของข่าวลือ ส่วนสำคัญก็คือศิษย์พี่ลำดับหกของกองกำลังสีม่วงซึ่งเป็นเซียนขั้นเทวะได้กลับมาและเริ่มการต่อสู้อันยิ่งใหญ่

แม้ว่าหวังหลินจะพ่ายแพ้การต่อสู้นี้ เหล่าศิษย์สำนักชะตาสวรรค์ทั้งหมดมองเขาเปลี่ยนไปมาก

กระบวนท่าสามสังหารกลายเป็นลายเซ็นต์ของหวังหลินพร้อมกับกลิ่นอายชั่วร้ายรุนแรงไม่มีใครเหมือนเช่นนั้น

ข่าวลือเหล่านี้ส่งผ่านมาหลายคนจนในที่สุดก็ถึงหูของจ้าวจื่อ เท่าที่เขารู้ หวังหลินคนนี้คือเซียนมารผู้ไม่เพียงอารมณ์ไม่ดี แต่ยังสังหารคนที่เขาขัดตาเขาโดยทันที!

“เปิดค่ายกลสู่ดาวเคราะห์ปฐพี!” หวังหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง เขาก้าวผ่านจ้าวจื่อและตรงไปที่ค่ายกลเคลื่อนย้าย

เมื่อเขาอยู่กลางอากาศ หวังหลินสังเกตค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้แล้ว ค่ายกลแห่งนี้เกือบจะกินความกว้างห้าลี้และมีสัญลักษณ์อันซับซ้อนนับไม่ถ้วนสลักไว้บนพื้น คลื่นรัศมีทรงพลังออกมาจากค่ายกลและกระจายออกมา มองไกลๆจะดูคล้ายกับหมอกหนาแน่นที่ป้องกันผู้คนไม่ให้มองเห็นได้ชัด

มีหุบเขานับไม่ถ้วนภายในพื้นที่รัศมีห้าลี้แห่งนี้ ราวกับแม่น้ำคดเคี้ยวก่อนที่จะไหลลงสู่ท้องทะเล มีพลังลึกลับที่เคลื่อนผ่านหุบเขาเหล่านี้ซึ่งเต็มไปด้วยพลังงาน

ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ปกคลุมรัศมีห้าลี้ดูไม่เหมือนค่ายกลเคลื่อนย้ายเลย มันเหมือนกับอสูรดั้งเดิมมากกว่า

ความซับซ้อนของค่ายกลแห่งนี้ห่างชั้นกว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายอื่นๆที่หวังหลินเคยเห็นมาก่อนโดยสิ้นเชิง

จ้าวจื่อสูดหายใจลึกและตอบสนองทันที เขาไปที่ด้านข้างของค่ายกลเคลื่อนย้ายเพื่อสร้างผนึกและส่งลำแสงสีเขียวเข้าใส่มัน

ขณะที่แสงสีเขียวเข้าสู่ค่ายกลเคลื่อนย้าย ค่ายกลเริ่มส่งเสียงดังก้องจนท้ายที่สุดราวกับสวรรค์กำลังสั่นสะเทือน พลังลึกลับข้างในหุบเขาซับซ้อนเริ่มกระจายออกมาอย่างมหาศาลและปลดปล่อยแสงอันชั่วร้าย

ถึงตอนนี้หากใครมองจากด้านบนก็คงเห็นหุบเขาที่แบ่งเป็นชั้นๆค่อยๆเรืองแสงขึ้นก่อเกิดเป็นสัญลักษณ์ขนาดยักษ์!

นี่คือค่ายกลที่ปกคลุมพื้นที่ความกว้างห้าลี้และมันซับซ้อนเหนือจินตนาการ ขณะนี้หวังหลินยืนอยู่ตรงกลางของสัญลักษณ์แห่งนี้

ในพริบตาเดียว สัญลักษณ์ขนาดยักษ์ก็พลันเรืองแสงทรงพลัง แสงนี้ปกคลุมทั้งพื้นที่และขณะนั้นฟ้าดินก็ถูกปกคลุมอยู่ในแสงชั่วร้าย

จ้าวจื่อเคยใช้มันอยู่แล้ว ค่ายกลเรืองแสงขึ้นในไม่ช้า เขาหลับตา หลังจากนับห้าวินาทีก็ลืมตาขึ้น

ไม่มีใครอยู่ในค่ายกลและทุกสิ่งเป็นเหมือนเดิมเช่นก่อนหน้านี้ มีเพียงแสงชั่วร้ายที่หลงเหลืออยู่ มันดูคล้ายกับหิ่งห้อยที่ค่อยๆกลับเข้าสู่หุบเขาอย่างช้าๆ

จ้าวจื่อมองไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายอันว่างเปล่าด้วยแววตาอิจฉา จากนั้นถอนหายใจและพึมพำกับตัวเอง “ข้าสงสัยว่าบรรพชนลำดับเจ็ดกองกำลังสีม่วงคนนี้จะไปดาวปฐพีเพื่ออะไร ก็ดี เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับข้าและข้าควรเพ่งสมาธิไปที่การบ่มเพาะเพื่อบรรลุขั้นตัดวิญญาณระดับปลายให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้!”

จ้าวจื่อส่ายศีรษะและนั่งลงและบ่มเพาะต่อไป

ดาวเคราะห์ปฐพีเป็นหนึ่งในห้าดาวที่อยู่ในวงโคจรของดาวเทียนหยุน มองไกลมันเป็นดาวเคราะห์สีเหลืองและมีวงแหวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนไหวนอกพื้นผิว ขนาดของดาวดวงนี้พอๆกับดาวซูซาคุ

สำนักเสี่ยวหยวนคือแคว้นอันดับหกแห่งเดียวบนดาวดวงนี้ ทั้งสำนักเสี่ยวหยวนคือหนึ่งแคว้นและมีเหล่าเซียนนับไม่ถ้วน บรรพชนมีนามว่าเสี่ยวหมิง ระดับฝึกคนของเขาผ่านขั้นเทวะไปแล้วเรียบร้อย

ดาวดวงนี้มีพื้นทะเลอยู่น้อยมากดังนั้นพื้นที่ส่วนใหญ่จึงเป็นผืนดิน ทางตะวันตกของเสี่ยวหยวนหลายล้านลี้คือตำแหน่งที่แคว้นอันดับห้า หลิงเยว่ ตั้งอยู่

ในวันนี้พื้นที่รอบค่ายกลเคลื่อนย้ายข้างๆสำนักเสี่ยวหยวนได้ถูกทำความสะอาด ภายในระยะหลายสิบเมตรของค่ายกลไม่มีใครอยู่แม้แต่ศิษย์ของสำนัก

นอกค่ายกลเคลื่อนย้าย จ้าวสำนักผู้น้อยของสำนักเสี่ยวหยวน ฉวี่หยุนซาน ยืนอยู่อย่างเงียบๆที่นี่ เขามีพัดสมบัติที่ใช้มือพัดอยู่เป็นพักๆ

สามวันก่อนเขาได้ได้ยินสหายรักในสำนักชะตาสวรรค์ว่ามีคนผู้หนึ่งจากองกำลังสีม่วงกำลังจะมากลายเป็นผู้ส่งสาส์นให้กับหลิงเยว่

เดิมทีฉวี่หยุนซานไม่สนใจเรื่องเล็กๆเช่นนี้ แต่เมื่อรู้มาว่าคนที่จะมาคือศิษย์ลำดับเจ็ดของกองกำลังสีม่วง ศิษย์คนใหม่ที่เทียนหยุนพึ่งรับเข้ามา หวังหลิน ทันใดนั้นเขาก็เปลี่ยนความคิดทันที

สำหรับคนจากแคว้นอันดับเจ็ดที่อยู่ภายใต้การควบคุมของดาวเทียนหยุน เขามีบันทึกรายละเอียดของศิษย์แต่ละคนของเทียนหยุนที่บันทึกความสามารถเอาไว้ ปกติแล้วเขามุ่งความสนใจไปที่ศิษย์สายตรงเป็นหลักและปกติไม่สนใจเรื่องหวังหลินหากไม่ใช่ว่าเทียนหยุนให้ความสนใจเขาเป็นพิเศษระหว่างงานเลี้ยงฉลองวันเกิด

หวังหลินคนนี้ปรากฎตัวออกมาจากไหนสักแห่งดังนั้นสำนักเสี่ยวหยวนจึงรู้เรื่องราวของเขาน้อยมาก ดังนั้นจากมุมมองของสำนักเสี่ยวหยวน หวังหลินมีความสามารถมากมาย คงดีกว่าที่จะเป็นสหายกันตอนนี้มากกว่าเป็นทีหลัง และนั่นจึงเป็นเหตุที่เขามาอยู่ตรงนี้

ด้านหลังฉวี่หยุนซานมีคนแก่ชรายืนอยู่หลายคน พวกเขาศีรษะขาวโพลนและส่วนใหญ่คือผู้อาวุโสที่มีอำนาจของสำนักเสี่ยหยวน

เวลาผ่านไปจนกระทั่งถึงยามบ่าย เมื่อพระอาทิตย์ส่องแสงสูงที่สุด เสียงดังกึกก้องพลันออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้าย

เสียงดังกึกก้องนี้จับความสนใจฉวี่หยุนซาน เขาเก็บพัดสมบัติ ประทับรอยยิ้มและมองไปที่ค่ายกลเคลื่อนย้าย

เสียงนั้นเริ่มดังขึ้นและดังขึ้น แสงชั่วร้ายออกมาจากพื้นและปกคลุมท้องฟ้าจนเกิดเป็นสัญลักษณ์มายาหนึ่ง

ใจกลางสัญลักษณ์นั้นมีมิติบิดงอและคนผู้หนึ่งค่อยๆเดินออกมา

คนผู้นี้สวมชุดคลุมสีม่วงและมี “เจ็ด” สลักไว้ประทับป้ายสิทธิ์บนเอวของเขา!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version